Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 45 ท่านไม่อยากเป็นพ่อตาของฝ่าบาทหรือคะ
“ข้าต้องพบดยุกเอเฟรนีโดยเร็วที่สุด”
“ท่านโรสมอนด์ คราวนี้ท่านจะทำอะไร…”
“ข้าบอกว่าจะพบก็คือพบสิ เจ้าจะพูดอะไรมากมาย หากดยุกเอเฟรนีไม่อยากจบชีวิตขุนนางของตัวเองแล้วล่ะก็เขาไม่มีทางปฏิเสธข้าอย่างแน่นอน ฉะนั้นอย่ามัวพูดให้มากความ รีบไปส่งจดหมายเสียว่าข้าต้องการพบเขาเดี๋ยวนี้ ให้เขามาหาข้าที่ตำหนักเวนโดยเร็วที่สุด”
“ทราบแล้วค่ะ”
พระเจ้าช่วย ชาวบ้านจะรู้กันหรือไม่ว่าหนึ่งในสามมหาเสนาบดีถูกอนุภรรยาของจักรพรรดิที่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์สั่งให้ทำโน่นทำนี่ แม้สามัญสำนึกจะบอกว่าเรื่องนี้ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ แต่สำหรับคลาราที่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้คงมิอาจพูดอะไรได้
อันที่จริงในเรื่องคดีของโรสมอนด์นั้นหากดยุกเอเฟรนีทำพลาดไปแม้เพียงนิด ชีวิตขุนนางของเขาก็อาจจบสิ้นลงได้ในชั่วพริบตาเลยทีเดียว
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ดยุกเอเฟรนีเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โรสมอนด์เพียงแต่ยังไม่ได้เปิดไพ่ในมือจนหมดเท่านั้น จู่ๆ คลาราก็นึกประทับใจความเฉลียวฉลาดของผู้เป็นนายขณะย้ายตัวเองไปเขียนจดหมายถึงดยุกเอเฟรนี
ดยุกเอเฟรนีมาถึงตำหนักเวนอย่างรวดเร็วจริงๆ คลารารู้สึกถึงอำนาจของโรสมอนด์ขึ้นมาขณะที่วางถ้วยชาสองถ้วยลงบนโต๊ะที่คนทั้งคู่นั่งอยู่
ชาที่โรสมอนด์ดื่มเป็นประจำคือชาโรสแมรี แต่สำหรับดยุกเอเฟรนีที่จำต้องมาเยือนตำหนักเวนบ่อยครั้ง การดื่มชานี้ช่างเป็นสิ่งที่เขาขยาดเสียจริง
แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้วการที่ต้องมาเยือนตำหนักเวนแห่งนี้นี่แหละที่น่าเข็ดขยาด แต่เขาก็พยายามข่มความรู้สึกหงุดหงิดใจนั้นไว้พลางเอ่ยถามโรสมอนด์
“เลดี้โรสมอนด์เรียกข้ามาด้วยเรื่องอันใดหรือ”
แม้การหลุดจากตำแหน่งบารอเนส กลายมาเป็นแค่บุตรีของบารอนในชั่วพริบตาจะเป็นสถานการณ์ที่น่าเวทนา แต่โรสมอนด์ก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ นางเพียงแต่ยกชาขึ้นจิบหนึ่งอึก ครั้นเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จิบชาโดยไม่พูดอะไร ในที่สุดดยุกเอเฟรนีก็เผยความในใจโดยการบ่นอย่างไม่พอใจ
“ข้าก็ทำตามที่เลดี้ต้องการแล้วมิใช่หรือ ข้าช่วยท่านจากโทษกบฏ โทษทัณฑ์ก็จบแค่ที่การยึดตำแหน่งบารอเนส ข้าขอถามท่าน หากมิใช่ข้าแล้วจะมีใครหน้าไหนทำให้ท่านได้ถึงเพียงนี้”
“ข้ารู้ค่ะ ดยุก ข้าเองก็นึกขอบคุณท่านอยู่เช่นกัน”
เป็นเพียงบุตรีของบารอน กลับพูดจาเทียมจักรพรรดินี มิหนำซ้ำยังฟังดูโอหังกว่าแพทริเซียตอนก่อนจะประสบกับเรื่องนี้เสียอีก
ดยุกเอเฟรนีซึ่งเป็นผู้ช่วยบิดเบือนผลการสืบสวนนึกอยากจะกระทืบเท้าจากไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่เขาก็เลือกที่จะนั่งอยู่เฉยๆ เพราะไม่คิดว่าตนจะรับมือกับเรื่องที่จะตามมาได้
ในที่สุดโรสมอนด์ก็ละริมฝีปากจากถ้วยชาและพูดอย่างใจเย็น
“เรื่องคราวนี้ทำให้ข้าตระหนักได้อย่างหนึ่งค่ะ ดยุก”
“อะไรหรือ”
“สิ่งที่ทรงพลังที่สุดในโลกก็คือฐานันดรศักดิ์”
ไม่จริง ดยุกเอเฟรนีไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น หากที่โรสมอนด์พูดเป็นความจริง เขาคงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้มีบางสิ่งที่อยู่เหนือฐานันดรศักดิ์ และเพราะเหตุนั้น ตอนนี้เขาจึงต้องทนแบกรับความอัปยศอดสูอยู่แบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ทั้งน่าสมเพชและเวทนา แต่เขาก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร อย่างที่พูดไป ตอนนี้เขาไม่อยู่ในฐานะที่จะต่อล้อต่อเถียงกับคนตรงหน้าได้
“ดังนั้นข้าก็เลยมีความคิดอันยอดเยี่ยมอยู่อย่างหนึ่งค่ะ”
“ความคิดที่ว่านั้นคืออะไรหรือ”
“ดยุก ท่านมีแต่ลูกชายใช่ไหมคะ”
ครั้นได้ฟังคำถามของโรสมอนด์ ดยุกเอเฟรนีก็พยักหน้ารับโดยไม่คิดอะไร เขามีบุตรชายคนหนึ่งที่เกิดจากภรรยาเอก และมีบุตรชายอีกคนที่เกิดจากอนุภรรยา โรสมอนด์พูดต่อด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“โถ น่าเศร้าจังเลยนะคะที่ท่านไม่มีลูกสาวเลยสักคน”
“เลดี้โรสมอนด์ ท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
“ดยุก ท่านไม่อยากเป็นพ่อตาของฝ่าบาทหรือคะ”
คำพูดนั้นทำให้ดยุกเอเฟรนีเข้าใจเหตุผลที่โรสมอนด์เรียกตนมาในวันนี้ได้ในทันที นี่นางกำลัง…
“รับข้าเป็นบุตรีบุญธรรมของท่านด้วยเถอะค่ะ”
…จะบอกให้เขารับนางเป็นลูกบุญธรรม ดยุกเอเฟรนีไม่อาจเก็บสีหน้าตะลึงงันไม่อยากจะเชื่อเอาไว้ได้ เมื่อเห็นดังนั้น โรสมอนด์ก็แค่นหัวเราะและถาม
“ทำไมหรือคะ ท่านมิอาจยอมรับนางเด็กที่เกิดจากบารอนชั้นต่ำเป็นบุตรีได้อย่างนั้นหรือคะ”
“หะ…หาได้เป็นเช่นนั้นไม่”
เมื่อถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ดยุกเอเฟรนีจึงกล่าวปฏิเสธด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แต่โรสมอนด์กลับเอาแต่ยิ้มอย่างคาดเดาความหมายไม่ได้ บางทีนางคงจะรู้อยู่แล้ว รอยยิ้มของนางช่างน่าพิศวงนัก ดยุกเอเฟรนีกระแอมสองสามครั้งก่อนจะเอ่ยคำแก้ตัวที่ไม่เหมือนคำแก้ตัวออกไป
“ทว่า เรื่องนั้นยังคงต้องถามความเห็นจากภรรยาของข้า….”
“ดยุก ดูเหมือนท่านจะยังมองสถานการณ์ไม่ออกกระมัง”
โรสมอนด์เตือนให้เขารู้ด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“ให้ข้ากราบทูลฝ่าบาทเดี๋ยวนี้เลยไหมคะ ว่าเมื่อก่อนท่านทำอะไรเอาไว้บ้าง”
“…”
“อ้อ เรื่องนั้นก็ไม่เลวนะคะ ใต้เท้าเองก็รู้ใช่หรือไม่ ว่าฝ่าบาททรงต้องลำบากเพราะเรื่องใน ‘วันนั้น’ มากเพียงใด… และที่ ‘นางเด็กที่เกิดจากบารอนชั้นต่ำ’ ได้มาอยู่ข้างพระวรกายของพระองค์ก็เพราะเรื่องในวันนั้นมิใช่หรือคะ”
“…”
ดยุกเอเฟรนีได้แต่ปิดปากเงียบนั่งฟังอีกฝ่ายพูด เพราะนอกจากนางพูดจะถูกทุกคำแล้ว เรื่องที่นางพูดถึงยังแทงใจดำเขาเป็นอย่างมาก โรสมอนด์ไม่มีทางไม่รู้ความในใจของอีกฝ่าย นางยิ้มกว้างพลางพูดกับคนตรงหน้า
“จะรับข้าเข้าตระกูลเมื่อไรดีคะ สำหรับข้าคิดว่ายิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี ท่านเองก็อยากจะรับลูกสาวแสนสวยเข้าตระกูลเร็วๆ เหมือนกันมิใช่หรือคะ”
“…ข้าจะจัดการตามนั้น ว่าแต่ เลดี้โรสมอนด์…” ดยุกเอเฟรนีตอบเสียงเบาก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านหารือเรื่องนี้กับบารอนแดโรว์แล้วหรือ”
“…”
การเอ่ยถึงบิดาแท้ๆ ทำให้โรสมอนด์หน้าตึงขึ้นเล็กน้อยแต่เพียงวูบเดียวนางก็ต่อบทสนทนากับอีกฝ่ายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“การหารือจะสำคัญอันใดเล่า คนผู้นั้นจะบังอาจมาขวางทางข้าเชียวหรือ หากเป็นเช่นนั้น เขาก็คงเป็นเพียงเศษขยะที่ไม่มีวันถูกนำกลับมาใช้ใหม่กระมังคะ”
“…”
ดยุกเอเฟรนีผงะเล็กน้อยกับคำพูดที่ดูอกตัญญูไม่คล้ายพูดถึงบิดาบังเกิดเกล้า ก่อนจะพยักหน้ารับรู้ราวกับไม่รู้สึกอะไร
“เลดี้โรสมอนด์น่าจะทราบอยู่แล้วว่าการรับบุตรบุญธรรมในจักรวรรดิมาวินอสจะต้องได้รับการยินยอมจากบุพการีบังเกิดเกล้า ในเมื่อมารดาของเลดี้สิ้นไปแล้ว ท่านต้องได้รับการยินยอมจากบารอนแดโรว์เสียก่อน จึงจะมาเป็นบุตรบุญธรรมของข้าได้” เขากล่าว
“ข้าทราบแล้วค่ะ ดยุก เรื่องนั้นมีหรือข้าจะไม่รู้ แล้วข้าจำเป็นต้องเตรียมอะไรบ้างหรือคะ”
“อย่างที่บอกไป ท่านต้องได้รับคำยินยอมจากบารอนแดโรว์ เลดี้ บางทีหากเลดี้เดินทางไปพบเขาด้วยตัวเองน่าจะเร็วที่สุด”
ครั้นได้ฟังดังนั้น สีหน้าของโรสมอนด์ก็บึ้งตึง นางลองเสนอหนทางอื่น
“แค่คุยกันทางจดหมายมิได้หรือคะ”
“ไปพบด้วยตัวเองเพื่อเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาดีกว่า เลดี้โรสมอนด์ ในกรณีที่บิดาแท้ๆ ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ง่ายนักที่ข้าจะรับท่านเป็นบุตรบุญธรรมได้ ทั้งยังขัดต่อธรรมเนียมของจักรวรรดิอีกด้วย”
“…”
โรสมอนด์ฉุกคิดขึ้นมาว่าหากสังหารบารอนแดโรว์เสียเรื่องทั้งหมดก็จะง่ายขึ้น แต่ดยุกเอเฟรนีก็ชิงพูดต่อราวกับอ่านใจนางออก
“อย่าคิดอะไรไม่เข้าท่าจะดีกว่า เลดี้ หากท่านทำเช่นนั้นแล้วข้ารับท่านเข้าตระกูลในทันทีจะกลายเป็นที่ครหาเสียเปล่าๆ”
“ข้าคิดอะไรอยู่หรือคะ”
นางถามด้วยใบหน้าใสซื่อ ดยุกเอเฟรนีไม่ได้ตอบอะไร โรสมอนด์หัวเราะคิกคักพลางโบกมือไปมาราวกับว่าที่พูดไปเป็นเพียงการหยอกล้อเท่านั้น
“แหม ท่านนี่ล่ะก็ ข้าจะทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไรคะ”
แน่นอนว่าดยุกเอเฟรนีไม่เชื่อ สตรีอย่างนางต้องทำเรื่องเช่นนั้นได้แน่ ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นบารอนแดโรว์ด้วยแล้ว เขาถอนหายใจในใจ
“เอาเป็นว่าท่านขออนุญาตจากฝ่าบาทแล้วไปพบบิดาด้วยตัวเองจะง่ายที่สุด” เขากล่าว
“เช่นนั้นข้าคงต้องไปกราบทูลเดี๋ยวนี้เสียแล้ว”
โรสมอนด์พูดอย่างไม่ลังเลทำให้ดยุกเอเฟรนีถึงกับหมดคำพูด ก่อนจะออกจากตำหนักเวน เขาได้พูดทิ้งท้ายไว้ว่าหลังไปพบบารอนแดโรว์กลับมาแล้วให้เรียกหาเขาอีกที เมื่อดยุกเอเฟรนีกลับไปแล้วโรสมอนด์ก็ขอชาโรสแมรีจากคลารามานั่งจิบอีกถ้วยพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าที่ยากจะอ่านใจ ไม่นานหญิงสาวก็วางถ้วยชาเปล่าลงก่อนจะลุกจากที่นั่ง นางตั้งใจจะไปขออนุญาตจากลูซิโอเดี๋ยวนี้
หลังออกจากตำหนักเวน ดยุกเอเฟรนีก็อดกลั้นความรู้สึกหดหู่เอาไว้ไม่ได้ แม้เขาไม่ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งจักรวรรดิ แต่ก็เป็นถึงหนึ่งในสามมหาเสนาบดี เป็นประมุขของหนึ่งในสามตระกูลที่ค้ำจุนจักรวรรดินี้ ทั้งยังเป็นผู้นำของกลุ่มพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุด แต่ถึงกระนั้นเขากลับต้องหวาดผวาเพราะบุตรีของบารอนคนหนึ่งเช่นนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากใครรู้เข้า เขาจะต้องอับอายเพียงใด หากคนในครอบครัวรู้เข้า จะต้องผิดหวังในตัวเขาเพียงใด
เขาไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เขาเพียงแต่โกรธแค้นและขุ่นเคืองที่ถูกโรสมอนด์กุมจุดอ่อนเอาไว้ได้เท่านั้น ว่ากันว่าถึงจะเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ แต่แค่คิดว่าต้องอยู่ใต้อาณัติของนางไปถึงเมื่อไรก็มิอาจรู้ เขาก็รู้สึกสยดสยองขึ้นมา เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะหวนคิดไปถึงคืนที่เรื่องทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น
***
2 ปีก่อน
อำนาจของเขาในตอนนั้นไม่ได้ต่างไปจากตอนนี้ เพราะเขาเป็นผู้นำของกลุ่มพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหนึ่งในสามมหาเสนาบดีผู้เป็นเสาหลักของจักรวรรดิ สำหรับเขาแล้วคำร้องขอเข้าพบของผู้ที่เป็นเพียงบุตรีของบารอนและเข้าวังมาได้เพราะจักรพรรดิถูกตาต้องใจนั้นเป็นเรื่องที่ขำไม่ออก เขาปฏิเสธคำขอของโรสมอนด์อย่างไม่ไยดี
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่ทำให้ต้องแต่งองค์ทรงเครื่องไปพบนางถึงที่
ผู้ที่รู้เรื่องทุกอย่างเมื่อแปดปีก่อนเห็นจะมีเพียงข้าคนเดียวกระมังคะ
นางพูดถึงเรื่องที่เขาพยายามหลบเลี่ยงมากที่สุด เรื่องเมื่อแปดปีก่อน… เพียงคำนั้นคำเดียวก็ทำให้ขนทั้งร่างของเขาลุกซู่ เขารีบร้อนไปยังที่พักของนาง ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้เขารู้สึกไม่พอใจที่นางซึ่งเป็นเพียงบุตรีของบารอนบังอาจมาขอพบเขาตามลำพัง ต่อด้วยการฉีกจดหมายของนางทิ้ง
“เป็นเพียงบุตรีของบารอนแต่บังอาจมาข่มขู่ดยุกอย่างนั้นรึ” นี่คือสิ่งแรกที่เขาพูดกับนาง
ในตอนนั้นนางพูดกับเขาว่า “ดยุก ดูเหมือนท่านจะยังมองสถานการณ์ไม่ออกนะคะ”
“อะไรนะ นี่เจ้าบังอาจ…!”
“ข้าจะเรียกดยุกของจักรวรรดิมาโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไรเล่า”
นางยิ้มกว้างพลางเชื้อเชิญให้เขานั่ง
“นั่งก่อนสิคะ ใต้เท้า หากท่านได้เห็นสิ่งนี้แล้ว เราคงมีเรื่องให้คุยกันเยอะเลยล่ะค่ะ”
พูดจบ โรสมอนด์ก็โยนของสิ่งหนึ่งมาตรงหน้า สีหน้าของดยุกเอเฟรนีเปลี่ยนไปในทันทีที่เห็นของสิ่งนั้นแม้เพียงผ่านตา เขามองโรสมอนด์ทั้งหน้าซีดปากสั่น ละทิ้งความอาจหาญและความเย่อหยิ่งเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น ก่อนจะเอ่ยถามโรสมอนด์ในขณะที่ร่างกายยังคงสั่นระริกด้วยความกลัว
“สะ…สิ่งนี้…ได้อย่างไร…”