Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 92 นางถูกทอดทิ้งแล้ว
อีกด้านหนึ่ง หลังจากรู้ว่าพวกนักฆ่ารับสารภาพแล้ว และตนกำลังจะถูกตัดสินโทษในอีกไม่กี่วัน สติของโรสมอนด์ก็เริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอย นางเดินไปเดินมาทั่วห้องขังอย่างกระวนกระวายราวกับคนเสียสติ
“ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี?”
ในเมื่อพวกนักฆ่ารับสารภาพแล้ว โรสมอนด์ก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก จักรพรรดิไม่ได้อยู่ข้างนาง ส่วนตระกูลแดโรว์ก็ไม่มีทางมาช่วยนาง เพราะฉะนั้นนางจึงคิดออกเพียงวิธีเดียว
“ต้องขอความช่วยเหลือจากดยุกเอเฟรนี!”
นางกระวีกระวาดเรียกหาผู้คุมราวกับลืมไปแล้วว่าดยุกเอเฟรนีย่อมต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับนาง ผู้คุมถามหญิงสาวด้วยสีหน้าแกมรำคาญ
“ท่านมีเรื่องอันใด”
“ข้าต้องเขียนจดหมาย ไปเอากระดาษกับปากกามา”
“ไม่ได้เด็ดขาด พระจักรพรรดินีมีรับสั่งห้ามให้สิ่งใดกับท่านนอกจากอาหาร”
“ข้าขอร้อง! เจ้าช่วยทีไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้”
ผู้คุมพูดคำเดิมซ้ำๆ ราวกับนกแก้ว โรสมอนด์รับรู้ได้ว่าความหวังสุดท้ายได้มลายหายไปแล้ว สีหน้าของนางดูสิ้นหวัง แต่แล้ววินาทีนั้นนางก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“ข้าต้องออกไป”
“ไม่ได้เด็ดขาด”
“น้องชายของข้าตายแล้ว! ลอร์ดเอเฟรนีตายแล้ว! ข้าต้องไป”
โรสมอนด์ใช้ลอร์ดเอเฟรนีเป็นข้ออ้าง นางพยายามปั้นสีหน้าให้น่าเวทนามากที่สุดพลางอ้อนวอนผู้คุม
“ให้ข้าได้ไปร่วมงานศพของน้องชายด้วยเถิด เจ้าไปกราบทูลพระจักรพรรดินีมิได้หรือ”
“…”
ได้ยินดังนั้นผู้คุมก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาถอนหายใจพลางกล่าว
“ข้าจะลองกราบทูลให้ แต่นักโทษอุกฉกรรจ์เช่นนี้เห็นทีจะยาก”
“อย่างน้อยก็ลองกราบทูลดูก่อน”
“ท่านรอสักประเดี๋ยว”
พูดจบ ผู้คุมก็เดินหายไป โรสมอนด์หวังว่าแพทริเซียจะยอมรับคำขอร้องของนาง และเชื่อว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ตามธรรมเนียมปฏิบัติของจักรวรรดิ แม้จะเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ก็ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงานศพของคนในครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้นางยังไม่ถูกตัดสินโทษ
“ขอไปร่วมงานศพ?”
แพทริเซียมีสีหน้าไม่พอใจเมื่อได้ฟังคำของผู้คุม เห็นได้ชัดว่าโรสมอนด์มีแผนการบางอย่าง ช่างน่าหงุดหงิดยิ่งที่ตนไม่อาจเพิกเฉยต่อคำขอของอีกฝ่ายได้ โรสมอนด์ยังไม่ถูกตัดสินโทษ และต่อให้ถูกตัดสินโทษแล้ว กฎหมายของจักรวรรดิก็บัญญัติไว้ว่าต้องให้นักโทษได้เข้าร่วมพิธีศพ แพทริเซียถอนหายใจ
“เอาเถอะ คงไม่เป็นไรกระมัง”
“ได้ยินว่าเมื่อวานดยุกกับดัชเชสเอเฟรนีมีปากเสียงกันเพคะ ฝ่าบาท” มีร์ยาเข้ามาเงียบๆ และกระซิบแจ้งข่าว “ดูแล้วน่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องอนุภรรยากับบุตรชายเพคะ อย่างไรตอนนี้ตระกูลดยุกก็ขาดผู้สืบทอด”
“หากรู้ว่าอนุภรรยาคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมาร์เชอเนสเอธิลเลอร์ ต่อให้เป็นดัชเชสก็คงยากที่จะยอมรับ การเปิดโปงความสัมพันธ์ของสองคนนั้นสำคัญเหนือสิ่งใดเพคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลค่ะ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” เปโตรนิยาที่อ่านหนังสืออยู่ข้างๆ เปรยขึ้น “ดัชเชสจะได้รู้เรื่องความสัมพันธ์ของสองคนนั้น…และรู้ว่าเหตุใดตนถึงต้องแต่งงานกับดยุกเอเฟรนีภายในวันนี้”
“ดัชเชสคงสะเทือนใจมากทีเดียว”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” เปโตรนิยาพยักหน้าและพูดเสริม “ชีวิตของดัชเชสช่างอับโชคนัก”
แพทริเซียก็คิดเช่นนั้น หากทุกอย่างเป็นไปตามที่นางคิด ชีวิตของดัชเชสเอเฟรนีจะร่วงลงสู่ขุมนรก แม้แต่เรื่องราวของแพทริเซียเองก็เทียบไม่ติด คิดมาถึงตรงนี้แพทริเซียก็รู้สึกเสียใจกับอีกฝ่าย
“ข้าอนุญาตให้นางเข้าร่วมงาน แต่เพิ่มผู้ติดตามอีกสักสี่ห้าคนเพื่อป้องกันการหลบหนี” นางกล่าวกับมีร์ยา
“แน่นอนเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะแจ้งผู้คุมตามนั้น”
เมื่อมีร์ยาออกไปแล้ว เปโตรนิยาที่อยู่ด้านข้างก็ถามแพทริเซีย
“ถ้าดยุกเอเฟรนีทิ้งมาดามแจนยูเอรีเราจะทำอย่างไร”
ได้ยินเปโตรนิยาตั้งสมมติฐานดังนั้น แพทริเซียก็ตอบออกไปอย่างชัดเจน
“หากเป็นเช่นนั้น แจนยูเอรีคงเป็นฝ่ายโพนทะนาความอัปยศของดยุกเอเฟรนีก่อนกระมัง แต่ไม่ว่าจะจบอย่างไรเราก็ไม่ได้รับความเสียหายอยู่แล้ว”
“แล้วเจ้าคิดจะกราบทูลพระจักรพรรดิเมื่อใด ริซซี่”
“…”
ได้ยินคำถามนั้นแพทริเซียก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากอีกครั้ง
“ถ้าเรื่องจบลงด้วยดีคงไม่จำเป็นต้องกราบทูล อย่างไรก็มิใช่เรื่องดี”
“นั่นสินะ” เปโตรนิยาตอบสั้นๆ อย่างเห็นด้วยก่อนจะมองน้องสาวด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่เจ้าดูเหนื่อยๆ นะ”
“ใช่” แพทริเซียตอบพร้อมกับถอนหายใจ “ข้าเหนื่อย”
“ไม่พักสักหน่อยหรือ”
“นั่นหาใช่เพียงเพราะไม่ได้พักผ่อน…” แพทริเซียกล่าวเสียงกระด้าง “ทุกสิ่งทุกอย่างช่างเหนื่อยยากและเกินกำลัง”
“…”
“ข้าอยากให้มันจบเร็วๆ จะได้พักเสียที”
“เจ้า…เช่นนั้นแล้ว”
เปโตรนิยาคล้ายคาดเดาได้ถึงบางสิ่ง แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของนางกลับกระท่อนกระแท่นเป็นคำๆ ไม่ครบความ แพทริเซียเพียงแต่นิ่งฟัง ไม่คิดจะเสริมให้จบประโยค เปโตรนิยาแอบเติมคำลงในช่องว่างในใจแต่มิอาจพูดออกไป
***
อีกด้านหนึ่ง โรสมอนด์ดีใจตัวแทบลอยเมื่อได้ยินว่านางได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงานศพ ราวกับความตายของน้องชายบุญธรรมกลายเป็นเชือกทองแดง[1]ที่ช่วยนางไว้ โรสมอนด์รู้ดีกว่าใครว่าตนไม่มีเวลาแล้ว นางจึงรีบเตรียมตัวออกเดินทาง ผู้คุมสี่คนตามประกบนางตามคำสั่งของจักรพรรดินีแต่โรสมอนด์ก็ไม่ได้สนใจ ที่คฤหาสน์ดยุกจะต้องมีคนมาร่วมงานมากมายเป็นแน่ การจะหาโอกาสพบกับแจนยูเอรีย่อมมิใช่เรื่องยาก
โรสมอนด์โดยสารรถม้าสำหรับนักโทษไปยังคฤหาสน์ดยุกเอเฟรนี เนื่องจากถูกคุมขังอยู่ในคุกหลายวันสภาพของหญิงสาวในตอนนี้จึงยากจะพูดได้ว่าสะอาดสะอ้าน แต่ด้วยใบหน้าที่งดงามเป็นทุนเดิม สภาพภายนอกจึงมิได้มีความหมายอันใดมากนัก
ภายในคฤหาสน์เต็มไปด้วยแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความเสียใจ เสียงที่ดังอื้ออึงอยู่แล้วดูเหมือนจะดังยิ่งขึ้นเมื่อโรสมอนด์ปรากฏตัว แต่เพียงไม่นานก็เหลือเพียงเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ เท่านั้น ทุกคนหลบเลี่ยงโรสมอนด์ แต่กลับไม่หลบตา ผู้คนส่วนใหญ่ต่างปรายตามองตามร่างของหญิงสาวที่เดินผ่านไป ยิ่งถูกห้อมล้อมด้วยผู้คุมทั้งสี่โรสมอนด์ยิ่งตกเป็นเป้าสายตา
โรสมอนด์รู้สึกไม่สบอารมณ์กับสายตาเหล่านั้นแต่นางก็ทำอะไรไม่ได้ นางเดินต่อไปอย่างไม่ยี่หระพลางกวาดสายตามองหาแจนยูเอรีอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดนางจึงหาอีกฝ่ายไม่พบ หรือเพราะเป็นอนุจึงต้องอยู่ในห้อง? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางก็เริ่มร้อนใจ ผู้คุมจับจ้องนางอย่างน่ากลัว ไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มีถึงสี่ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฝ่าพวกเขาออกไปในบ้านที่กำลังจัดพิธีศพนี้ โรสมอนด์เริ่มคิดหาทางอีกครั้ง และในตอนนั้นเองนางก็เห็นใบหน้าที่น่ายินดี
“เจคอบ?”
แม้นางจะไม่เคยพบเขามาก่อน แต่เด็กที่จะอยู่ในงานศพนี้ย่อมต้องเป็นเจคอบบุตรนอกกฎหมายของดยุกอย่างไม่ต้องสงสัย นางรีบปรี่เข้าไปหาเจคอบน้อยและแสร้งถามอย่างคุ้นเคย
“สวัสดีจ้ะ ท่านแม่อยู่ไหนหรือ เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ควรมาอยู่ในที่แบบนี้คนเดียวนะจ๊ะ”
“ท่านเป็นใครขอรับ”
เด็กน้อยระมัดระวังตัวอย่างมาก เขาระวังระไวสตรีแปลกหน้าที่เพิ่งพบเป็นครั้งแรก โรสมอนด์แสร้งฉีกยิ้มเป็นคนดี พยายามคลายความระแวงของเจคอบ
“ข้าหาใช่คนไม่ดี”
หึ
ได้ยินโรสมอนด์พูดแบบนั้นผู้คุมคนหนึ่งก็หลุดขำออกมา โรสมอนด์ไม่ได้สนใจเขาและพูดกับเจคอบต่อไป
“รีบไปหาท่านแม่เถิด ท่านแม่ของเจ้าอยู่ที่ใด”
“ท่านแม่อยู่ในห้องขอรับ”
“เอาล่ะ เดี๋ยวข้าพาไป”
พูดจบนางก็พูดกับผู้คุมเสียงค่อยว่าอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กเล็ก พวกเขาไม่ได้ห้ามโรสมอนด์เพราะคิดว่ามีพวกตนจับตาดูอยู่คงไม่เป็นไร โรสมอนด์จูงมือเจคอบเดินไปที่ห้องของแจนยูเอรีและเคาะประตู
สิ้นเสียงเคาะประตู ก๊อกก๊อก ก็มีเสียงแหวดังสวนกลับมาจากด้านใน
“ใคร!”
“ท่านเป็นมารดาของเด็กคนนี้ใช่หรือไม่”
“โรส…”
แจนยูเอรีรู้ว่านั่นเป็นเสียงของโรสมอนด์จึงรีบเปิดประตูออกไปทันที นางมองโรสมอนด์เหมือนเห็นคนตายสลับกับมองบุตรชายของตน ทันใดนั้นนางก็รีบดึงเจคอบออกจากมือของคนตรงหน้า เมื่อถูกกระทำราวกับตนเป็นผู้ร้ายลักเด็ก โรสมอนด์ก็กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าเห็นเด็กเดินเตร่อยู่คนเดียวจึงพามาส่งค่ะ”
“ขอบคุณ…ค่ะ”
แจนยูเอรีดึงมือเจคอบเข้ามาหาตัวเองด้วยสีหน้าตะลึงงันราวกับเห็นผีและปิดประตูทันที นางคุกเข่าลงต่อหน้าบุตรชายและเอ่ยถาม
“คนผู้นั้นทำอะไรลูกหรือไม่ เจย์”
“ไม่ขอรับ ท่านแม่”
แต่เมื่อตอบออกไปแล้วเด็กน้อยก็ทำสีหน้าคล้ายกำลังขบคิดให้ละเอียดก่อนจะยื่นบางสิ่งมาตรงหน้า สิ่งที่อยู่ในมือน้อยๆ นั้นคือเศษผ้ายับยู่
“จู่ๆ นางก็ยัดสิ่งนี้ใส่มือข้า มิได้กล่าวอันใด”
แจนยูเอรีรีบหยิบเศษผ้านั้นขึ้นมา สภาพของมันดูแย่มาก แต่เห็นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าถูกฉีกออกมาจากชุดเดรสที่โรสมอนด์สวมใส่อยู่ นางอดหัวร่อออกมาไม่ได้ อีกฝ่ายคงใช้เศษผ้าแทนเพราะไม่มีกระดาษเป็นแน่ จดหมายของนางถูกเขียนด้วยเลือดสีแดงสด ท่าทางนางคงต้องใช้เลือดเพราะไม่มีทั้งน้ำหมึกและปากกา
แจนี่ที่รัก
ตอนนี้ข้ากำลังลำบากมาก จักรพรรดินีสร้างคำให้การเท็จ พยายามจะทำให้ข้าต้องโทษประหาร อีกไม่กี่วันก็จะตัดสินโทษแล้ว รีบนำเรื่องนี้ไปบอกดยุกเอเฟรนีและช่วยข้าออกไป หาไม่แล้วทั้งข้า ทั้งเจ้า และดยุกเอเฟรนีจะต้องวิบัติไปพร้อมกัน จงจำไว้ให้ดี
โรสของเจ้า
“ยังมีหน้ามาพูดว่า ‘โรสของเจ้า’ อีกรึ”
แจนยูเอรีระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นต้องเข้าใจอันใดผิดอยู่เป็นแน่ นางคิดว่าดยุกเอเฟรนีไม่ช่วยนางเพราะไม่รู้ว่านางกำลังตกที่นั่งลำบากอย่างนั้นหรือ? นางถูกทอดทิ้งแล้วต่างหาก คนตายย่อมไร้คำพูด ดยุกเอเฟรนีอาจจะกำลังภาวนาให้นางตายเร็วขึ้นอีกวันเสียด้วยซ้ำ ขอเพียงนางตายก็จะไม่มีใครมาควบคุมและสั่นคลอนเขาได้อีก แล้วนี่ยังจะส่งจดหมายเช่นนี้มาอีกหรือนี่!
คราวนี้ไม่มีแม้กระทั่งข้อความสำทับให้เผาจดหมาย หากใครรู้เข้าว่านางมีความเกี่ยวข้องกับโรสมอนด์ ทุกอย่างจบสิ้นแน่ นางจะถูกประหารข้อหาสมรู้ร่วมคิด และหากเป็นเช่นนั้นบุตรชายที่น่าสงสารของนางก็จะกำพร้า นางจะปล่อยให้ลูกรักประสบชะตาเช่นนั้นไม่ได้ แจนยูเอรีนำเศษผ้านั้นไปเผาอย่างไม่ลังเล จะให้ใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับโรสมอนด์ไม่ได้เด็ดขาด
[1] เชือกทองแดงนี้มีที่มาจากนิทานเรื่องกำเนิดพระอาทิตย์และพระจันทร์ สองพี่น้องที่กำลังจะถูกจับกินอธิษฐานว่าหากพระเจ้าอยากให้พวกเขารอดขอให้ส่งเชือกทองแดงมาให้ แต่หากพระเจ้าอยากให้พวกเขาตายขอให้ส่งเชือกเก่าๆ ใกล้ขาดลงมาให้