Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 43 คนร้ายตัวจริง
เมื่อลูซิโอฟื้นแล้ว แพทริเซียจึงต้องเร่งสะสางงานให้เรียบร้อยโดยเร็ว แม้งานที่นางต้องรับผิดชอบระหว่างที่เขาหมดสติจะเป็นเพียงส่วนน้อย แต่ถึงกระนั้นนางก็ต้องส่งต่องานให้เขาอย่างชัดเจนว่างานใดที่เรียบร้อยดีแล้ว หรืองานใดที่รอการพิจารณาอยู่ แพทริเซียพยายามสุดความสามารถเพื่อให้ลูซิโอสามารถกลับมาทำงานต่อได้อย่างราบรื่นในอีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ และผลจากความพยายามนั้นก็ทำให้ลูซิโอสามารถเริ่มงานได้โดยไม่ติดขัดประการใด
แพทริเซียลงจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และกลับมาเป็นจักรพรรดินีอีกครั้ง แต่งานของนางกลับลดลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น งานสำคัญที่สุดก็ยังไม่เสร็จสิ้น แพทริเซียจิบชาที่ยังมีไอกรุ่นขณะรอใครบางคน ไม่นานคนผู้นั้นก็ปรากฏตัว ข้ารับใช้แจ้งการมาถึงของเขา
“ฝ่าบาท ใต้เท้าวีเธอร์ฟอร์ดขอเข้าเฝ้าเพคะ”
“เข้ามาได้”
ขณะที่นางเอ่ยปากเชิญ อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวอย่างสง่าผ่าเผย หญิงสาวต้อนรับผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้ม
“เชิญนั่งเถิด ดยุก ไม่ได้พบกันเสียนาน”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ที่จริงก็ไม่ได้นานขนาดนั้น แต่คิดเสียว่าพูดตามมารยาทก็แล้วกัน แพทริเซียมองเขาด้วยสายตาใคร่รู้ก่อนจะเอ่ยถาม
“เอาล่ะ ท่านขอพบเราหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“เหตุผลที่ท่านจะขอพบเราเห็นจะมีเพียงเรื่องเดียว ถูกต้องหรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท มีผู้รับสารภาพแล้ว”
“ใครกัน”
“เป็นข้ารับใช้ตำหนักเวนพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมเลือกคนที่ดูเฉลียวฉลาดและประเมินสถานการณ์ได้ดี คำให้การของนางจะทำให้แผนสร้างหลักฐานของเราเป็นไปได้ด้วยดีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ผลที่ตามมาล่ะ?”
“กระหม่อมได้เสนอเงื่อนไขโดยใช้ครอบครัวที่บ้านเกิดของนางเป็นข้ออ้าง นางคงมิกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
“ดีมาก เรื่องนี้นอกจากเรากับท่านแล้วยังมีผู้ใดรู้อีกหรือไม่”
“ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรายงานเรื่องนี้ในที่ประชุมหารือวันพรุ่งนี้”
“ดี ลำบากท่านแล้วจริงๆ ดยุก”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เป็นกระหม่อมที่สืบความล่าช้า ต้องขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำพูดของดยุกวีเธอร์ฟอร์ด แพทริเซียก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ จะล่าช้าหรือไม่ หากผลลัพธ์มีเพียงหนึ่งเดียวแล้วล่ะก็เรื่องอื่นนางล้วนไม่สนใจ แพทริเซียพูดกับดยุกวีเธอร์ฟอร์ดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างที่พบเห็นไม่บ่อยนัก
“เอาเถอะ สิ่งสำคัญคือการจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที”
วันรุ่งขึ้น แพทริเซียมุ่งหน้าไปที่ตำหนักโลเอ็นเพื่อจบเรื่องราวในครั้งนี้ ณ ที่แห่งนั้นจะมีการฟังคำให้การจากพยานบุคคลและตัดสินบทลงโทษ สีหน้าของหญิงสาวในเวลานี้ดูตึงเครียด ขณะที่เดินอยู่นั้นนางได้พบกับลูซิโอที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกันโดยบังเอิญ นางตั้งใจจะเดินอ้อมเพื่อไม่ต้องพบหน้าอีกฝ่ายแต่ก็สายไป เขาเป็นฝ่ายเห็นนางก่อน
“จักรพรรดินี”
เขาเอ่ยปากเรียกและเดินเข้ามาหา หญิงสาวแอบทำสีหน้าไม่พอใจพลางคิดว่าเหตุใดเขาจึงหยุดเรียกนางแทนที่จะเดินต่อไป อย่างไรก็ตาม สีหน้าของแพทริเซียกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วขณะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายและทำความเคารพ
“ถวายบังคมพระจักรพรรดิ ขอพระสุริยันแห่งจักรวรรดิจงทรงพระเจริญ”
“เจ้ากำลังไปที่ตำหนักโลเอ็นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ”
นางตอบสั้นๆ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินคำพูดที่ชวนให้ตกใจ
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”
“…”
ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายออกปาก แล้วจะมีใครหน้าไหนในจักรวรรดินี้กล้าปฏิเสธคำเชิญชวนของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดินี้กันเล่า? แพทริเซียถอนหายใจในใจขณะตอบตกลง ว่ากันตามจริงแล้ว นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าอึดอัด แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้
“…”
แม้ทั้งคู่จะเดินไปด้วยกันแต่ระหว่างทางกลับมิได้พูดคุยกันแม้ครึ่งคำ แพทริเซียพยายามสงบปากสงบคำเท่าที่จะทำได้ ด้วยกลัวว่าตนจะหลุดพูดอะไรออกไปจนทำให้งานใหญ่เกิดความผิดพลาด ส่วนลูซิโอที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรก็คิดแต่เพียงว่าอีกฝ่ายยังคงเกลียดเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปเพียงหนึ่งประโยค
“วันนี้เป็นวันปิดการสืบสวนใช่หรือไม่”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
“ได้ยินว่าพบหลักฐานแล้ว”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
“นางจะถูกตัดสินโทษประหารหรือ”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
กึก
ครั้นได้ฟังดังนั้นลูซิโอก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน แพทริเซียเองก็หยุดตามโดยอัตโนมัติ ในตอนนั้นเองที่นางได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก เขาจ้องมองมาด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาความหมาย แต่นั่นหาใช่แววตาที่แสดงความขุ่นเคืองหรือเกลียดชัง เขาเพียงแค่จ้องเขม็งมาที่นางเท่านั้น
จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกว่าแววตานั้นดูคล้ายแววตาของเด็ก นางหลบสายตาด้วยความรู้สึกลำบากใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงจดจ้องมาที่นางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้ากลับไปและเดินต่อ
แพทริเซียอยากจะถามว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น แต่นางก็ไม่กล้าพอ สุดท้ายแล้วคนทั้งคู่ก็เดินไปท่ามกลางความเงียบอีกครั้ง
“พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีเสด็จ”
ประตูถูกเปิดพร้อมกับเสียงประกาศของข้ารับใช้ แพทริเซียมองเหล่าขุนนางที่ค้อมศีรษะคำนับพวกนางด้วยสายตาว่างเปล่า นางเดินเคียงข้างลูซิโอไปที่บัลลังก์ก่อนจะนั่งลงข้างกัน นี่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจักรพรรดินีเท่านั้น นางคิดว่าวันนี้น่าจะเป็นครั้งแรกที่นางกับเขานั่งเคียงข้างกัน
แพทริเซียคิดว่าหากนางเปิดปากพูดขึ้นมาก่อนอาจเป็นการทำเกินหน้าเกินตาอีกฝ่าย นางจึงหยุดคำพูดของตัวเองไว้ แต่แล้วเขาก็เป็นฝ่ายพูดกับนางก่อน
“ในเมื่อเรื่องวันนี้จักรพรรดินีเป็นผู้รับผิดชอบ เช่นนั้นเจ้าก็เริ่มเลยเถอะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
แพทริเซียกล่าวขอบคุณสั้นๆ ก่อนจะออกคำสั่งกับดยุกวีเธอร์ฟอร์ดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ดยุก เชิญท่านรายงานขั้นตอนการสืบสวนทั้งหมด”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ในงานเทศกาลล่าสัตว์ที่ทางสำนักพระราชวังจัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดเรื่องน่าอดสูที่พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีทรงหายตัวไป แม้ทั้งสองพระองค์จะเสด็จกลับมายังสถานที่จัดงานหลังจากปิดงานไม่นาน แต่พระจักรพรรดิทรงถูกศรอาบยาพิษของมือสังหาร พระอาการน่าเป็นห่วง รวมถึงพระจักรพรรดินีก็ทรงถูกปองร้ายเช่นกัน
จากนั้น ในระหว่างที่พระจักรพรรดิทรงหมดสติ พระจักรพรรดินีได้ขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และได้มอบหมายให้กระหม่อมสืบสวนเรื่องราวในครั้งนี้ ซึ่งเมื่อกระหม่อมได้รับพระบรมราชโองการของพระจักรพรรดินีก็ได้เริ่มสอบปากคำบารอเนสเฟ็ลปส์ซึ่งเป็นผู้ที่น่าสงสัยที่สุด รวมถึงข้ารับใช้ในตำหนักเวนที่นางอาศัยอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้เป็นวันสิ้นสุดการสอบสวนสินะ ดยุก ท่านหาตัวคนผิดพบแล้วหรือ”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“เป็นใครกัน”
ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดไม่ได้ตอบคำถามของแพทริเซีย แต่กลับพูดคำอื่นออกมา
“เบิกตัวพยาน”
ครั้นสิ้นเสียงของเขา ประตูก็ถูกเปิดพร้อมปรากฏร่างของคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในห้อง นางกำนัลในชุดเดรสสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตำหนักเวนอยู่ในสภาพอ่อนล้าหลังถูกสอบปากคำเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้ดูแย่จนคล้ายจะเป็นลมล้มพับไป
นางดูหวั่นเกรงเล็กน้อยคล้ายลำบากใจที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางขุนนางระดับสูง และเมื่อนางสบสายตากับดยุกวีเธอร์ฟอร์ด ร่างกายของนางก็สั่นระริก
“เข้ามาใกล้ๆ” เขาออกคำสั่ง
นางทำใจกล้าเดินเข้าไปใกล้แม้ร่ายกายจะสั่นเทา แพทริเซียตั้งใจว่านางจะคอยสังเกตการณ์เงียบๆ เท่านั้น จากนั้นดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ฝ่าบาททั้งสองพระองค์และขุนนางที่เคารพทุกท่าน คนร้ายตัวจริงที่หมายจะลอบปลงประชนม์พระจักรพรรดิและพระจักรพรรดินีก็คือบารอเนสเฟ็ลปส์พ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะเป็นผลลัพธ์ที่ได้คาดการณ์ไว้แล้ว แต่เมื่อมันกำลังเกิดขึ้นจริง ในที่ประชุมก็เกิดความโกลาหลขึ้นเล็กน้อย ลูซิโอยกมือเป็นเชิงสั่งให้พวกเขาสงบลงก่อนจะเอ่ยถามดยุกวีเธอร์ฟอร์ด
“ดยุก เรื่องนั้นชัดเจนแน่แล้วหรือ”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับการยืนยันจากนางกำนัลตำหนักเวนแล้ว”
ครั้นพูดจบเขาก็ส่งสายตาให้นางกำนัลโดยไว เมื่อสบตากับเขานางก็เผยอริมฝีปากและพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ที่ใต้เท้าพูดเป็นความจริงเพคะ ฝ่าบาท”
“มั่นใจหรือไม่ว่าคำให้การของเจ้าไม่มีคำโกหกแม้เพียงครึ่งคำ? หากเจ้าให้การเท็จ เจ้าต้องชดใช้ด้วยความตายนะ”
“เป็นความจริงเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันเห็นเพคะ บารอเนสเฟ็ลปส์ไม่พึงใจพระจักรพรรดินีและตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ ประจวบเหมาะกับที่พระจักรพรรดินีจะทรงเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ บารอเนสเห็นเป็นโอกาสดีจึงเรียกพวกนักฆ่าเข้ามาวางแผนร้ายเพคะ”
“ฝ่าบาท เราจะเชื่อคำพูดของนางได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ เราจะประหารอนุภรรยาขององค์จักรพรรดิเพียงเพราะคำพูดของเด็กรับใช้เพียงคนเดียวมิได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เรามิอาจปิดคดีได้ด้วยพยานบุคคลเพียงเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อคนของฝ่ายดยุกเอเฟรนีลุกขึ้นพูด ดยุกวีเธอร์ฟอร์ดก็ส่งสายตาอีกครั้ง คราวนี้คนที่เข้ามาก็คือราฟาเอลา ผู้นำการตรวจค้น
“สิ่งนี้คือหลักฐานเพคะ”
สิ่งที่ราฟาเอลานำเข้ามาด้วยคือหวีประดับเปื้อนดินที่หักครึ่งทำให้ส่วนที่เป็นซี่หวีด้านหนึ่งดูแหลมคม ราฟาเอลาพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หม่อมฉันพบสิ่งนี้ในสถานที่เกิดเหตุเพคะ ด้วยเกรงว่าคนจะลือกันไปอย่างผิดๆ หม่อมฉันจึงมิได้กราบบังคมทูลรายงานตั้งแต่แรก แต่จากการสอบปากคำนางกำนัลผู้นี้ ทำให้ทราบว่าสิ่งนี้เป็นของบารอเนสเฟ็ลปส์เพคะ”
“นั่นเป็นเครื่องประดับที่บารอเนสเคยใช้เป็นประจำ แต่จู่ๆ นางก็ไม่ได้หยิบมาใช้ให้เห็นอีกเพคะ ฝ่าบาท หากทรงไม่เชื่อคำพูดของหม่อมฉัน ลองตรวจค้นตำหนักเวนดูก็ได้เพคะ จะต้องเจอส่วนที่เหลืออย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นผลการสืบสวนก็เป็นที่แน่ชัดแล้วกระมัง”
แพทริเซียพูดพึมพำอย่างไร้อารมณ์ ส่วนลูซิโอไม่ปริปากพูดอะไรคล้ายกำลังใช้ความคิด นางมองเขาด้วยสายตาจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกวาดตามองเหล่าขุนนางโดยรอบที่กำลังแตกตื่นเพราะคำให้การของราฟาเอลาและนางกำนัลตำหนักเวน นางเอ่ยปากถามพวกเขา
“พวกท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ยังต้องการหลักฐานอะไรนอกเหนือจากนี้หรือ”
ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก ทั้งคำให้การของนางกำนัล ทั้งหวีประดับเปื้อนดินที่ทำขึ้นมาลวกๆ นั่นด้วย แต่หากจะพูดกันตามตรง ยังจำเป็นต้องมีหลักฐานมากกว่านี้อีกหรือ? ไม่สิ ยังสามารถสร้างหลักฐานที่ชัดเจนมากกว่านี้ได้อีกหรือ? แพทริเซียมั่นใจในชัยชนะของตน เหล่าขุนนางไม่มีใครพูดอะไร นั่นทำให้แพทริเซียมั่นใจว่าในที่สุดเวลาที่นางรอคอยก็ได้มาถึงแล้ว
“ท่าทางจะได้ข้อสรุปแล้ว ฝ่าบาท หม่อมฉันในฐานะประมุขหญิงของพระราชวังแห่งนี้ขอให้พระองค์ทรงตัดสินโทษประหารแก่บารอเนสเฟ็ลปส์ในข้อหาลอบปลงพระชนม์ประมุขแห่งราชวงศ์ด้วยเพ…”
“นั่นเป็นเรื่องโกหกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
ในตอนนั้นเองใครคนหนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด วินาทีนั้นแพทริเซียรู้สึกโกรธจนต้องหันไปดูว่าใครคือผู้ที่เข้ามาขัดจังหวะตน ผู้ที่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องนั้นเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สีหน้าของแพทริเซียก็แปรเปลี่ยนเป็นงงงันอย่างคาดไม่ถึง หญิงสาวอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ดยุกเอเฟรนี เราก็คิดอยู่ว่าเหตุใดจึงไม่เห็นท่าน ที่แท้ก็เพิ่งมาถึงนี่เอง”
“ทูลพระจักรพรรดิ คำให้การและหลักฐานนั้นเป็นเท็จพ่ะย่ะค่ะ”
ดยุกเอเฟรนีพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ส่วนแพทริเซียมองเลยไปยังหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย นางสวมชุดเดรสสีแดงเช่นกัน ลูซิโอเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้น
“หมายความว่าอย่างไร ดยุกเอเฟรนี คำให้การและหลักฐานทั้งหมดเป็นเรื่องโกหกอย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาท คนร้ายตัวจริงเป็นคนอื่น หาใช่บารอเนสเฟ็ลปส์พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีพระปรีชา โปรดตัดสินอย่างรอบคอบด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เราสงสัยจริงๆ ดยุกเอเฟรนี ท่านมีหลักฐานอะไรจึงพูดเช่นนั้น”
แพทริเซียเขม้นมองอีกฝ่ายเล็กน้อยขณะเอ่ยปากถาม ดยุกเอเฟรนีสบสายตากับนางครู่หนึ่งก่อนจะพูดราวกับจะช่วยตอบในสิ่งที่นางต้องการ
“นางผู้นี้คือหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ”
ดยุกเอเฟรนีพูดดังนั้นและบังคับให้หญิงสาวในชุดเดรสสีแดงที่ยืนอยู่เบื้องหลังคุกเข่าลง