Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 42 เนื้อแท้ที่ไม่แปรเปลี่ยน
“…”
ใช่แล้ว ตระกูลดยุกเอเฟรนีเลือกโรสมอนด์ และในทางกลับกัน ตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดเลือกนาง ส่วนเรื่องที่ตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดอาจต้องการโรสมอนด์แต่สุดท้ายกลับต้องมาเลือกนาง หรือพวกเขาเลือกนางตั้งแต่แรกนั้น แพทริเซียมิอาจรู้ได้ แต่สิ่งที่แน่นอนคืออย่างน้อยในตอนนี้พวกเขาก็ให้การสนับสนุนตน และแพทริเซียคิดว่าเหตุผลใดๆ ไม่จำเป็นสำหรับนางอีกแล้ว
สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาให้การสนับสนุนนาง และนางเต็มใจที่จะปกป้องพวกเขาเหล่านั้น ความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนี้ล้วนไม่จำเป็นและไร้ค่า
แพทริเซียคิดว่าพันธะเช่นนั้นไม่มีความสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้แม้แต่น้อย ต่อให้มีใครมาเสนอให้ นางก็คิดที่จะปฏิเสธ ของพรรค์นั้นรังแต่จะสร้างปัญหา อย่างน้อยในตอนนี้นางก็คิดเช่นนั้น
“เราเองก็ไม่คิดจะใส่ใจผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ และไม่คิดจะพยายามทำให้พวกเขามองเราในแง่ดีด้วย เพราะเรามีพวกท่านอยู่แล้ว เราพูดผิดหรือไม่”
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดยิ้มอย่างมีเอกลักษณ์พลางจิบน้ำชาที่เหลืออยู่เล็กน้อยจนหมด แม้ว่าน้ำชาจะเย็นชืดจนเสียรสชาติแล้ว แต่เขาก็ดื่มเข้าไปพร้อมทำสีหน้าราวกับว่าไม่มีชาใดรสดีไปกว่านี้อีกแล้ว แพทริเซียจ้องมองการกระทำนั้นก่อนจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“ดูเหมือนท่านจะมีแผนการในใจแล้ว”
“แน่นอนว่ากระหม่อมคงไม่ขอเข้าเฝ้าโดยไม่คิดเตรียมการใดๆ ไว้ หากทำเช่นนั้นย่อมเป็นการเสียมารยาทต่อฝ่าบาทมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ เพราะนอกจากเรื่องนี้แล้วก็ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่พระองค์ต้องใส่พระทัย”
“ท่านช่างเป็นขุนนางที่เปี่ยมด้วยความสามารถ”
“เป็นหน้าที่ของข้าราชบริพารที่จะขจัดความกังวลให้ผู้เป็นนาย กระหม่อมเองก็มีผู้ที่คอยให้การรับใช้อยู่เช่นกัน”
เขายิ้มกว้างพร้อมกับวางถ้วยน้ำชาไว้ใต้โต๊ะ ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้าจริงจังแต่ก็ยิ้มอยู่ในที
“ในเมื่อไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด อย่างไรก็คงไม่สามารถทำลายบารอเนสเฟ็ลปส์ได้อย่างสิ้นเชิงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์อาจจะทรงทราบอยู่แล้ว…แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่เราจะประมาทความรักของพระจักรพรรดิมิได้ หากไม่มีหลักฐาน การปลดนางออกจากตำแหน่งบารอเนสจึงน่าจะเป็นกำไรก้อนใหญ่ที่สุดที่เราจะได้รับพ่ะย่ะค่ะ”
“แม้แต่เรื่องนั้นก็คงไม่ง่าย นางหลักแหลมกว่าที่เราคิดนัก”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมทราบดี ไม่แน่ว่านางอาจอาศัยอำนาจของตระกูลเอเฟรนีเพื่อให้ตนรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญคือ…”
เขายิ้มอย่างอารี แต่คำพูดที่ออกจากปากกลับตรงข้ามกับรอยยิ้มนั้นอย่างสิ้นเชิง
“การสร้างหลักฐานสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“สร้างหลักฐาน…”
แพทริเซียพึมพำออกมาขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าภายนอกมีสีครามปลอดโปร่งต่างจากความรู้สึกขุ่นมัวที่อยู่ภายในใจของนาง จู่ๆ หญิงสาวก็นึกอิจฉาก้อนเมฆขึ้นมาขณะที่ยืนเท้ากรอบหน้าต่างพลางเคาะนิ้วเสียงดังกึกๆ โดยไม่รู้ตัว
“ท่าทางจะมีเรื่องกลุ้มใจสินะ เสด็จน้อง”
“นิล”
แพทริเซียหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ เปโตรนิยาเดินเข้ามาหาพร้อมของกินเล่นมากมายในมือเหมือนทุกครั้ง แพทริเซียเดินไปนั่งที่โต๊ะโดยอัตโนมัติก่อนจะถามขึ้น
“เพิ่งอบมาใหม่สินะ ดั๊กกวซ[1] หรือ?”
“อืม นี่รสสตอรว์เบอร์รี่ ของชอบเจ้ามิใช่หรือไร”
“ชอบสิ ขอบใจนะ นิล ข้าจะกินเยอะๆ เลย”
แพทริเซียกัดขนมเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะส่งสายตาสงสัยให้เปโตรนิยาพร้อมกับเอ่ยปากถาม
“ไม่กินด้วยกันหรือ”
“เมื่อครู่ข้ากินไปเยอะแล้ว ว่าแต่…”
เปโตรนิยานิ่งเงียบไป ก่อนจะถามแพทริเซียอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาทก็ทรงฟื้นแล้ว อย่างไรเจ้าก็ต้องจัดการเรื่องนั้นให้จบ เจ้ามีแผนอะไรหรือไม่”
“ที่เจ้าพูดก็ถูก นิล ยิ่งยืดเยื้อ ฝ่ายที่จะเสียเปรียบก็คือเรา”
แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องที่คุยกับดยุกวีเธอร์ฟอร์ดให้เปโตรนิยาฟังทั้งหมด
“เราทั้งคู่ต่างไม่ได้คาดหวังจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใหญ่จากเรื่องนี้ แม้โทษทัณฑ์จะร้ายแรงเพียงใดแต่ก็มีแค่พยานปากเปล่า ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรม”
โทษทัณฑ์นั้นมิใช่อื่นใดแต่การเป็นลอบปลงพระชนม์พระจักรพรรดินี และผู้เสียหายที่แท้จริงก็เป็นถึงประมุขของจักรวรรดิ แต่ถึงกระนั้นกลับเป็นการยากที่จะเผยตัวผู้อยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้มีการลงมืออย่างรัดกุม สถานที่เกิดเหตุก็เป็นสนามล่าสัตว์ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง แต่หญิงสาวก็เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง เพราะฉะนั้นการจะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายก็น่าเสียดายเกินไป แพทริเซียพูดออกมาอย่างเยือกเย็น
“ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดหวังที่จะได้อะไรจากเรื่องนี้บ้างแม้จะต้องสร้างหลักฐานขึ้นมาก็ตาม ข้าเองก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เงียบหายไปเฉยๆ ตอนนั้นข้าได้เตือนบารอเนสเฟ็ลปส์ไปแล้ว ขืนยังปล่อยนางไปอีกครา ข้าจะถูกหัวเราะเยาะเอาน่ะสิ”
“ข้าก็ไม่ได้บอกให้เจ้าปล่อยเรื่องนี้ไป ริซซี่ หรือเจ้า…อาจไม่มีเรื่องเช่นนั้น แต่คำพูดนั้นของเจ้าเป็นเพราะข้าหรือ?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าเปลี่ยนไปนะ ริซซี่”
เปโตรนิยาพูดอย่างสงบนิ่ง แต่เมื่อแพทริเซียได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกจุกในอกจนเผลอขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย
“ข้าเปลี่ยนไปแล้ว”
“ใช่ เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว”
“ในทางที่ไม่ดีใช่หรือไม่”
“จะมองอย่างนั้นก็ได้ หรือจะมองอีกทางก็ได้”
“หมายความว่าอย่างไร”
น้ำเสียงที่สั่นเครือนั้นช่างน่าสงสาร เปโตรนิยารับรู้ได้ว่าแพทริเซียเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เพราะนางคือคนที่ผ่านความเป็นความตายมา หากไม่เปลี่ยนไปเลยสิแปลก เจ้าตัวเองก็ย่อมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น แต่ความจริงแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่นางไม่รู้
“ความจริงแล้วข้าก็ชอบที่เจ้าเปลี่ยนไปนะ เจ้าเข้มแข็งและหนักแน่นขึ้น”
“…”
“แต่ดูเหมือนเจ้าจะไม่ค่อยชอบมัน…หรือมิใช่?”
“…”
แพทริเซียนิ่วหน้า ที่ขอบตามีน้ำใสๆ มาคลอคล้ายจะทะลักออกมา เปโตรนิยาเห็นสีหน้านั้นก็พลอยรู้สึกอยากร้องไห้ไปด้วย หญิงสาวได้แต่บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าอย่าร้องไห้ ถ้าแม้แต่นางยังร้องไปด้วย แล้วใครกันที่จะคอยปลอบใจเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ เด็กที่มีจิตใจดีเช่นนี้ หากเห็นพี่สาวอย่างนางร้องไห้ก็คงจะมัวปลอบใจนางจนลืมไปว่าตัวเองก็กำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่
เพราะฉะนั้น อย่าร้องออกมานะ เปโตรนิยา เจ้าทำให้เด็กคนนี้ร้องไห้มามากพอแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องเช็ดน้ำตาให้เด็กคนนี้บ้างแล้วมิใช่หรือไร
“ข้า…”
แพทริเซียจับโต๊ะแน่น พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นางออกแรงมากเสียจนโต๊ะเหล็กสะเทือนเล็กน้อย หญิงสาวไม่สนใจแขนขาวเนียนที่ผอมบางจนเห็นกระดูก
“ใช่ จริงๆ แล้วข้าก็ไม่ชอบเลย” นางสารภาพออกมา
แพทริเซียไม่ใช่คนร้ายกาจโดยกำเนิด หลังจากที่เกิดมาแล้วนางก็ไม่ได้เป็นคนร้ายกาจแต่อย่างใด นางเงียบขรึม สุขุมและนุ่มนวลอ่อนโยนราวกับดอกหญ้า
หากไม่ต้องเข้าวังมาเป็นจักรพรรดินี นางก็คงจะใช้ชีวิตเหมือนดอกหญ้าไปจนวันตาย แต่แพทริเซียก็ตัดสินใจที่จะเดินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามแทนพี่สาวด้วยการขึ้นเป็นจักรพรรดินี และการใช้ชีวิตเป็นดอกหญ้าบนเส้นทางเช่นนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
แม้กระนั้นแพทริเซียก็ยืนหยัดที่จะเป็นดอกไม้ให้ถึงที่สุด แต่สภาพแวดล้อมกลับไม่เป็นใจอยู่ร่ำไป บนเส้นทางขรุขระสายนั้น สายฝนโหมกระหน่ำสั่นคลอนราก สายลมโหมพัดฉีกทึ้งกลีบดอกไม้ ดอกไม้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วย่อมไม่หลงเหลือความงดงามและความบริสุทธิ์ใดๆ มีเพียงความสกปรกเลอะเทอะเท่านั้น
ดังนั้น นางจึงต้องกลายเป็นวัชพืชอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะดอกกล้วยไม้สูงค่าหรือดอกกุหลาบแสนสวยล้วนไม่เหมาะกับสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งนางไม่ได้รับความรักจากจักรพรรดิยิ่งแล้วใหญ่ แต่หากเป็นโรสมอนด์ก็ไม่แน่
แต่ถึงอย่างไรนางก็เกลียดการเปลี่ยนแปลงที่เลี่ยงไม่ได้นี้ นางอยากจะมีชีวิตเป็นดอกไม้ไปตลอดกาล สูงส่ง เลอค่าและไม่ต้องพบเจอกับมรสุมใดๆ มีชีวิตอยู่ในวังอย่างสุขสบาย ไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องพะวง ก่อนจะเข้าวังนางเคยคิดเช่นนั้น แต่ก็เช่นเคย การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ย่อมไม่ง่ายและสะดวกดายดั่งใจนึก ที่น่าเศร้าคือเส้นทางที่นางเลือกลำบากยิ่งกว่านั้นเสียอีก
“ก่อนเข้าวังข้าไม่เคยนึกอยากจะสนใจเรื่องการเมืองเลย ข้าแค่อยากอาศัยอยู่ในมุมหนึ่งของที่นี่ ให้กำเนิดทายาทสักคน และอยู่อย่างไร้ตัวตนไปเรื่อยๆ”
แต่ขณะที่นางเฝ้าฝันถึงเรื่องนั้น นางก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าความฝันนั้นเป็นได้เพียงภาพลวงตา เมื่อนางตัดสินใจที่จะเป็นจักรพรรดินี ตัดสินใจที่จะครองบัลลังก์นี้ ความคิดเหล่านั้นล้วนไร้สาระและเห็นแก่ตัว
หากนางต้องการมีชีวิตเป็นดอกหญ้าไปตลอดกาล ต้องมีใครสักคนคอยบังพายุฝนที่โหมกระหน่ำให้นาง
“ตอนนี้ข้ากระจ่างแก่ใจแล้ว หากข้าทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ข้า แต่ทุกคนที่มีความหมายกับข้าจะต้องเดือดร้อนไปด้วย”
แพทริเซียไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญหรือฟูมฟาย มีเพียงน้ำตาหนึ่งหยดไหลผ่านข้างแก้มเงียบๆ เท่านั้น ราวกับว่านั่นคือการปลอบโยนที่ดีที่สุดที่นางจะทำให้ตัวเองได้ เปโตรนิยาทั้งสงสารและรู้สึกผิดต่อน้องสาว
“…ขอโทษนะ”
หากนางได้เป็นจักรพรรดินีตั้งแต่แรก เรื่องราวจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เหตุใดตัวนางในอดีตจึงโง่เขลาถึงเพียงนั้น เหตุใดนางจึงไม่ปฏิเสธน้ำใจของน้องสาวและพูดว่านางจะเป็นจักรพรรดินี คนที่เห็นแก่ตัวก็คือนางเอง
“เลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ นิล ขอโทษกันไปกันมาเช่นนี้คงไม่จบไม่สิ้น”
แพทริเซียมีสีหน้าคล้ายปล่อยวางแล้วซึ่งทุกสิ่งพร้อมทั้งยิ้มให้เปโตรนิยา ไม่สิ บางทีนางอาจยอมจำนนแล้วก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญคือนางไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่านางยังคงใจดี อ่อนโยน และงดงาม แต่นั่นก็เป็นเพียงเนื้อแท้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่เท่านั้น เปลือกที่ห่อหุ้มสิ่งเหล่านั้นไว้ได้เปลี่ยนไปจนหมดสิ้นแล้ว
เปโตรนิยากลับคิดว่าการเปลี่ยนแปลงของแพทริเซียเป็นเรื่องที่ดี ส่วนความเวทนาที่ก่อตัวขึ้นในใจเพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เปโตรนิยาพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย
“ถูกของเจ้า มัวแต่ขอโทษกันไปมาก็คงไม่มีวันจบสิ้น เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ”
“ใช่แล้ว เรามาอยู่กับปัจจุบันกันเถอะนะนิล เรื่องเสียใจภายหลังนั้น…เอาไว้หลังจากชนะศึกนี้ก็แล้วกัน ความเสียใจที่เกิดขึ้นหลังได้รับชัยชนะเป็นดั่งรอยแผลแห่งเกียรติยศ แต่ความเสียใจที่เกิดขึ้นหลังได้รับความพ่ายแพ้เป็นเพียงการแก้ตัวของผู้แพ้… เมื่อถึงวันที่เราได้กลับมาพูดคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งในอนาคต ถ้ามันเป็นเรื่องราวของความกล้าหาญ มิใช่การแก้ตัวก็คงจะดีนะ”
“ข้าจะทำให้เป็นเช่นนั้นเอง ริซซี่”
น้ำเสียงของเปโตรนิยาแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่อ่อนโยน มันเป็นความแข็งแกร่งดั่งต้นอ้อที่นุ่มนวลแต่ไม่ซับซ้อน บอบบางแต่ยากจะหักงอ แพทริเซียรู้สึกได้ ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น แต่พี่สาวของนางก็กำลังเปลี่ยนไปด้วยอย่างแน่นอน นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ตัวหรือไม่ แต่นางมั่นใจว่านั่นต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี…ไม่เหมือนกับนาง หญิงสาวยิ้มเศร้าในใจก่อนจะพูดกับคนตรงหน้า
“แค่เจ้าพูดอย่างนั้นข้าก็ซึ้งใจแล้ว”
“เรื่องสร้างหลักฐานนั้นพูดง่ายแต่ทำได้ยาก ไม่มีอะไรมารับประกันว่ามันจะสำเร็จ ถ้าพลาดถูกจับได้ขึ้นมา ไม่เพียงแต่ต้องพบกับความอัปยศอดสู แต่เกียรติยศและอำนาจของเจ้าอาจถูกทำลายไปด้วย เจ้า…มั่นใจแล้วหรือ”
“ไม่ว่าจะมั่นใจหรือไม่ ข้าก็ต้องทำ นิล ข้าไม่มีทางเลือก อย่างน้อยก็ในตอนนี้”
“เจ้ามิได้อยู่คนเดียว มันจะต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่ เจ้าเชื่อใจดยุกวีเธอร์ฟอร์ดหรือไม่”
“ข้าอยากจะเชื่อใจเขา แต่ข้าตั้งใจว่าจะไม่เชื่อ”
“…อืม”
เปโตรนิยาพยักหน้าเบาๆ ให้กับคำพูดของแพทริเซีย จะเชื่อใจหรือไม่นั้นสำคัญด้วยหรือ หากเชื่อใจแล้วจะมีอะไรเปลี่ยน? หรือหากไม่เชื่อแล้วจะมีอะไรเปลี่ยน? ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ของพวกเขาและพวกนางก็เป็นเพียงคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ที่สำคัญคือชื่อเรียกของความสัมพันธ์นี้ไม่ค่อยจะงดงามนัก ต่างฝ่ายต่างสนองความคาดหวังของกันและกันเท่านั้น
“ข้าไม่ได้หัวดีเหมือนเจ้า เจ้าคงจะมาคาดหวังวิธีแก้ปัญหาดีๆ จากข้าไม่ได้ ‘โทษทีนะ”
ครั้นได้ฟังดังนั้นแพทริเซียก็ได้แต่ยิ้มน้อยๆ เปโตรนิยาคิดว่าตัวเองช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ หญิงสาวปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่ายราวกับมันไม่ได้ใกล้เคียงความจริงเลยสักนิด
“ต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าก็เป็นกำลังให้ข้าได้มากพอแล้ว เจ้าก็รู้นี่”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เอาเป็นว่าข้าก็อยากช่วยเจ้าในเรื่องนี้บ้าง แม้ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพราะไม่มีหัวด้านนี้ก็เถอะ…”
“เอาเถอะน่า จะว่าไปขนมดั๊กกวซนี่อร่อยจัง เอาไปแบ่งพวกข้ารับใช้ด้วยน่าจะดีนะ”
“พวกนางน่าจะชิมไปคนละคำสองคำแล้วล่ะ ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะไปสั่งห้องเครื่องไว้ว่าให้อบให้เจ้าอีก”
ครั้นพูดจบ เปโตรนิยาก็ลุกจากที่นั่งพร้อมกับจานเปล่าในมือ ขณะเดินไปที่ประตู นางก็ได้ยินเสียงของแพทริเซียดังไล่หลังมา
“ขอบคุณนะ ท่านพี่”
“…”
เปโตรนิยาคล้ายหายใจไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่เลย ริซซี่ เจ้าอย่าพูดเช่นนั้นกับข้าเลย ข้าไม่มีสิทธิ์ฟังคำคำนั้นจากปากของเจ้า เพราะอาจเป็นข้าเองที่ทำให้เจ้าตกอยู่ในสภาพนี้
เปโตรนิยาไม่ได้เก็บซ่อนสายตาแสนเศร้า นางปล่อยให้น้ำตาหยดหนึ่งไหลริน โชคดีที่น้ำตาหยดนั้นหยดลงบนร่างของนาง หากน้องสาวของนางเห็นเข้าจะต้องวิ่งโร่เข้ามาหาด้วยสีหน้ากังวลเป็นแน่ ถึงนางจะบอกว่าตัวเองเปลี่ยนไปแล้วก็เถอะ แต่ที่สุดแล้วเนื้อแท้ของนางไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เปโตรนิยาขยับปากอย่างยากเย็นและพูดออกไปเพียงหนึ่งคำ
“ไม่เป็นไร”
[1] ดั๊กกวซ (Dacquoise) คือเมอแรงค์ที่ทำจากถั่ว ส่วนใหญ่จะทำเป็นรูปวงกลมสลับชั้นกับคัสตาร์ดผสมแป้งหรือเพสทรีครีม (pastry cream), บัตเตอร์ครีม (buttercream) หรือ วิปครีม (whipped cream)