Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 39 ขอแสดงความยินดีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท
“นี่คือแผนที่ที่แสดงพื้นที่ทั้งหมดของสนามล่าสัตว์เพคะ ฝ่าบาท เห็นตรงที่หม่อมฉันทำเครื่องหมายไว้หรือไม่”
จุดหนึ่งบนแผนถูกวงไว้ด้วยวงกลมสีแดง แพทริเซียจึงเอ่ยปากถาม
“มันคืออะไร”
“ทูลฝ่าบาท นี่คือเส้นทางอื่นที่สามารถเข้ามายังสนามล่าสัตว์ได้เพคะ พรรคพวกของหม่อมฉันต้องค้นหาแทบพลิกแผ่นดินกว่าจะพบ คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางหาเจออย่างแน่นอน จึงไม่แปลกที่จะไม่มีใครรู้”
“ถ้าอย่างนั้น…พวกนักฆ่าลอบเข้ามาทางนี้หรือ”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ โรสมอนด์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกันแน่? ไม่สิ พวกนักฆ่ารู้จักเส้นทางนี้ได้อย่างไร? ดูจากสภาพภูมิประเทศแล้ว ที่ตรงนี้ไม่น่าถูกค้นพบได้โดยง่าย เช่นนั้นก็หมายความว่าระหว่างโรสมอนด์กับพวกนักฆ่า ในบรรดาคนเหล่านี้ต้องมีสักคนที่รู้จักเส้นทางนี้… ปัญหาคือทั้งสองฝ่ายไม่มีใครยอมปริปากพูด อีกทั้งแพทริเซียไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนักฆ่าหายไปไหนแล้ว
ยุ่งยากแล้วสิ แพทริเซียกุมหน้าผากอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า นางรู้สึกว่าเรื่องชักจะไม่เป็นไปตามที่นางหวังเอาไว้เสียแล้ว
“เช่นนั้นการทำลายหลักฐานคงมิใช่เรื่องยาก เจ้านี่เก่งจริงๆ โรสมอนด์”
“ทว่า ฝ่าบาท มันไม่แปลกไปหน่อยหรือเพคะ ที่ตรงนี้พวกหม่อมฉันเองยังหาแทบไม่เจอ แล้วบารอเนสเฟ็ลปส์รู้ได้อย่างไรกัน”
“ข้าก็ว่าแปลก หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดมาก็หมายความว่าอย่างน้อยนางต้องเคยเข้าออกเส้นทางนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง”
“หม่อมฉันก็สงสัยเช่นนั้นจึงสอบปากคำผู้ดูแลป่าทั้งหมดแล้วแต่ไม่พบคนเช่นนั้นเลยเพคะ เรื่องนี้จึงน่าสงสัยมากยิ่งขึ้น”
“อืม…”
แพทริเซียมีสีหน้าครุ่นคิด ถ้าอย่างนั้นโรสมอนด์รู้ได้อย่างไรกันแน่? นางใช้วิธีอะไร? เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากว่านางจะมีตาทิพย์ แพทริเซียครุ่นคิดอย่างหนักด้วยสีหน้างงงัน แต่สุดท้ายนางก็คิดอะไรไม่ออก หญิงสาวถอนหายใจในใจก่อนจะส่งราฟาเอลากลับไป
“เอาเป็นว่าเจ้าทำได้ดีมาก เดมราฟาเอลา หลายวันมานี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าลำบากเพียงใด วันนี้เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ราชองครักษ์คนอื่นๆ เองก็ทำหน้าที่ได้ดีมากพออยู่แล้ว”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ ฝ่าบาท”
ท่าทางราฟาเอลาจะเหนื่อยล้าจริงๆ เพราะนางออกจากห้องไปในทันที ทั้งที่ปกติแล้วนางจะบอกว่าไม่เป็นไรและคอยอยู่เคียงข้างตน แพทริเซียหลับตาลงด้วยสีหน้าอ่อนล้าพลางคิดทบทวนดูอีกครั้งว่าโรสมอนด์วางแผนการร้ายครั้งนี้ได้ ‘อย่างไร’
ผลการตรวจค้นถูกแจ้งไปยังทุกๆ ฝ่ายแล้ว เมื่อเหล่าขุนนางทราบเรื่องต่างก็มีสีหน้าลำบากใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอน เพราะผลจากการตรากตรำของราฟาเอลาทำให้ทุกคนรู้ว่าเรื่องนี้คงไม่จบลงง่ายๆ แต่แพทริเซียก็ปรารภถึงเรื่องนั้นในที่ประชุมราวกับว่าไม่มีปัญหาใด
“นอกจากการตรวจค้นพื้นที่แล้วยังมีวิธีการตรวจสอบอีกหลายวิธี อันที่จริงตัวเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอหลักฐานในป่า ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด การสอบสวนบารอเนสเฟ็ลปต์ได้ความว่าอย่างไร”
“กระหม่อมกำลังทำการสอบสวนทั้งบารอเนสรวมทั้งคนที่อยู่รอบตัวนางทั้งหมด ทว่า ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้ามากนักพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท แต่กระหม่อมเชื่อว่าจะสามารถนำข่าวดีมาสู่พระองค์ได้ในเร็ววันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดกลับมีสีหน้าเหนื่อยล้า
เมื่อเห็นดังนั้น แพทริเซียก็วาดนิ้วเป็นวงกลมเล็กๆ บนโต๊ะโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากอีกครั้ง
“แม้จะใช้เวลานาน แต่ความจริงย่อมต้องปรากฏออกมาในที่สุด ทุกท่านคิดเช่นนั้นหรือไม่”
“ฝ่าบาท”
ในตอนนั้นเองคนผู้หนึ่งก็เอ่ยปากเรียก เมื่อแพทริเซียหันหน้าไปมองก็พบว่าเป็นดยุกเอเฟรนี ผู้ชายที่ช่วงนี้คอยแต่จะขัดขานางอยู่เสมอ แพทริเซียพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เขาพูด เขาจึงพูดต่อ
“กระหม่อมรู้สึกว่าพระองค์กำลังยัดเยียดให้คนคนหนึ่งเป็นคนร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
คำพูดประโยคเดียวทำให้บรรยากาศในที่ประชุมเย็นยะเยือก แพทริเซียหัวเราะออกมาราวกับได้ฟังเรื่องขบขัน นั่นก็มิผิด ตอนนี้นางกำลังเจาะจงว่าคนคนหนึ่งเป็นคนร้าย แต่นั่นก็เพราะนางแน่ใจว่าฝ่ายนั้นเป็นคนร้าย
อย่างไรก็ตาม แพทริเซียคิดว่าแม้ตนจะไม่ได้ยินจากพวกนักฆ่าว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนร้าย ตนก็จะยังคงทำเช่นเดียวกันนี้ หัวใจของแพทริเซียบอกว่าโรสมอนด์เป็นคนร้าย ยิ่งไปกว่านั้น หากมิใช่นางก็ไม่มีใครอื่นที่มีใจอาฆาตต่อตนอีกแล้ว
ทว่า มาถึงตอนนี้ แพทริเซียอยากจะไล่โรสมอนด์ออกไปให้พ้นๆ เสียเหลือเกิน
เพราะผู้หญิงคนนั้นพยายามอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นเพื่อทำให้ตนถูกปลดจากตำแหน่งตั้งแต่ที่ตนก้าวเข้ามาอยู่ในพระราชวัง แพทริเซียคิดว่าเส้นวิจารณญาณของอีกฝ่ายคงจะเริ่มขาดทีละน้อยๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องในวันงานเลี้ยงรับรองภริยาคณะทูต ก่อนจะมาขาดอย่างสิ้นเชิงในคราวนี้
อย่างไรก็ดี มาถึงตอนนี้จะตั้งสมมติฐานเช่นนั้นไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่มีอะไรไร้ความหมายเท่ากับการตั้งข้อสันนิษฐานกับเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นและเรื่องที่จะไม่เกิดขึ้น แพทริเซียยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและถามกลับ
“ดยุก เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น”
“เรายังสามารถสอบสวนผู้อื่นได้นะพ่ะย่ะค่ะ การที่มาเจาะจงแต่คนที่อยู่ตำหนักเวนนั้น…”
“เราคาดหวังในตัวท่านเพราะรู้ว่าท่านทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่สืบสวนมานาน แต่วันนี้ท่านทำลายความคาดหวังของเราจนหมดสิ้น”
แพทริเซียพูดตัดบทอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา และจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของดยุกเอเฟรนี
“ตามหลักการแล้วจะต้องเริ่มสืบสวนจากคนที่มีแรงจูงใจในการก่อเหตุก่อนมิใช่หรือ คนที่มันบังอาจลอบสังหารสุริยันและจันทราของจักรวรรดิแห่งนี้ คนที่มีแรงจูงใจเช่นนั้นจะมีใครอื่นอีกเล่า หรือเลดี้วาเซียร์ซึ่งพลาดตำแหน่งจักรพรรดินีจะทำตัวเป็นเด็กขี้อิจฉา? มิเช่นนั้นก็คงเป็นเราที่จัดฉากขึ้นมาเอง อย่างนั้นใช่หรือไม่?”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมเพียงแต่…”
“ดยุก เราจำได้ว่าเราได้พูดไปตั้งแต่ต้นว่าเราเกลียดการวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่มีข้อเสนออื่น ดยุกต้องการให้เราทำเช่นไรกันแน่ ไหนลองบอกแผนการของท่านมาสิ”
“…”
ไม่มีทางที่เขาจะมีแผนอื่น เพราะเขากำลังจะบอกให้สอบสวนทุกๆ คน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่บ้าบอมาก ทั้งเสียเวลาและไร้ประโยชน์ การสอบสวนโดยไม่ระบุตัวผู้ต้องสงสัยให้แน่ชัดเป็นสิ่งที่สูญเปล่ามากที่สุด แพทริเซียว่ากล่าวอีกฝ่ายราวกับจะบอกเป็นนัยว่าอย่าคิดอะไรไร้สาระอีก
“หากท่านได้ตัวผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมก็พามาได้ทุกเมื่อ ดยุก เราย่อมต้องสอบสวนคนผู้นั้นเช่นเดียวกัน แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นคนที่มีสายเลือดเดียวกันกับเราก็ตาม”
“…”
“ดยุกวีเธอร์ฟอร์ด เราคงต้องรบกวนท่านเร่งการสอบสวนให้มีความคืบหน้ามากกว่านี้ด้วย เราควรจะจับคนร้ายตัวจริงให้ได้ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงฟื้นคืนพระสติมิใช่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ”
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายลงในระดับหนึ่ง แพทริเซียก็ค่อยๆ ปรับลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะพลิกหน้าเอกสารเพื่อข้ามไปยังเรื่องถัดไปซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิที่กำลังจะเกิดขึ้น นี่เป็นงานของฝ่ายใน แพทริเซียจึงเอ่ยปาก
“อย่างที่ทุกท่านทราบว่าเมืองหลวงจะมีการจัดงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิในอีกราวๆ สองเดือนข้างหน้า งานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ จะให้จักรพรรดินีเตรียมการคนเดียวคงจะหนักเกินไป ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วเลดี้ของฝ่ายในก็คงจะคอยช่วยเราอยู่แล้ว แต่ปัญหาเกี่ยวกับกลุ่มพ่อค้านั้นคงต้องขอความช่วยเหลือจากขุนนางของราชสำนัก มีใครใคร่จะอาสาหรือไม่”
“…”
ความเงียบดำเนินไปครู่ใหญ่ๆ ระหว่างที่ทุกคนกำลังคิดใคร่ครวญ แพทริเซียรอคอยอย่างอดทน ขณะที่นางใกล้จะเบื่อหน่ายกับการรอก็มีคนคนหนึ่งพูดขึ้นมา น้ำเสียงนั้นช่างคุ้นหู
“ฝ่าบาท จะทรงไว้วางพระทัยให้กระหม่อมได้ทำหน้าที่อันทรงเกียรตินั้นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
นางเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจราวกับคาดไม่ถึง
“ดยุกเอเฟรนี”
“กระหม่อมน่าจะทำประโยชน์ให้ฝ่าบาทได้อย่างเต็มที่เพราะเดิมทีตระกูลของกระหม่อมก็เป็นตระกูลที่มีหน้าที่ดูแลกลุ่มพ่อค้าอยู่แล้ว หากทรงอนุญาต กระหม่อมจะทำอย่างสุดความสามารถ”
“อืม …”
ว่ากันตามจริง แพทริเซียตกใจเล็กน้อย เรื่องที่ดยุกเอเฟรนีไม่ชอบนางนั้นดูจากการประชุมตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ก็พอจะเดาได้ เหตุใดจู่ๆ เขาถึงเสนอตัวช่วยเหลือนางกัน?
แพทริเซียสงสัยว่าดยุกเอเฟรนีกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีวิธีใดที่จะทำให้หยั่งรู้ได้ แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามขุนนางคนอื่นๆ
“ท่านอื่นๆ เห็นเป็นเช่นไรกันบ้าง”
“ดยุกเอเฟรนีเป็นบุคคลที่โดดเด่นกว่าใครในด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท การที่ทรงมอบความไว้วางพระทัยแก่ดยุกเอเฟรนีจะเป็นกระโยชน์ต่อทั้งราชวงศ์และฝ่ายในพ่ะย่ะค่ะ”
จิตใจของแพทริเซียถึงกับต้องหวั่นไหวเพราะคำพูดของดยุกวาเซียร์ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ถึงอย่างไรก็ไม่มีอาสาสมัครคนอื่นแล้ว ไม่มีเวลามาคิดอะไรให้มากความอีกต่อไป แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่านางเข้าใจสถานการณ์แล้ว
“เช่นนั้น งานนี้ดยุกเอเฟรนีช่วยเรา…”
ในตอนนั้นเอง คำพูดของแพทริเซียสะดุดลงเพราะประตูที่ถูกเปิดเข้ามาตามด้วยร่างของใครคนหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้แพทริเซียและทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างตกอกตกใจไปตามๆ กัน
แพทริเซียจ้องข้ารับใช้หนุ่มเขม็งขณะที่อีกฝ่ายหอบหายใจด้วยความเหนื่อย นางเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“เจ้ามีธุระอะไร”
“พระอาญามิพ้นเกล้า ฝ่าบาท กระหม่อมรีบร้อนเพราะมีเรื่องด่วน…”
“เข้าใจแล้ว มีอะไรก็ว่ามา เป็นเรื่องอันใด บารอเนสเฟ็ลปส์ยอมรับสารภาพแล้วหรืออย่างไร”
ข้ารับใช้ส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะพูดสิ่งที่ทำให้ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ
“พระจักรพรรดิทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
เพียงคำพูดเดียวนี้ถึงกับทำให้ห้องประชุมที่มีเต็มไปด้วยผู้คนเงียบวังเวงราวกับป่าช้า มิใช่ว่าทุกคนไม่พอใจที่ลูซิโอฟื้นขึ้นมา พวกเขาเพียงแต่ตกใจกับข่าวดีเกี่ยวกับสุขภาพของจักรพรรดิที่หายหน้าไปเกือบหนึ่งเดือน คนที่ได้สติขึ้นมาคนแรกคือดยุกวาเซียร์
“ฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
เมื่อได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็ได้สติ นางกลบเกลื่อนสีหน้าตกใจก่อนจะยกเลิกการประชุม
“วันนี้พอเท่านี้ก่อนแล้วกัน เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลัง เชิญทุกท่านออกไปได้”
สิ้นคำพูดของแพทริเซีย เหล่าขุนนางก็ทยอยออกไปทีละคนสองคนจนเหลือแค่แพทริเซียคนเดียวที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มีร์ยาเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ฝ่าบาท เป็นอะไรไปหรือเพคะ พระจักรพรรดิทรงฟื้นแล้ว ต้องรีบเสด็จแล้วนะเพคะ”
“…นั่นสินะ”
แพทริเซียพูดอย่างเหม่อลอยก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง หลังจากออกจากห้องประชุม นางก็เริ่มก้าวเดินไปตามโถงทางเดิน
สายตาของนางดูคล้ายเด็กที่ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร คนอื่นๆ อาจไม่ทันสังเกตเห็น แต่คนผู้เดียวที่ดูแลนางมานานอย่างมีร์ยาย่อมรู้สึกได้จึงเอ่ยปากถาม
“ฝ่าบาท มีเรื่องอะไรหรือเพคะ”
ครั้นได้ยินคำถาม แพทริเซียที่ก้าวเดินอย่างเนิบช้าก็หยุดเดินและหันหน้ามามองอีกฝ่ายพลางถามกลับ
“หมายถึงข้าหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“คำถามนั้นหมายความว่าอย่างไร”
“สีหน้าของพระองค์ดูไม่โสมนัสเลยเพคะ”
“…ระวังคำพูดด้วย”
แพทริเซียสวนกลับในทันที คำพูดของมีร์ยาเป็นคำพูดที่อันตราย ราวกับกำลังจะบอกว่าตนไม่ยินดีที่จักรพรรดิฟื้นขึ้นมาเพราะไม่ต้องการเสียตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไป
“ข้าจะไม่ยินดีด้วยเหตุอันใด”
“…ขอประทานอภัยเพคะ”
ได้ยินดังนั้นมีร์ยาก็รู้ตัวว่าตนทำพลาดไปจึงรีบขอโทษและพูดต่อ “หม่อมฉันเพียงแต่…เห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ดูเศร้าหมองไม่เหมือนเคยจึงทูลถามเท่านั้น โปรดประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ ฝ่าบาท”
“…ต่อไปช่วยระวังด้วย”
แพทริเซียพูดสั้นๆ ก่อนจะออกเดินต่อ นางก้าวเร็วกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัดราวกับมีปฏิกิริยากับคำพูดของมีร์ยา แต่ไม่นาน เมื่อใกล้จะถึงห้องพักของลูซิโอ ฝีเท้าของหญิงสาวก็ช้าลง
มีร์ยาสังเกตเห็นท่าทางนั้นแต่นางก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ได้ จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา