Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 50 ดูท่าทางไม่ค่อยดี
“ข้ารู้ว่าทำไมท่านหญิงถึงขอร้องท่านขอรับ เลดี้”
“…ข้าก็รู้ค่ะ”
เปโตรนิยาถอนหายใจในใจและฝากฝังกับพ่อบ้าน “คงไม่มีใครชอบใจที่ข้าเข้าออกที่นี่ได้ตามใจ เพราะฉะนั้นคงต้องฝากคุณพ่อบ้านด้วยนะคะ”
“วางใจได้เลยขอรับ เลดี้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องวุ่นวาย”
“ข้าก็เชื่อเช่นนั้นค่ะ ได้ยินว่าท่านเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่”
เปโตรนิยายิ้มน้อยๆ ก่อนจะปิดหน้าต่างรถม้า ทันทีที่รถเคลื่อนตัว นางก็เอนหลังพิงพนักและค่อยๆ หลับตาลง
“เลดี้ ให้ไปส่งที่พระราชวังหรือขอรับ”
ครั้นได้ยินคำถามของคนขับรถม้า หญิงสาวก็ตอบสั้นๆ
“ไม่ค่ะ”
วันนี้นางอยากพัก ช่วงนี้นางรู้สึกเหนื่อยอย่างประหลาด อีกทั้งโรสมอนด์ก็ไม่อยู่ ตัวนางคงไม่มีความจำเป็นมากนัก
เปโตรนิยาตัดสินใจว่าจะพักผ่อนสักหน่อย หญิงสาวกล่าวกับคนขับรถม้าเนิบๆ
“ไปคฤหาสน์โกรเชสเตอร์ค่ะ”
***
“ฝ่าบาท เลดี้โกรเชสเตอร์แจ้งว่าจะขอกลับบ้านเร็วหน่อยเพคะ”
“อย่างนั้นหรือ”
แพทริเซียที่กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนพึมพำออกมาด้วยความสงสัย “แปลกจัง ปกติจะอยู่ที่วังจนถึงเย็นแล้วค่อยกลับแท้ๆ”
“นางบอกว่ารู้สึกเพลียเล็กน้อยเพคะ อีกทั้งตอนนี้โรสมอนด์ก็ไม่อยู่ด้วย”
“นั่นสินะ นีย่าเองก็คงต้องการเวลาพักผ่อนเหมือนกัน”
แพทริเซียพยักหน้าและพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ นานแล้วที่นางไม่ได้มาเดินทอดน่องอย่างสบายใจในสวนดอกไม้หลังวังเช่นนี้ ช่างน่าหงุดหงิดที่แค่โรสมอนด์ไม่อยู่ในวังก็ทำให้นางสบายใจได้ถึงขนาดนี้ แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แพทริเซียหัวเราะเยาะตัวเองพลางเด็ดดอกไม้สีแดงดอกเล็กในสวนขึ้นมาดอกหนึ่ง
“วันนี้พระจักรพรรดิคงเบื่อแย่เลย”
“ไม่มีเวลาให้เบื่อหรอกเพคะ ช่วงนี้พระองค์ยุ่งมากทีเดียว”
“ยุ่งแต่ก็ยังไปหาโรสมอนด์ได้ตลอดนี่”
แพทริเซียหัวเราะถากถางก่อนจะเดินต่อไปอย่างไม่คิดอะไร นางเดินเตร็ดเตร่อยู่นาน กระทั่งพบกับคนที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่อยู่ในสวนดอกไม้ที่นางโปรดปราน แพทริเซียถอนหายใจและหันหลังกลับ นี่เราดวงตกหรือไร
“อุ๊ย นั่นฝ่าบาทนี่เพคะ”
ราฟาเอลาถามขึ้นมาอย่างไม่ดูสถานการณ์ มีร์ยารู้สึกตกใจแต่ก็ตอบรับในทันทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“นั่นสิคะ”
“อืม…” ราฟาเอลาสังเกตลูซิโออยู่ไกลๆ ก่อนจะพึมพำอย่างนึกประหลาดใจ “ดูแปลกๆ อยู่นะคะ”
“อะไรหรือคะ เดม?”
“หมายถึงฝ่าบาทน่ะค่ะ” ราฟาเอลาพูดด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัยไม่คลาย “ไม่รู้สึกว่าพระองค์ดูผิดปกติหรือคะ”
“หมายความว่าอย่างไรหรือคะ”
“สีพระพักตร์น่ะค่ะ ดูไม่ค่อยดีชอบกล”
ราฟาเอลาพึมพำว่า ‘หรือเปล่านะ?’ พร้อมกับเอียงคอสงสัย ครั้นได้ยินราฟาเอลาพูดดังนั้น คราวนี้แม้แต่แพทริเซียก็เริ่มให้ความสนใจบ้างแล้ว หญิงสาวค่อยๆ เหลือบมองไปทางลูซิโอ ร่างสูงยืนนิ่ง สายตาจับจ้องดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ใบหน้าของเขาขาวซีดเหมือนคนป่วยอย่างที่ราฟาเอลาบอก แพทริเซียให้ความสนใจอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าและกล่าวว่า
“ไปกันเถอะ”
เขามิใช่คนที่ข้าควรจะไปสนใจหรอก แพทริเซียคิดดังนั้นก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปอย่างเย็นชา
วันนั้นแพทริเซียเข้านอนเร็วกว่าปกติเล็กน้อย เดิมทีนี่เป็นช่วงเวลาที่นางต้องเตรียมงานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิที่กำลังจะเกิดขึ้นในช้า แต่งานกลับไม่ค่อยคืบหน้าเท่าใดนัก นางรู้สึกว่าร่างกายเริ่มหนักอึ้งจึงนอนหลับตาอยู่บนเตียง
เดิมทีนางไม่ได้มีอาการนอนไม่หลับ แต่หลังจากรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นางก็นอนหลับไม่ค่อยสนิทอยู่เนืองๆ ก่อนจะพบว่าสาเหตุเกิดจากการที่นางได้รับความเครียดมากเกินไปหลังจากเข้าวัง มิหนำซ้ำหลังจากขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นางก็ได้รับความเครียดมากกว่าตอนเป็นจักรพรรดินีหลายเท่าตัว
ขณะที่กำลังเคลิ้มใกล้จะหลับ หญิงสาวก็ต้องลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ สลัดผ้าห่มให้พ้นตัวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ และลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับพึมพำด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“นั่นมัน…เสียงอะไร”
นางได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นซ้ำๆ หากนั่นเป็นเสียงที่ไพเราะน่าฟังก็คงไม่เท่าไร แต่มันกลับเป็นเสียงที่แสนจะบาดหู แพทริเซียทนไม่ไหวจึงต้องเรียกหามีร์ยา มีร์ยารีบเข้ามาในห้องทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก
“ฝ่าบาท มีอะไรหรือเพคะ”
“เจ้าได้ยินไหม”
“เพคะ? พระองค์หมายถึง…”
มีร์ยาเอียงคอถามอย่างสงสัย
“เสียงน่ะสิ หรือเจ้าไม่ได้ยิน? นี่ข้าได้ยินอยู่คนเดียวหรือ” น้ำเสียงของแพทริเซียขณะอธิบายฟังดูอ่อนล้าเล็กน้อย
“หม่อมฉันไม่ได้ยินอะไรเลยเพคะ ฝ่าบาท หูแว่วหรือเปล่าเพคะ…”
“ไม่หรอก มีร์ยา หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่เรียกหาเจ้ากลางดึก เจ้าลองตั้งใจฟังดูดีๆ”
น้ำเสียงของแพทริเซียแน่วแน่ มีร์ยาจึงเงียบเสียงลงและเพ่งสมาธิไปที่หู อา เหมือนจะมีเสียงอะไรบางอย่างจริงๆ ด้วยแต่เบามาก นางรู้สึกชื่นชมในความสามารถในการได้ยินของอีกฝ่ายที่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงที่เบาถึงขนาดนี้
“ได้ยินแล้วเพคะ ฝ่าบาท แต่เสียงเบามาก ระคายพระกรรณ (หู) หรือเพคะ”
“ขอโทษนะมีร์ยา ความจริงแล้วข้าเป็นคนที่ประสาทค่อนข้างไวน่ะ เสียงจะเบาแค่ไหนก็ทำให้ข้าตื่นได้ง่ายๆ”
“อย่าขอโทษหม่อมฉันเลยเพคะ ช่วงนี้ฝ่าบาททรงงานหนักเพียงใดใครบ้างไม่รู้ เดี๋ยวหม่อมฉันจะออกไปดูให้เองเพคะว่าเกิดอะไรขึ้น”
ในเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งก็ยากที่จะข่มตานอนอีกครั้ง แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกจากเตียง นางใช้ผ้าคลุมไหล่คลุมทับชุดเดรสสีมุกที่สวมอยู่
“ไหนๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว ข้าออกไปดูเองดีกว่า ข้าก็สงสัยเหมือนกันว่าใครมาทำเสียงอะไรในวังกลางดึกเช่นนี้” หญิงสาวกล่าวกับมีร์ยาที่มองมาด้วยความสงสัย
“จะดีหรือเพคะ หากเกิดอันตรายกับฝ่าบาท…”
“ไม่เป็นไรหรอก องครักษ์ก็อยู่ เจ้าไปหยิบตะเกียงมาให้ข้าทีได้หรือไม่”
“ได้เพคะ ฝ่าบาทโปรดรอสักครู่”
ไม่นานมีร์ยาก็กลับมาพร้อมกับตะเกียง แพทริเซียรับตะเกียงมาถือและออกจากห้องพร้อมกับมีร์ยาและราฟาเอลา ใครกันที่บังอาจมาก่อความวุ่นวายในตำหนักจักรพรรดินียามวิกาลเช่นนี้ แพทริเซียเดินอย่างสงบเสงี่ยมไปตามระเบียงทางเดิน
“…”
ระหว่างทางทั้งสามไม่ได้สนทนากันเพื่อจดจ่ออยู่กับเสียงที่ได้ยินเท่านั้น ต้นเสียงต้องอยู่ในตำหนักนี้เป็นแน่ เช่นนั้นผู้ที่ทำเสียงนี้คงเป็นข้ารับใช้คนหนึ่งในตำหนักกระมัง? แพทริเซียเดินต่อไปด้วยสีหน้าอ่านยาก
ด้วยขนาดอันใหญ่โตของตำหนักจักรพรรดินีทำให้การเดินรอบตำหนักต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่โชคดีที่ดูเหมือนพวกนางจะไม่ต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุเพราะแพทริเซียมุ่งไปตามทิศทางของเสียงที่นางได้ยินอย่างแม่นยำ
ครู่หนึ่งเสียงนั้นก็เริ่มดังขึ้น เป็นเสียงคล้ายเสียงร้องครวญครางของใครคนหนึ่ง ใครกันนะ? แม้จะแยกไม่ออกว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เสียงร้องของเขาช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
“พระจักรพรรดินีเพคะ”
ในตอนนั้นเอง คนผู้หนึ่งก็เรียกนางไว้ แพทริเซียหันไปมองหาเจ้าของเสียงเรียกโดยอัตโนมัติ หญิงที่ดูสูงวัยนางหนึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหา เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร คิ้วข้างหนึ่งของแพทริเซียก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
“…นั่นนางกำนัลตำหนักกลางมิใช่หรือ”
นางจำได้ว่าอีกฝ่ายคือข้ารับใช้ที่ทำงานในตำหนักกลาง แพทริเซียมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคลือบแคลง ฝ่ายนั้นหอบหายใจพลางเอ่ยถาม
“จะ…จะเสด็จไปที่ใดหรือเพคะ”
“เราจะไปไหนมาไหนจำเป็นต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ”
แพทริเซียตอบด้วยความสงสัย เมื่อได้ยินคำตอบอีกฝ่ายก็ตัวสั่น แพทริเซียเห็นดังนั้นก็รู้สึกผิดจนต้องตอบคำถามของนางอีกครั้ง
“ตอนใกล้จะนอนเราได้ยินเสียงแปลกๆ จึงออกมาดู เจ้าถามทำไม”
“เรื่องนั้น…”
นางกำนัลเอาแต่กัดริมฝีปากไม่ยอมพูดอะไร แต่ในที่สุดก็ยอมเปิดปาก
“พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น…”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ระ เรื่องเช่นนั้น…หะ ให้ข้ารับใช้ไปทำให้ก็ได้มิใช่หรือเพคะ”
“แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น แต่เราจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของเราเช่นกัน คงมิใช่เรื่องที่เจ้าจะมาก้าวก่ายกระมัง”
“ขะ ขอประทาน…”
นางหลับตาปี๋ก่อนจะพูดจบเสียอีก ตาของแพทริเซียกระตุกข้างหนึ่งด้วยรู้สึกแปลกๆ กับท่าทีประหลาดๆ ของอีกฝ่าย ราวกับว่านาง…กำลังขัดขวางตนอยู่ แพทริเซียเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดนางกำนัลตำหนักกลางเช่นเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ ฝ่าบาทส่งเจ้ามาหรือ”
“คือ…เรื่องนั้น…”
“ทำไมไม่ตอบ หากมิใช่ฝ่าบาทแล้วเป็นผู้ใด…”
ในตอนนั้นเองคำพูดของแพทริเซียก็หยุดชะงักเพราะเสียงร้องที่ดังกว่าเมื่อครู่ แพทริเซียเหลือบมองนางกำนัลที่อยู่ตรงหน้า ร่างกายของอีกฝ่ายสั่นระริก
“เจ้า มีเรื่องจะพูดกับเราอีกหรือไม่” นางถาม
“ฝ่าบาท จะเสด็จไปทางนั้นมิได้…”
“หากมิใช่ธุระสำคัญก็เอาไว้ก่อน ตอนนี้เรากำลังยุ่ง”
แพทริเซียพูดจบก็เดินจากไป และรู้สึกได้ว่านางกำนัลที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังกำลังกระวนกระวายทำอะไรไม่ถูก นางรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายเรียกนางไว้เพื่อขัดขวาง
แต่ด้วยเหตุใด? มีอะไรในตำหนักจักรพรรดินีแห่งนี้ที่น่ากลัวจนนางกำนัลจากตำหนักกลางต้องเข้ามาขัดขวางเชียวหรือ? และแล้วเสียงนั้นก็เริ่มดังขึ้น แพทริเซียพอจะเดาที่มาของเสียงได้แล้ว สีหน้าของนางดูตึงเครียดขึ้นเช่นเดียวกับร่างกายที่แข็งเกร็งจนก้าวเท้าไม่ออก หรือว่า…เสียงนี้…
“…มีร์ยา ราฟาเอลา”
แพทริเซียเรียกทั้งสองคนเสียงกระด้าง คนถูกเรียกขานรับในทันที
“เพคะ ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทโปรดมีรับสั่ง”
“…พวกเจ้ารออยู่ที่นี่”
ทั้งสองมีสีหน้าตกตะลึงด้วยไม่คิดว่าแพทริเซียจะออกคำสั่งเช่นนี้
“ฝ่าบาท แต่ว่า…!”
“จะเสด็จพระองค์เดียวหรือเพคะ อันตรายนะเพคะ”
ไม่หรอก ถ้าตนคิดถูกล่ะก็ไม่เป็นอันตรายแน่นอน บางทีฝ่ายที่จะเป็นอันตราย…อาจไม่ใช่ข้าแต่กลับเป็นอีกฝ่ายเสียมากกว่า
“นี่เป็นคำสั่ง พวกเจ้ารอยู่ที่นี่ ข้า…ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง” แพทริเซียกล่าวสำทับอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“…”
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนไม่อยากทำตามคำสั่งแต่ก็ขัดขืนไม่ได้ เพราะปกติแล้วแพทริเซียไม่ใช้คำว่า ‘คำสั่ง’ พร่ำเพรื่อ แต่ถึงแพทริเซียไม่พูดคำนั้น พวกนางก็ทำตามที่แพทริเซียสั่งอยู่แล้ว ถ้าถึงขนาดที่แพทริเซียต้องพูดคำนี้…ก็หมายความว่าพวกนางไม่สามารถทำอะไรได้จริงๆ ทั้งสองคนจึงต้องหยุดอยู่ตรงนั้น
“บางที…คงจะใช้เวลาไม่นานหรอก”
แพทริเซียพูดลอยๆ ก่อนจะรีบสาวเท้า ในขณะที่มีร์ยาและราฟาเอลาได้แต่มองแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างออกไปด้วยความอึดอัดใจ
ฝ่าบาททำเช่นนี้…ทรงคิดอะไรอยู่กันแน่