Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 57 ความเจ็บปวดที่สัมผัสได้
น้ำตาของนางไหลออกมา ความหมายก็ตรงตัวคือมีน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตาของนาง
“อา…”
ตอนนั้นเองแพทริเซียถึงได้รู้สึกตัวว่าตนกำลังร้องไห้ นางรีบปาดน้ำตา แต่ถึงกระนั้นน้ำตาก็ยังคงไหลพรั่งพรูออกมาไม่หยุด
“ขะ ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท” หญิงสาวพูดอึกอักขณะที่น้ำตายังคงไหลออกมา
“…”
“หม่อมฉันเพียงแต่…ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น”
แพทริเซียพึมพำด้วยน้ำเสียงว่างเปล่า “พระองค์…พระองค์ผ่านเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นมาได้อย่างไร”
“…”
“พระองค์…ตรัสราวกับไม่รู้สึกอะไรเลยเช่นนี้ได้อย่างไร”
ในท้ายที่สุดแพทริเซียก็ถามออกไปราวกับจะคร่ำครวญ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น เขาต้องประสบกับเรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปไม่ควรได้พบเจอ แต่เขาก็ยังเล่าเรื่องเช่นนั้นออกมาได้อย่างใจเย็นเกินไปราวกับไม่ได้สนใจ
ทำไมท่านถึง… ทำไมท่านถึงเฉยชาได้ถึงเพียงนี้? มีแต่ข้าหรือที่รู้สึกเจ็บปวด? มีแต่ข้าหรือที่รู้สึกสะเทือนใจ? มีแต่ข้าหรือ…ที่โศกเศร้า?
“ฮึก…ฮือ…”
แพทริเซียเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น นางไม่สามารถทำตัวเฉยชาได้ในเมื่อนางรับรู้เรื่องนี้แล้ว นางเป็นเพียงคนธรรมดา จึงไม่แปลกที่นางจะร้องไห้หลังจากได้ฟังเรื่องราวเช่นนี้ ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น แต่ไม่ว่าใครก็คงจะมีปฏิกิริยาแบบเดียวกัน
“เจ้า…ทำไม…”
ทำไมถึงร้องไห้? ลูซิโอไม่เข้าใจ แม้ว่าคนทั่วไปจะมองว่าปฏิกิริยาเช่นนี้เป็นไปโดยธรรมชาติ แต่เขากลับไม่รู้สึกอย่างนั้น
เพราะไม่เคยมีใครร้องไห้เพื่อเขา ไม่มีใครเวทนาในความโชคร้ายของเขา ในฐานะคนคนหนึ่งที่ต้องประสบพบเจอกับเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับใคร สิ่งที่เขาได้รับกลับมาหาใช่คำปลอบใจหรือการให้กำลังใจอย่างอ่อนโยน แต่เป็นวาจาอันโหดร้ายของผู้คนที่พูดคุยกันถึงเรื่องของเขาในฐานะข่าวลือซุบซิบในพระราชวัง ดังนั้น ลูซิโอจึงไม่เข้าใจคนที่โศกเศร้า โกรธแค้น และร่ำไห้ให้กับเขา…
“ทำไม…เจ้าถึงร้องไห้”
เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็พึงกระทำมิใช่หรือ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะโกรธ เศร้า และคร่ำครวญกับเหตุการณ์สะพรึงขวัญเช่นนี้มิใช่หรือ ทว่า ไม่เคยมีใครสอนเรื่องนี้แก่เขา
“หม่อมฉัน…เศร้าเหลือเกินเพคะ” แพทริเซียยังคงร้องไห้ขณะตอบ “หม่อมฉันเศร้าเหลือเกินที่…ฝ่าบาททรงต้องพบเจอกับเรื่องที่แม้แต่ผู้ใหญ่ยังทนรับไม่ไหวตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ แต่ฝ่าบาทกลับหวนคิดถึงเรื่องนั้นและเล่าออกมาได้อย่างสงบนิ่งเช่นนี้”
กว่าจะสามารถเล่าถึงความทรงจำในวันนั้นได้อย่างเฉยเมยเช่นนี้ ท่านต้องเสียน้ำตาไปมากเพียงใด ร่างกายต้องสั่นเทามากเพียงใด ต้องกล่าวโทษและทำร้ายตัวเองมามากเพียงใด ท่านต้อง…
“เหตุใด…เหตุใดพระองค์จึงทำสีหน้าราวกับไม่รู้สึกอะไร…”
เขาจะรู้สึกเศร้าบ้างหรือไม่ โธ่ คนผู้นี้ช่างน่าสงสาร ในที่สุดแพทริเซียก็ร้องไห้ฟูมฟายออกมา
“อย่าทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรได้ไหมเพคะ…”
ต่อให้ท่านเล่าทั้งน้ำตา ข้าก็ยังเศร้าอยู่ดี แต่เหตุใดท่านถึงไม่ร้องไห้? ท่านไม่รู้สึกเศร้าบ้างเลยหรือ? ไม่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมบ้างเลยหรือ? ไม่รู้สึกอยากจะฆ่าผู้หญิงคนนั้นบ้างเลยหรือ?
ข้านั้น…ไม่ได้ชอบและไม่ได้รักท่าน แต่ข้ารู้สึกปวดใจเหลือเกินกับความทุกข์ทรมานที่ท่านได้รับ จักรพรรดินีองค์ก่อนที่มอบบาดแผนเช่นนั้นให้กับท่าน ข้าไม่นับว่านางเป็นมนุษย์ ท่านช่างน่าสงสารเหลือเกิน
แต่เหตุใด…ท่านถึงไม่ร้องไห้เพื่อตัวเอง? เหตุใดท่านถึงไม่โกรธแค้นเพื่อตัวเอง?
เพราะท่านชินชาเสียแล้วหรือ? ท่านชินชากับความเจ็บปวด ความโกรธ และความเศร้าเสียใจแล้วหรือ?
หากเป็นเช่นนั้น ท่านต้องทนทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวมามากเพียงใด
“ร้องไห้ออกมาเถอะเพคะ ฝ่าบาท”
“…”
“นี่เป็นเรื่องที่ควรร้องไห้นะเพคะ…”
“…”
“หาใช่เรื่องที่พระองค์จะเล่าออกมาด้วยสีหน้าเฉยชาเช่นนั้น…”
ในที่สุดแพทริเซียก็คุกเข่าร้องไห้ต่อหน้าเขา ลูซิโอจ้องมองแพทริเซียที่นั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงหน้าไม่วางตา
ลูซิโอไม่เข้าใจการกระทำของแพทริเซีย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงดูโศกเศร้าเสียใจกับเรื่องของเขาถึงเพียงนี้ เขามั่นใจว่านางเคยบอกว่านางไม่ได้รักเขา นางน่าจะชิงชังเขาด้วยเรื่องโรสมอนด์เสียด้วยซ้ำ
“เจ้า…” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ทำไมเจ้าถึง…ทำเพื่อเราขนาดนี้”
“…ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”
“เจ้ามิได้ชอบเรามิใช่หรือ” เขาพูดอย่างเรียบเฉย “เจ้าเกลียดเรา”
“หม่อมฉันมิได้ชอบฝ่าบาทเพคะ” แพทริเซียสารภาพออกไปด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ “หม่อมฉันเกลียดฝ่าบาท”
“…แล้วทำไม…”
“แต่หม่อมฉันก็สงสารพระองค์”
แพทริเซียมองลูซิโอทั้งน้ำตานองหน้า สีหน้าของเขายังคงไม่แสดงอารมณ์ออกมาแม้แต่น้อย ครั้นเห็นดังนั้น แพทริเซียก็ยิ่งปวดใจ
“เรื่องที่พระองค์ทรงประสบมามันรุนแรงกว่าความเกลียดชังของหม่อมฉัน”
“…”
“มากขนาดที่ไม่อาจเทียบกันได้”
“…”
“ด้วยเหตุนั้นหม่อมฉันจึงร้องไห้เพคะ หม่อมฉันสงสารพระองค์”
นางปาดน้ำตาพลางพูดต่อ “หม่อมฉันสงสารที่พระองค์มิอาจหลั่งน้ำตาแม้สักหยดในสถานการณ์เช่นนี้”
“อา…”
สิ้นคำพูดของแพทริเซีย สีหน้าของลูซิโอก็เริ่มปรากฏร่องรอยของความรู้สึก แพทริเซียมองสีหน้านั้นอย่างเวทนา อา คนผู้นี้ช่างน่าสงสารจริงๆ ท่าน…ช่างเป็นคนที่น่าสงสาร
“อึก…”
ลูซิโอใช้สองมือปิดหน้า ไม่เคยมีใครร้องไห้เพื่อเขา ไม่เคยมีใครอนุญาตให้เขาร้องไห้ แม้กระทั่งโรสมอนด์ก็ไม่ทำเช่นนั้น
มีเพียงจักรพรรดินีของเขาเท่านั้น จักรพรรดินีผู้ซึ่งถูกเขาทำร้ายและตอกย้ำด้วยการสั่งห้ามไม่ให้รักเขา
เขาร้องไห้ ดูเหมือนเขากำลังร้องไห้ แพทริเซียเช็ดน้ำตาและมองดูเขาอย่างเศร้าสร้อย ในตอนแรกเขาเพียงแต่ร้องไห้เงียบๆ แต่ในที่สุดเขาก็ส่งเสียงร้องออกมา
“อา…ฮึก”
“…”
แพทริเซียพยายามกลั้นน้ำตาขณะที่เดินเข้าไปหาอีกฝ่ายช้าๆ นางกัดริมฝีปากพลางกอดเขาเอาไว้ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและน้ำตาอุ่นๆ ของอีกฝ่ายส่งผ่านมาถึงนางท่ามกลางอากาศหนาวเย็น จากนั้นหญิงสาวก็เริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
สวนดอกไม้แห่งนั้นถูกปกคลุมด้วยความโศกเศร้าอยู่พักใหญ่
***
“ถึงแล้วขอรับ เลดี้โรสมอนด์”
สิ้นเสียงคนขับรถม้า โรสมอนด์ก็ลงจากรถพร้อมด้วยสายตาเย็นชา ตรงหน้าคือปราสาทเก่าซอมซ่ออันเป็นที่พักอาศัยของคนสองคนที่นางไม่อยากเห็นหน้า โรสมอนด์ยิ้มอย่างเย้ยหยันขณะก้าวเดินบนรองเท้าส้นสูง
“…”
ระหว่างทางที่เดินมาถึงตัวปราสาท โรสมอนด์ไม่พูดไม่จาแม้สักคำ คลาราที่เดินอยู่ข้างๆ เห็นดังนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ นายหญิงไม่เคยนิ่งเงียบนานขนาดนี้ แม้แต่ตอนที่ถูกจับขังคุกเมื่อคราวนั้นนางยังนั่งจิบชาสบายใจเฉิบ แต่ตอนนี้ที่เดินทางมาพบบิดาบังเกิดเกล้า นางกลับเดินจ้ำเอาๆ สีหน้าเคร่งเครียดไม่พูดไม่จา คลารามิอาจลบความรู้สึกผิดปกตินี้ออกไปจากใจได้
“เลดี้โรสมอนด์ มาแล้วหรือขอรับ”
เมื่อเข้ามาในปราสาท พ่อบ้านก็ออกมาต้อนรับอย่างสุภาพทันที แต่โรสมอนด์ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและมองหาคู่สามีภรรยาแดโรว์ การตามหาพวกเขาไม่ใช่เรื่องยาก เพราะทันทีที่ได้ยินเสียงต้อนรับของพ่อบ้าน พวกเขาก็ออกมาต้อนรับนางราวกับเป็นพ่อบ้านไปด้วย
“มาแล้วหรือโรส ไม่พบกันนานทีเดียว”
“นั่นสิคะ ที่รัก กี่ปีแล้วนะ เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยแย่เลย”
แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่โรสมอนด์ก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ นางไม่สนใจว่าพวกเขาจะชื่นชมหรือจะด่าทอ เพราะตอนนี้ความรู้สึกที่นางมีต่อพวกเขามีเพียงความเกลียดชังเท่านั้น ทั้งอีกไม่นานนางก็จะกลายเป็นบุตรีของดยุกแล้ว โรสมอนด์หยิบบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อและยื่นให้บารอนแดโรว์
“ช่วยเซ็นด้วยค่ะ”
“อะไรหรือลูก”
ลูกอย่างนั้นรึ น่าสะอิดสะเอียน ผู้ชายคนนี้เคยทำเหมือนนางเป็นลูกสักครั้งด้วยอย่างนั้นหรือ
“พระเจ้าช่วย เอกสารสละอำนาจปกครองบุตร?”
อย่าทำหน้าเหมือนตกใจไปหน่อยเลย บารอเนสแดโรว์ มิใช่ว่าท่านหวังสิ่งนี้มาตลอด? หวังให้ข้าหายไปเสีย หายไปจากโลกนี้? ด้วยเหตุนั้นท่านจึงวางเฉย แม้ข้าจะถูกกระทำเช่นนั้นมิใช่หรือ? ไม่สิ สำหรับเรื่องนั้น ท่านมิใช่แค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ยังลอบปลุกปั่นอยู่เบื้องหลัง
“ใครให้เจ้าทำตามอำเภอใจ!”
“เจ้าเป็นลูกของข้า”
เมื่อเห็นพวกเขาคัดค้านเสียงแข็ง โรสมอนด์ก็มีสีหน้าเหนื่อยใจ เป็นไปได้นางก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายกับคนพวกนี้ แผนการอันสมบูรณ์แบบของนางคือมาถึงที่นี่แล้วกลับออกไปภายในครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็ผ่านมาราวสิบนาทีได้แล้ว เช่นนั้นก็เหลือเวลาอีกยี่สิบนาที นางยอมเปิดปากเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้จบโดยไว
“การเซ็นเอกสารฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อพวกท่าน” โรสมอนด์พูดเสียงเย็น “เรื่องนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว จากนี้ข้าจะไม่ใช่แค่บุตรีของบารอนอีกต่อไป ข้ากำลังจะเป็นบุตรีของดยุก หากพวกท่านอยากจะทำอะไรเพื่อข้าสักนิด เช่นนั้นก็ช่วยหุบปากแล้วเซ็นเสีย ข้าอยากจะออกไปจากที่นี่เร็วๆ”
ทั้งหมดนั้นคือเรื่องจริง น่าเศร้าที่มันเป็นเช่นนั้น หญิงสาวอยากจะสลัดนามสกุลแดโรว์อันแสนสกปรกที่อยู่ต่อท้ายชื่อของนางทิ้งไปให้เร็วที่สุด แม้มันจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงชาติกำเนิดของนาง แต่ตอนนี้มันเป็นเพียงความอัปยศที่นางอยากจะลบทิ้งไปเท่านั้น
“ลูกแม่ ไฉนเจ้าจึงพูดเช่นนั้น…”
บารอเนสแดโรว์มีสีหน้าราวกับปวดใจเหลือแสน ซึ่งมันดูไร้สาระเสียจนโรสมอนด์หัวเราะไม่ออก การแสดงปฏิกิริยาแบบมนุษย์เช่นนั้นทำให้นางเกลียดชังครอบครัวนี้ยิ่งกว่าอะไร
“มาถึงขั้นนี้แล้ว เลิกสวมหน้ากากใส่กันเถอะค่ะ บารอเนส ช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก”
“เจ้า…”
“ที่รัก พอเถอะ โรส เจ้าก็พอได้แล้ว”
บารอนแดโรว์เข้ามาขวางราวกับทนดูไม่ได้ แม้กระทั่งการเข้ามาขวางนี้ก็ยังทำให้โรสมอนด์รู้สึกคลื่นไส้ มาทำตัวเป็นพ่ออะไรตอนนี้
“ท่านนั่นแหละหยุด คิดว่าตัวเองยังมีสิทธิ์เรียกชื่อข้าอีกอย่างนั้นรึ”
“โรส…”
“ข้าบอกว่าอย่าเรียก”
โรสมอนด์เอ่ยเตือนด้วยแววตามาดร้าย นางรู้สึกคลื่นไส้มาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว นางพยายามไม่สนใจความรู้สึกพะอืดพะอมที่ตีรื้นขึ้นมาและพูดต่อไปอย่างเยือกเย็น
“ดูเหมือนพวกท่านอาจจะกำลังเข้าใจผิด นี่มิใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่พวกท่านต้องยอมรับ”
เช่นเดียวกับข้าในอดีต พวกท่านเองก็ต้องทำเช่นนั้น ถึงอย่างไรพวกท่านก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วมิใช่รึ?
“เพราะฉะนั้น หุบปากแล้วก็เซ็นเสีย ข้าอยากจะรีบออกไปจากปราสาทที่น่าขยะแขยงนี่เต็มทนแล้ว”
“…”
บารอนแดโรว์มีสีหน้าเคร่งเครียด ในขณะที่สีหน้าของบารอเนสฉายแววของความหงุดหงิด บารอนนิ่งคิดก่อนจะเอ่ยปาก
“ลูกพ่อ”
***
ทั้งสองคนร้องไห้ด้วยกันอยู่นาน แต่เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง พวกเขาก็หยุดร้อง แพทริเซียนั่งข้างๆ ลูซิโอโดยไม่รู้เลยว่าใบหน้าของตนกำลังบวมจากการร้องไห้อย่างหนัก อาจเพราะร่างกายเสียน้ำมากเกินไป พวกเขาจึงดูอ่อนเพลีย ขณะที่ทั้งคู่นั่งอยู่ข้างกันโดยไม่พูดอะไรอยู่ครู่ใหญ่ แพทริเซียก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน
“ฝ่าบาท”
“…ว่าอย่างไร”
“หม่อมฉันมีเรื่องสงสัยเพคะ”
“ถามมาสิ”
แพทริเซียมองลูซิโอพลางเอ่ยปากถาม
“ที่ทรงรักโรสมอนด์ ที่ทรงให้ความสำคัญกับนางถึงเพียงนั้น”
“…”
“เกี่ยวข้องกับ…เรื่องที่พระองค์เล่าหรือไม่เพคะ”
“…ใช่”
ว่าแล้วเชียว เมื่อรู้แล้วว่าตนคาดเดาได้ถูกต้อง แพทริเซียก็หลับตาลงเงียบๆ
นางคิดว่ามันแปลกมาตั้งแต่แรก เพราะนั่นไม่ใช่แค่ความรักหรือการชอบพอทั่วๆ ไป นางจึงคิดมาตลอดว่ามันแปลก ท่าทีของเขามักจะดูไม่เป็นธรรมชาติ ทำราวกับผู้หญิงคนนั้นคือตัวเขาอีกคน นางจึงสงสัย…ว่าเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เขาดูเป็นเช่นนั้น แต่หากเป็นเหตุผลนี้ก็เข้าใจได้
“นางเองก็มีเรื่องราวในอดีตมากมายไม่ต่างจากเราเท่าไร” ลูซิโอกล่าว
“…”
ครั้นได้ฟังดังนั้น แพทริเซียก็อดหัวเราะอยู่ในใจไม่ได้ ตัวเอกของเรื่องนี้มีอยู่สามคน และทั้งสามคนนั้นต่างก็มีอดีตที่โดดเด่นไม่แพ้กัน คนหนึ่งย้อนเวลากลับมาหลังจากที่ครอบครัวถูกประหารจนสิ้น อีกคนหนึ่งถูกแม่เลี้ยงโรคจิตหลอกใช้ให้ฆ่าแม่แท้ๆ ของตัวเอง แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ? จู่ๆ แพทริเซียก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“ที่เราทิ้งนางไปไม่ได้…ก็เพราะเรื่องนั้นเช่นกัน”
“…นางก็เหมือนกับฝ่าบาทหรือเพคะ”
“ไม่รู้สินะ” เขาตอบคำถามอย่างคลุมเครือ “เดิมทีแล้วขนาดของความเจ็บปวดเป็นนามธรรม[1]มิใช่หรือ”
แพทริเซียรู้สึกเห็นด้วย แต่ถึงกระนั้นความเจ็บปวดที่เป็นรูปธรรม[2]เช่นเดียวกับความเจ็บปวดของลูซิโอก็มีอยู่จริง แพทริเซียกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ
“ความเจ็บปวดของนางเป็นรูปธรรม”
เหมือนกับข้า
จากนั้นอีกหนึ่งเรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้น
[1] นามธรรม คือ สิ่งที่ไม่มีรูปร่าง หรือสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า
[2] รูปธรรม คือ สิ่งที่มีรูปร่าง หรือสิ่งที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือสิ่งที่สามารถปฏิบัติ ไม่ใช่แค่ทฤษฎี