Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 54 อย่างน้อยพวกเราก็อยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้นได้มิใช่หรือเพคะ
- Home
- Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี
- บทที่ 54 อย่างน้อยพวกเราก็อยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้นได้มิใช่หรือเพคะ
“เจ้าไม่ถามเหตุผล?”
ลูซิโอเลือกที่จะถามกลับ แทนที่จะตอบคำถาม
“หากหม่อมฉันถาม ฝ่าบาทจะเล่าให้หม่อมฉันฟังหรือเพคะ” แพทริเซียตอบไปในทันที
“…”
“ก็ไม่”
“…เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
“เรื่องนั้นใครจะรู้เพคะ หม่อมฉันเองก็ยังไม่ทันได้ฟัง ไม่รู้รายละเอียด ตอนนี้หม่อมฉันจึงไม่อาจเข้าใจอะไรได้ทั้งนั้น จะให้หม่อมฉันเข้าใจเรื่องที่เกิดในคืนนั้นได้อย่างไร ในเมื่อหม่อมฉันไม่รู้อะไรเลย”
“…”
“ฝ่าบาทอาจรู้สึกว่ามันไม่จำเป็น แต่หากทรงร้องขอการเข้าใจจากหม่อมฉัน พระองค์ก็ต้องเล่าให้หม่อมฉันฟังสิเพคะ หม่อมฉันไม่รู้วิชาอ่านใจ เพราะฉะนั้นหากฝ่าบาทไม่เล่าให้หม่อมฉันฟัง หม่อมฉันก็คงไม่เข้าใจพระองค์ไปจนวันตาย”
แต่เขาก็คงไม่เล่าให้ฟังหรอก มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องเล่าให้นางฟัง? หากเป็นโรสมอนด์ก็ว่าไปอย่าง แพทริเซียไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะเขาและนางไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดถึงขั้นที่จะคาดหวังอะไรแบบนั้นได้อยู่แล้ว
“ฝ่าบาทจะเล่าให้หม่อมฉันฟังหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับหม่อมฉันหรอกเพคะ พระองค์คงจะทราบดีว่าหม่อมฉันไม่ได้รักและไม่ได้สนใจในตัวพระองค์ถึงขั้นจะเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ”
“…”
“แต่หากพระองค์จะตรัสถึงสาเหตุ หม่อมฉันก็จะรับฟัง และจะพยายามเข้าใจเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยพวกเราสองคนก็อยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้นได้มิใช่หรือเพคะ”
ครั้นพูดจบแพทริเซียก็สังเกตเห็นความหวาดกลัวในแววตาของลูซิโอ นั่นมิใช่ความหวาดกลัวที่มีต่อนาง แต่เป็นอะไรที่ไกลกว่านั้น เขา…กำลังกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น
เขากลัวอะไรกันนะ เขากลัวว่าข้าจะไม่เข้าใจอาการคลุ้มคลั่งของเขาอย่างนั้นหรือ? มิเช่นนั้น หรือเขาจะกลัวข้าเปิดโปงว่าจักรพรรดิเป็นคนเสียสติ?
“พระองค์จะเล่าหรือไม่ก็ไม่เป็นไรเพคะ สำหรับเรื่องวันนั้นแค่ปิดเอาไว้ก็จบแล้ว อีกอย่าง…หม่อมฉันไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนั้นเลยสักนิด ฉะนั้น ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย คนรอบตัวหม่อมฉันก็มิใช่คนปากเบา คงไม่มีเรื่องเสื่อมเสียถึงพระเกียรติของฝ่าบาทและราชวงศ์หรอกเพคะ” แพทริเซียพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
“…”
ถึงนางจะพูดแบบนั้นแต่เขาก็ยังไม่ยอมพูดอะไร แพทริเซียเข้าใจว่าเรื่องนี้ต้องใช้เวลา แต่นางก็อดอึดอัดใจไม่ได้ที่ตนไม่ได้รับคำตอบในทันที นางเฝ้ารออย่างอดทน การเค้นคำตอบจากเด็กที่กำลังหวาดกลัวเป็นเรื่องที่โง่เขลา อย่างน้อยก็ต้องรอให้หายกลัวเสียก่อน นั่นคือสิ่งที่ควรทำ
“เจ้า…ไม่เข้าใจเราหรอก”
แม้เขาจะพูดเหมือนเดิมแต่แพทริเซียก็ไม่ได้มีสีหน้าเบื่อหน่าย นางเอ่ยถามอีกฝ่ายอีกครั้ง
“ความเข้าใจของหม่อมฉันสำคัญกับฝ่าบาทหรือเพคะ”
“…”
“หม่อมฉันอาจไม่เข้าใจพระองค์ก็เป็นได้เพคะ แต่มันก็แค่นั้น หม่อมฉันสงสัยเหลือเกินว่าพระองค์อาจกำลังต้องการการยอมรับจากหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันก็มิใช่เลดี้โรสมอนด์ที่ฝ่าบาททรงรักหนักหนาเสียหน่อย”
“…”
ลูซิโอมองมาด้วยดวงตาที่แดงขึ้น เขากำลังร้องไห้หรือ แพทริเซียเห็นเพียงตาแดงๆ ของเขาเท่านั้น แต่ไม่เห็นน้ำตาที่ไหลผ่านแก้ม หากมีแสงจันทร์สาดส่องลงมาสักนิดคงจะดีไม่น้อย ไม่สิ ที่เป็นอยู่ตอนนี้อาจจะดีกว่ากระมัง ไม่รู้ว่าม่านความมืดที่กั้นกลางระหว่างพวกเขาจะทำให้คนทั้งคู่ซื่อสัตย์ต่อกันได้มากขึ้นหรือไม่
ความเงียบห้อมล้อมทั้งสองคนอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นลูซิโอก็เริ่มบทสนทนาด้วยคำสารภาพอันน่าสะเทือนใจ
“เราเป็นฆาตกร”
แค่คำแรกก็ไม่ปกติเสียแล้ว
หากจะพูดกันตามตรง ช่างน่าอัศจรรย์ใจที่ตอนนี้เขายังไม่กลายเป็นคนบ้า หากเป็นคนปกติทั่วไปคงเป็นบ้าไปแล้ว เพราะฉะนั้น เขาช่างเป็นคนที่ชั่วร้ายเหนือความชั่วร้ายทั้งปวง เพราะแม้จะประสบกับความตายเช่นนั้นแต่เขาก็ยังขึ้นครองบัลลังก์และปกครองจักรวรรดิได้อย่างหน้าตาเฉย
เขาเป็นบุตรชายคนโตของจักรพรรดิองค์ก่อนก็จริง แต่เขาไม่ใช่บุตรชายคนโตที่เกิดจาก ‘ภรรยาหลวง’ มารดาบังเกิดเกล้าของเขาไม่ใช่จักรพรรดินีในจักรพรรดิองค์ก่อน
มารดาบังเกิดเกล้าของเขาเป็นอนุภรรยาของจักรพรรดิ นามว่าจาเน็ต นางเป็นบุตรีของตระกูลชาวบ้านยากจนที่โชคดีเป็นที่ถูกตาต้องใจของจักรพรรดิขณะออกเดินทางท่องเที่ยวจนได้มาเป็นอนุภรรยาของเขา แม้นางจะให้กำเนิดบุตรชาย แต่ก็น่าแปลกที่นางไม่ได้รับการตั้งแต่บรรดาศักดิ์เสียที
นั่นเป็นเพราะจักรพรรดิมัวแต่ให้ความสนใจกับตระกูลดยุกออสวินซึ่งเป็นตระกูลของจักรพรรดินี เป็นกังวลว่าพวกเขาจะคิดเช่นไร ในปัจจุบันตระกูลดยุกออสวินได้หายหน้าหายตาไปจากวงสังคมแล้ว แต่ในตอนนั้นพวกเขาแทบจะเป็นตระกูลเดียวในจักรวรรดิที่มีอิทธิพลล้นฟ้า แม้ตอนนี้ดยุกออสวินซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงตามกฎหมายของเขาจะเก็บตัวอยู่ในปราสาทที่หัวเมืองจึงไม่ได้แสดงอำนาจอะไร แต่หากดยุกออสวินต้องการล่ะก็ ตระกูลนั้นก็ยังคงมีอำนาจมากพอที่จะสั่นคลอนจักรวรรดิได้ทุกเมื่อ
มารดาตามกฎหมายของเขาคือจักรพรรดินีอลิซา นางเป็นคนมีเมตตา แน่นอนว่าในความทรงจำของเขานางคือปีศาจร้าย ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น แต่เขาก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าเดิมทีนางเป็นคนที่อ่อนโยนมาก
เขาไม่เชื่อว่าคนเราจะเป็นคนดีโดยกำเนิด และไม่เชื่อว่าคนเราจะเป็นคนเลวโดยกำเนิดเช่นกัน สิ่งที่เขาเชื่อคือคนเราไม่ได้ดีหรือเลวโดยเนื้อแท้แต่ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม นิสัยโดยพื้นฐานของมนุษย์ไม่ได้ชัดเจนว่าดีหรือเลว และความดีกับความเลวก็สามารถอยู่ร่วมกันได้
แรกเริ่มเดิมทีอลิซาเป็นคนดีจริงๆ อย่างที่ทุกคนพูด แต่เมื่อสามีที่รักพาอนุภรรยาเข้าบ้าน และอนุภรรยาคนนั้นก็ให้กำเนิดบุตรชาย จิตใจของนางก็เริ่มบิดเบี้ยว เมื่อสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง ความดีที่คอยควบคุมนางให้อยู่กับร่องกับรอยก็หายไป ความชั่วร้ายที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นก็ผงาดขึ้นมาแทนที่
เมื่อความชั่วร้ายปรากฏออกมาครั้งหนึ่ง จะถูกกลืนกินเมื่อใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ยิ่งเจ้าตัวไม่มีความตั้งใจที่จะควบคุม ความชั่วร้ายนั้นจะยิ่งแผลงฤทธิ์
หากนางมีลูกน้อยที่สามารถช่วยผ่อนคลายอารมณ์ของนางได้ สถานการณ์อาจจะดีกว่านี้ไหมนะ แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของนางไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ หรือก็คือนางเป็นหมัน ตอนที่รู้ความจริงข้อนี้นางก็เสียสติไปแล้วครึ่งตัว การที่ไม่สามารถให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขของคนที่ตนรักได้นั้น สำหรับจักรพรรดินีอย่างนางมันไม่ต่างอะไรกับคำสั่งประหาร
เมื่อจักรพรรดินีไม่อาจให้กำเนิดรัชทายาท ตัวตนของนางก็ไร้ค่า ต่อให้นางจะเป็นถึงบุตรีของดยุกออสวินก็เปลี่ยนความจริงข้อนั้นไม่ได้ แต่อลิซาก็อยากจะอยู่เคียงข้างสามีที่นางรักจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ในที่สุดนางก็รับบุตรของอนุภรรยามาเลี้ยงเพื่อรับมือกับความสิ้นหวัง แน่นอนว่าจาเน็ตย่อมปฏิเสธ แต่ใครเล่าจะฟังคำทัดทานของอนุภรรยาต่ำต้อยที่ไม่มีแม้แต่บรรดาศักดิ์ อีกทั้งเจ้าของคำสั่งยังเป็นถึงบุตรีของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวรรดิและเป็นจักรพรรดินีผู้แสนประเสริฐของประเทศ
สุดท้ายจาเน็ตก็ถูกพรากลูกไปจากอกโดยมิอาจต่อต้าน หากเรื่องทุกอย่างจบลงเพียงเท่านั้นก็คงไม่เป็นไร แต่ในตอนนั้นไม่มีใครรู้เลย
การรักลูกคนอื่นมิใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อเด็กคนนั้นเป็นลูกของสามีที่รักกับอนุภรรยาที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ช่างน่าเสียดาย อลิซามิใช่นางฟ้านางสวรรค์ที่จะทำคุณงามความดีเช่นนั้นได้
นางเป็นเพียงมนุษย์ที่แสนจะธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแต่เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยจึงมีอิสระมากกว่าคนอื่น มองโลกในแง่ดีมากกว่าคนอื่น และโอบอ้อมอารีมากกว่าคนอื่นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกว่าความโชคร้ายที่เกิดขึ้นกับตนน่าเศร้าสลดยิ่งกว่าใคร
แม้จักรพรรดิจะเฝ้ามองอลิซาเลี้ยงดูเขาด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ แต่อลิซาก็บอกอีกฝ่ายอย่างมั่นใจว่านางจะเลี้ยงเขาอย่างดี ความจริงแล้วการเลี้ยงดูของอลิซาไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ดี’ แม้แต่น้อย แค่บอกว่านั่นคือการเลี้ยงดู ‘อย่างดี’ ก็นับว่าเป็นการเข้าใจผิดแล้ว
นางทารุณเขา สถานที่ก็แตกต่างกันออกไป แต่โดยส่วนมากมักจะเกิดขึ้นในตำหนักจักรพรรดินีที่นางอาศัยอยู่ ตำหนักจักรพรรดินีจึงกลายเป็นสถานที่อันทุกข์ระทมที่ทำให้เขาหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ถูกทารุณ นางทรมานเขาทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ นางไม่ลังเลที่จะด่าทอเขาด้วยถ้อยคำโหดร้าย แน่นอนว่าคำด่าทอเหล่านั้นมุ่งมาที่ตัวเขาเอง ช่างน่าอัศจรรย์ใจที่ตัวเขาในวัยเด็กได้ฟังถ้อยคำเหล่านั้นแล้วยังสามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้
เขาถูกทำร้ายจนแทบจะกลายเป็นกิจวัตร นางทำร้ายเขาในจุดที่มองไม่เห็นเท่านั้นเพื่อมิให้จักรพรรดิสงสัย ผลลัพธ์ก็คือร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ที่หากจักรพรรดิไม่จับเขาถอดเสื้อผ้าออกจนหมดก็คงไม่มีวันเห็น
เขาถูกนางเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็กจึงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของจาเน็ต เขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดอลิซาซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ถึงได้จงเกลียดจงชังเขาถึงเพียงนี้ เป็นธรรมชาติของเด็กทั่วไปที่จะคิดว่าตัวเองมีปัญหา แม้ว่าเขาจะเพียรพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อซื้อใจผู้เป็นแม่ แต่สิ่งที่เขาได้รับคืนมากลับมีแต่ความรุนแรงไปเสียทุกครั้ง
แม่แท้ๆ เอาแต่เรียกเขาว่า ‘เด็กโสโครก’ เด็กน้อยที่ไม่รู้ประสาก็คิดว่าปัญหาอยู่ที่ความสะอาดของตนจึงอาบน้ำวันละสองสามรอบให้สิ้นเปลืองเล่น หลังจากนั้นพักใหญ่เขาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่มีประโยชน์จึงได้เลิกทำ
ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร มารดาก็ไม่มีวันรักเขา ลูซิโอเข้าใจความจริงข้อนั้นในที่สุดเมื่ออายุได้สิบสามปี แน่นอนว่าผลที่ตามมามีเพียงจิตใจที่อ่อนล้าและร่างกายที่บอบช้ำเท่านั้น
เดิมเขาเป็นคนสดใสร่าเริง แต่เมื่อถูกกระทำเช่นนั้นต่อเนื่องมาถึงสิบสามปี รอยยิ้มบนใบหน้าจึงหายไปนานมากแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กคนหนึ่งซึ่งถูกผู้หญิงที่เข้าใจว่าเป็นแม่แท้ๆ ทุบตีอย่างทารุนแล้วยังเติบโตขึ้นมาเป็นคนสดใสร่าเริงได้ แต่ตัวเขาในตอนนั้นอ่อนล้าเกินกว่าที่จะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
แม้เขาจะถูกทำร้ายเจียนตายแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ ก่อนที่จะเกิด ‘เรื่องนั้น’ ขึ้น
จักรพรรดิองค์ก่อนมักออกไปพิชิตดินแดนอยู่บ่อยครั้ง อาณาเขตของจักรวรรดิมาวินอสในตอนนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงร้อยละสิบในรัชสมัยของเขานั่นเอง สงครามพิชิตดินแดนเกิดขึ้นเพื่อการนั้น จักรพรรดิออกไปทำศึกบ่อยครั้ง บัลลังก์ในพระราชวังจึงว่างอยู่เป็นประจำ และคนที่ต้องปฏิบัติหน้าที่แทนก็คือจักรพรรดินี
เมื่อจักรพรรดิไม่อยู่ อลิซาก็ทรมานลูซิโอหนักขึ้น ตั้งแต่เด็กจนโตเรื่องนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขาเจ็บป่วยทั้งกายและใจจนไม่อาจปัดป้อง อีกทั้งเขายังชินชากับการถูกนางทำร้ายเสียแล้ว เหมือนกับลูกช้างที่เคยพยายามดิ้นรนให้ตนหลุดพ้นจากโซ่ล่ามเท้า แต่เมื่อโตขึ้น มันกลับยอมรับโซ่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย สำหรับลูซิโอ จักรพรรดินีอลิซาก็เหมือนกับโซ่ล่ามเท้าช้างเส้นนั้น
ตอนวันเกิดอายุครบสิบห้าปีของลูซิโอ จักรพรรดิต้องออกไปทำศึกอีกครั้งจึงไม่อยู่ในพระราชวัง และนั่นคือบ่อเกิดแห่งโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจย้อนคืน