Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - ภาคแยก | บทที่ 32 แด่รักนิรันดร์ (ตอนจบ)
อาหารมื้อค่ำยอดเยี่ยมมาก ทั้งหรูหราและหลากชนิดกว่าปกติราวกับว่าลูซิโอได้กำชับหัวหน้าห้องเครื่องไว้ แพทริเซียย่อมรู้เรื่องนั้นดีจึงอารมณ์ดีตลอดมื้ออาหาร
ทว่า จนถึงตอนกินทิรามิสุเป็นของหวานตบท้ายนางก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าลูซิโอจะเตรียมพิเศษๆ อะไรไว้ให้ กระทั่งทิรามิสุพร่องไปจนหมด สุดท้ายแพทริเซียก็รู้สึกกระดากอายขึ้นมา นางอายที่ดูเหมือนตนจะตื่นเต้นไปเองคนเดียว
‘แค่ได้กินอาหารด้วยกันสองต่อสองเช่นนี้ก็น่าดีใจและมีความสุขมากพอแล้วแท้ๆ’
ดูเหมือนข้าจะคาดหวังมากเกินไป
แพทริเซียทิ้งความคาดหวังไร้สาระไปและคิดว่าตนควรจะจดจ่ออยู่กับช่วงเวลานี้พลางมองลูซิโอด้วยแววตาอ่อนโยน เมื่อลูซิโอรู้สึกถึงสายตานั้นเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ไยจึงมองเช่นนั้นเล่า ริซซี่”
“มองเฉยๆ เพคะ” แพทริเซียยิ้มน้อยๆ “หม่อมฉันกำลังสงสัยว่าเหตุพระองค์ถึงได้ดูหนุ่มนัก พระพักตร์ยังเหมือนตอนที่แต่งงานกันไม่เปลี่ยนเลยเพคะ”
“โห ผ่านมายี่สิบปีแล้ว เปลือกถั่วที่บังตา[1]เจ้าไว้ยังไม่หลุดออกไปอีกหรือนี่”
“คงไม่ได้อยากให้มันหลุดออกไปหรอกใช่ไหมเพคะ”
“ไม่มีทาง ที่ข้าอยากให้หลุดเป็นอย่างอื่นมากกว่า”
“ฝ่าบาท!”
แพทริเซียขึ้นเสียงเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ลูซิโอเห็นปฏิกิริยานั้นก็หัวเราะเบาๆ ออกมาอีกครั้ง แม้เวลาจะล่วงเลยมายี่สิบปีแล้วแต่พวกเขาสองสามีภรรยาก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ภรรยาของเขายังคงไร้เดียงสาเหมือนสาวรุ่น และสามีของนางก็ยังคงเฝ้ามองแต่นางเพียงผู้เดียวราวกับดอกทานตะวันเฝ้ามองดวงอาทิตย์
“ว่าอย่างไร ริซซี่? คืนนี้จะนอนที่นี่หรือไม่”
“ถ้าหม่อมฉันปฏิเสธจะเป็นอย่างไรหรือเพคะ”
“สามีของเจ้าคงจะปวดใจมาก”
“ตายจริง เช่นนั้นหม่อมฉันก็ปฏิเสธไม่ได้น่ะสิเพคะ”
แพทริเซียหัวเราะคิกคัก ในขณะที่ลูซิโอยิ้มน้อยๆ และมองไปที่นาง ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง นางยังคงมองลูซิโอพร้อมคลี่ยิ้มจางๆ ขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหานาง
‘น่าแปลกจัง’
ทุกย่างก้าวที่ร่นระยะทางเข้ามานั้นทำให้หัวใจของแพทริเซียเต้นตึกตัก พวกเขาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่บางครั้งนางก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนยังรู้สึกใจเต้นกับอีกฝ่ายอยู่อีก ทั้งที่เขาเป็นผู้ชายที่นางได้เจอจนแทบจะเบื่อหน้าแล้วแท้ๆ
“ฝ่าบาท”
แพทริเซียเอ่ยเรียกลูซิโอเสียงแผ่วหลังจากที่เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมามองนางด้วยแววตาอ่อนโยนราวกับมีเรื่องจะพูด
“ตื่นเต้นเพคะ” แพทริเซียว่า
“อะไรหรือ”
“เห็นฝ่าบาทแล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมา” แพทริเซียเองก็ไม่รู้ว่าทำไม “พวกเราอยู่ด้วยกันมานานจนน่าจะเบื่อกันได้แล้วแท้ๆ แต่เหตุใดหม่อมฉันจึงเป็นเช่นนี้เล่าเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ”
“แล้วเจ้าไม่ชอบหรือ”
“ไม่ใช่แน่นอนเพคะ”
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด” เขาลูบแก้มนางอย่างอ่อนโยน “สิ่งที่สำคัญคือความรู้สึกของเจ้าหาใช่เหตุผล การที่เจ้ามองข้าแล้วรู้สึกตื่นเต้นนั่นแหละที่สำคัญ มิใช่การหาเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงตื่นเต้น”
“ฝ่าบาทก็ทรงเป็นเหมือนกันหรือเพคะ”
“แน่นอนสิ”
“แม้พระองค์จะทรงรู้จักหม่อมฉันดีอยู่แล้วน่ะหรือเพคะ”
“ข้าคิดว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ข้าไม่รู้นะ”
“ทรงเห็นหน้าหม่อมฉันจนเบื่อแล้วมิใช่หรือเพคะ”
“ข้ามิใช่ผู้ชายโลเลที่จะเบื่อได้กระทั่งภรรยา” ลูซิโอยิ้มอย่างอ่อนโยนและช่วยปัดผมที่ปรกลงมาไปด้านหลังให้แพทริเซีย “อีกทั้งในสายตาข้า เจ้างดงามเกินกว่าที่จะเบื่อในเร็ววัน”
“ขอบพระทัยที่เห็นหม่อมฉันเป็นเช่นนั้นเพคะ”
“อะไรกัน ต่างคนต่างก็ใจเต้นแท้ๆ พูดเช่นนั้นได้ที่ไหน” ลูซิโอค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วจุมพิตที่เรือนผมของนางก่อนจะกระซิบ “ยังอีกนานกว่าข้าจะเบื่อ ไม่ต้องห่วง”
“เมื่อไรหรือเพคะ”
“หลังตายไปแล้วสักพันปี?”
“ตายจริง” แพทริเซียยิ้มอย่างชอบใจ “ชาติหน้าก็จะอยู่กับหม่อมฉันหรือเพคะ”
“ข้าไม่เชื่อเรื่องแบบนั้น” ลูซิโอยิ้มน้อยๆ “แต่หากมันมีอยู่จริง ถึงตอนนั้นข้าก็อยากจะลองเป็นพ่อของเจ้าดู ไม่ใช่สามี”
“พ่อหรือคะ”
“ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกอย่างไรเล่า ถึงตอนนั้นข้าอยากรักเจ้าให้มากกว่านี้”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็อยากเกิดเป็นพระราชมารดาของพระองค์เพคะ”
“เราเป็นพร้อมกันไม่ได้สิ ข้าพูดก่อน ดังนั้นต้องเริ่มที่ข้าเป็นพ่อของเจ้าในชาติต่อไป”
“ได้อย่างไรเล่าเพคะ! ไม่ยุติธรรมเลย”
แพทริเซียหัวเราะคิกคักพลางตีลูซิโอเบาๆ เขายอมรับฝ่ามือนั้นด้วยความเต็มใจโดยไม่ละทิ้งรอยยิ้มบนใบหน้า
เรื่องนี้อาจฟังดูเสียสติ แต่เขาชอบแม้กระทั่งตอนที่นางตีเขาเช่นนี้ เพราะนั่นเป็นหลักฐานที่สมบูรณ์ที่สุดว่านางยังคงแข็งแรงดีอยู่
“เอาล่ะ ริซซี่ อยู่คนเดียวสักพักนะ”
“จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ”
“ข้ามีงานด่วนต้องไปจัดการ ลืมเสียสนิทเลย”
“อา…”
แพทริเซียเกือบจะแสดงท่าทีน้อยใจออกไป แต่สุดท้ายนางก็รีบพยักหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย
“ไม่ต้องรีบนะเพคะ หม่อมฉันจะทานทิรามิสุรอ”
“กินให้เต็มที่ หมู่นี้เจ้าดูผอมไปมาก”
“ปะ เปล่าเสียหน่อยเพคะ”
แพทริเซียเขินอายจนหน้าแดง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็เผลอยิ้มออกมา บางทีอีกยี่สิบปี ไม่สิ ต่อให้ผ่านไปอีกสี่สิบปีนางก็จะยังคงน่ารักเช่นนี้อยู่กระมัง ลูซิโอคิดเช่นนั้นแล้วค่อยๆ ปลีกตัวออกไป แพทริเซียที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวไหว้วานให้นางกำนัลนำทิรามิสุมาให้อีกที่ ระหว่างรอนางก็มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเหม่อลอย และมองบนโต๊ะอาหารอย่างไม่ตั้งใจ สายตาของนางไปหยุดอยู่ตรงที่นั่งของลูซิโอ ขณะที่มองดูอย่างไม่คิดอะไร ทันใดนั้นนางก็จับสังเกตได้เรื่องหนึ่งจึงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
‘ปกติเขาทานน้อยเช่นนี้หรือ’
หากเทียบกับปริมาณที่เขากินในยามปกติแล้วตอนนี้มีอาหารเหลืออยู่บนจานมากเกินไป ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่านะ สีหน้าของแพทริเซียพลันเป็นกังวัล เมื่อครู่สีหน้าของเขาก็ดูปกติดี หรือว่าท้องไส้จะปั่นป่วน…
“ริซซี่”
ตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงของลูซิโอ แพทริเซียรีบหันหลังไปมองและพบว่าเขายืนยิ้มอยู่ริมประตู นางจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ
“โอ๊ะ…มาแล้วหรือเพคะ”
“งานเสร็จเร็วน่ะ” เขายิ้มอย่างอ่อนโยน “ทำอะไรอยู่ตรงนั้นหรือ”
“โอ๊ะ…” แพทริเซียอุทานซ้ำอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถาม “ฝ่าบาทประชวรตรงไหนหรือเปล่าเพคะ”
“หืม?”
“หม่อมฉันกำลังคิดว่าพระองค์ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“เหตุใดจู่ๆ จึงคิดเช่นนั้นเล่า”
“เห็นฝ่าบาทเหลืออาหารไว้มากกว่าปกติ หม่อมฉันจึงเป็นห่วงน่ะสิเพคะ”
“อ้อ” เขาทำสีหน้าแปลกๆ แต่ก็พูดให้นางสบายใจ “ไม่เป็นไร ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก ข้าแค่…”
“แค่…?”
“มีเรื่องให้ตื่นเต้นนิดหน่อย”
“ทรงมีเรื่องอันใดที่ทำให้ตื่นเต้นด้วยหรือเพคะ”
“แน่สิ ข้าก็คนนะ”
ลูซิโอยิ้มน้อยๆ แล้วเดินมาหาแพทริเซียก่อนจะคว้ามือของนางไปจับไว้แน่น การกระทำปุบปับของเขาทำให้นางมึนงง ระหว่างนั้นเขาก็กระซิบข้างหู
“ไปเดินเล่นกันหน่อยไหม”
***
พวกเขาไม่ได้ออกมาเดินเล่นด้วยกันตอนกลางคืนสองต่อสองมานานแล้ว ตอนยังอยู่ในช่วงวัยยี่สิบ แพทริเซียรู้สึกเหมือนได้เดินเล่นบ่อยๆ แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งยุ่งตัวเป็นเกลียว ทั้งที่ความสามารถในการจัดการงานของนางน่าจะเพิ่มขึ้นแท้ๆ แพทริเซียคิดว่ามันช่างเป็นเรื่องที่น่าพิศวง ขณะนั้นเองนางก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นที่ส่งผ่านมาทางมือที่กอบกุมกันไว้ ราวกับความอบอุ่นนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“ไม่หนาวไปหน่อยหรือ”
“หนาวหรือเพคะ”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงเจ้า”
“ชุดเดรสตัวนี้ผ้าหน้าเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นไร”
ทว่า ลูซิโอก็ยังคงถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้แพทริเซียอยู่ดีโดยไม่สนใจว่านางจะว่าอย่างไร
“ขืนทำแบบนี้ฝ่าบาทจะประชวรไข้หวัดเอาได้นะเพคะ” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าแข็งแรงดี ไม่เป็นไร”
“ข้ออ้าง หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ เพคะ”
“อีกประเดี๋ยวก็จะถึงงานวันเกิดของเจ้าแล้ว คงไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่าการป่วยในวันเกิดอีกแล้วล่ะ”
ลูซิโอจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของแพทริเซียพลางกระซิบ “หรือถ้าเป็นห่วงถึงขนาดนั้นก็จับมือข้าไปเรื่อยๆ สิ”
“อุ่นหรือเพคะ”
“อืม อุ่นมาก”
“ใจหม่อมฉันอยากจะจับทั้งสองมือเลยเพคะ”
“แบบนั้นไม่ได้สิ”
นางคิดว่าเขาต้องเห็นด้วยแน่นอนอยู่แล้วเสียอีก แต่กลับผิดคาด แพทริเซียเบิกตากว้างพลางถาม
“ทำไมล่ะเพคะ”
“พวกเราไม่ได้อยู่กันแค่สองคนเสียหน่อย”
พูดจบ ลูซิโอก็ปล่อยมือแพทริเซีย เมื่อความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทางฝ่ามือหายไปอย่างกะทันหัน ความหนาวเย็นจึงเข้ามาแทนที่ นางมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“เหตุใด…”
ตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาจากทางด้านหลัง ไม่สิ พูดให้ถูกคือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งต่างหาก เมื่อหันไปมองแพทริเซียก็หลุดพูดเสียงดัง
“พวกเจ้า…!”
พวกเขาคือดีแลนและสามแฝด คงเพราะซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ เสื้อผ้าของพวกเขาจึงมีใบไม้ติดอยู่เต็มไปหมด เรเซียยิ้มกว้างและตะโกนเสียงดัง
“หนึ่ง สอง สาม สี่!”
“Happy birthday to you, Happy birthday to you, Happy birthday, Happy birthday, Happy birthday to Mommy~!”
“เย้!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากทำเอาแพทริเซียตั้งสติไม่ทัน นี่มัน…งานเลี้ยงวันเกิดแบบไม่ทันตั้งตัว…อะไรทำนองนั้นหรือ? นางพึมพำออกมาด้วยสีหน้างุนงง
“นี่มัน…”
“ท่านแม่เป่าเทียนสิคะ เร็วเข้า!”
“เดี๋ยวจะเที่ยงคืนแล้วนะคะ!”
“หา? เอ่อ จ้ะ…”
แพทริเซียเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าดีแลนอย่างงงๆ ก่อนจะเป่าลมอย่างแรงใส่เทียนที่ถูกปักไว้เต็มหน้าเค้ก เทียนทั้งหมดดับสนิทภายในครั้งเดียว จากนั้นพวกเด็กๆ ก็โห่ร้องออกมาอีกครั้งด้วยความยินดี
“เย้!”
“สุขสันต์วันเกิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
“ท่านแม่”
น้องเล็กเรย์เนก้าวออกมาข้างหน้าก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้แพทริเซีย แพทริเซียรับสิ่งนั้นมาด้วยความสงสัย
“เข็มกลัดรูปดอกกุหลาบที่ทำจากกระดาษค่ะ” เรย์เนพูดอย่างเอียงอาย
เรย์เนรู้ว่าแพทริเซียชอบดอกกุหลาบ แต่จะใช้ดอกไม้สด ไม่นานก็คงร่วงโรย หรือจะหาอัญมณีมาเจียระไนเป็นรูปดอกกุหลาบก็เกินกำลัง สุดท้ายเรย์เนจึงเลือกใช้กระดาษสีแดงสดสวย แพทริเซียยิ้มกว้างพลางลูบหัวเรย์เน
“ขอบใจมากจ้ะ เรย์เน กลัดให้แม่หน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ”
เรย์เนยิ้มเขินๆ แล้วใช้มือเล็กๆ ช่วยกลัดเข็มกลัดที่นางทำเองไว้บริเวณหน้าอกของแพทริเซีย คนต่อไปคือลูกคนที่สาม เรเซีย
“ท่านแม่ ของข้าเป็นผ้าเช็ดหน้าค่ะ ข้าปักลายเอง”
ตอนนี้แพทริเซียตกใจมากจริงๆ เรเซีย ลูกสาวที่โลดโผนโจนทะยานเหมือนเด็กผู้ชายที่สุดปักลายผ้าให้หรือนี่! นางเป็นเด็กที่ชอบฝึกดาบมากกว่าเย็บปักถักร้อย แต่นางกลับยอมปักผ้าเพื่อตน แพทริเซียรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา แม้ว่าผลลัพธ์จะค่อนข้างเละเทะ แต่ตอนนี้แพทริเซียกลับรู้สึกว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้งดงามและสำคัญยิ่งกว่าผ้าเช็ดหน้าผืนไหนๆ แพทริเซียจุมพิตที่แก้มของเรเซียและกระซิบคำขอบคุณ
คราวนี้ถึงคิวของเรจิเน ลูกสาวคนโต สิ่งที่นางยื่นมาให้เป็นสมุดเล่มบางแต่ตอนนี้มันมืดมากจนมองไม่เห็นเนื้อหาข้างใน แพทริเซียจึงเอ่ยถาม
“นี่สมุดอะไรหรือ เรจิเน”
“สมุดรวมคำกลอนที่ข้าเขียนให้ท่านแม่ค่ะ”
“ในนั้นมีแต่คำสรรเสริญเยินยอท่านแม่ค่ะ”
“ให้ตายเถอะ เรเซีย นี่เจ้าแอบดูสมุดของข้ารึ”
“ของท่านพี่ได้อย่างไร ต้องเป็นของท่านแม่สิ!”
“ก่อนจะให้ท่านแม่มันก็ต้องเป็นของข้าสิ! เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
“เอาล่ะ เด็กๆ อย่าทะเลาะกันจ้ะ เดี๋ยวแม่จะเอาไปอ่านที่ห้องนะ”
“ท่านแม่ต้องอ่านคนเดียวนะคะ เข้าใจใช่ไหมคะ อย่าให้ท่านพ่ออ่านด้วยนะคะ”
“เข้าใจแล้วจ้ะ เรจิเน”
แต่เป็นไปได้สูงว่าลูซิโอจะได้อ่านด้วย แพทริเซียคลี่ยิ้มพลางหันไปมองที่คนสุดท้าย ดีแลน ลูกชายคนโต เขายิ้มละมุนพร้อมกับยื่นบางสิ่งให้แพทริเซีย ลองจับดูแล้วมีสาย น่าจะเป็นสร้อย
“ลูกทำเองพ่ะย่ะค่ะ” ดีแลนพูดอย่างเก้อเขิน
“นี่เหมือนจะเป็นไม้ เจ้าแกะสลักเองหรือ”
“ไม่ยากหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพี่โดนมีดบาดไปหลายแผลเลยค่ะ!”
“เงียบน่า เรจิเน”
ดีแลนกระแอมไอและรีบปิดปากเรจิเน แพทริเซียได้ยินดังนั้นใจหนึ่งก็ดีใจ แต่อีกใจก็ไม่สบายใจ ถึงกระนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงความตั้งใจของดีแลนจึงเผยยิ้มออกมาในที่สุด
และสุดท้าย…
“ริซซี่”
ลูซิโอมายืนอยู่ตรงหน้านางพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยนเป็นที่สุด หัวใจของแพทริเซียเริ่มเต้นแรง
“รู้ใช่ไหมคะ ว่าของขวัญที่มีค่าที่สุดสำหรับข้าคือฝ่าบาทและลูกๆ” นางกล่าว
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่ถ้าข้าจะไม่ให้อะไรเลยก็เสียหน้าแย่น่ะสิ”
เขารับกล่องใบหนึ่งจากดีแลนแล้วยื่นให้แพทริเซีย เมื่อเปิดดูก็พบเทียนหอมเล่มหนึ่ง
“นี่อะไรหรือคะ” นางถาม
“เทียนหอมทำมือกลิ่นกุหลาบที่เจ้าชอบ”
“จุดตอนนอนคงจะดีไม่น้อย”
แพทริเซียยิ้มหวานและตั้งใจจะกล่าวขอบคุณ แต่ลูซิโอกลับเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“แด่รักนิรันดร์”
“คะ?”
“ว่ากันว่าการให้เทียนหอมเป็นของขวัญคือการอธิษฐานให้ความรักคงอยู่ชั่วนิรันดร์”
เทียนหอมนั้น เมื่อถูกจุดแล้วก็จะละลายหายไป แต่เขาปรารถนาให้รักนี้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ต่อให้เทียนหอมทุกเล่มบนโลกนี้ละลายไปจนหมด เขาก็หวังว่าความรักของเขาจะยังคงอยู่ ลูซิโอเก็บรักษาความรู้สึกนั้นไว้และสารภาพออกไป
“ข้าจะรักท่านชั่วนิรันดร์ จักรพรรดินีของข้า”
“…”
“ท่านจะรับคำสาบานของข้าไว้ได้หรือไม่”
“ได้…สิคะ”
ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของแพทริเซีย ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนนางจึงคิดว่าคงไม่มีใครเห็น แต่ลูซิโอก็เห็นเข้าจนได้ และช่วยเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน สัมผัสของเขาทำให้นางรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมามากกว่าเดิม
ความสุขในตอนนี้เป็นความฝันหรือความจริงกันนะ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ จุ๊บจุ๊บกันเลยค่ะ จุ๊บจุ๊บ!”
ครั้นได้ยินเรเซียตะโกนเสียงดัง เด็กๆ ที่เหลือก็เริ่มตะโกนขึ้นบ้างคล้ายกับเป็นพลุสัญญาณ
“จุ๊บเลยค่ะ!”
“จุ๊บจุ๊บ!”
แพทริเซียมีสีหน้าลำบากใจกับคำขอของลูกๆ แต่ลูซิโอกลับยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านพลางกระซิบบอก
“คำขอที่เร่าร้อนเช่นนี้ หากไม่รับไว้ก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทนะ”
“ฮ่ะฮ่าฮ่า”
อา ไม่รู้ด้วยแล้ว
สุดท้ายแพทริเซียก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาและประคองใบหน้าของลูซิโอไว้ ความรักที่มิอาจเก็บซ่อนฉายชัดอยู่ในแววตาที่นางมองเขา นางจูบเขาทันที ในขณะเดียวกันบนใบหน้าของนางก็ประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขที่ปิดไม่มิด
“ว้าว!”
เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องของลูกๆ ที่ยังไร้เดียงสา แพทริเซียก็นึกถึงเรื่องเทียนหอม
ข้าเองก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้น และเพื่อทำให้ความปรารถนานั้นเป็นจริง ข้าจะรักเขาให้ดีที่สุด ทั้งในตอนนี้และในอนาคต
“ข้ารักท่าน ฝ่าบาท”
“ดังเช่นที่ข้าพูดอยู่เสมอ ข้ารักเจ้ามากกว่า”
แด่รักนิรันดร์
[ภาคแยก 8] Happy Birthday, Mommy. (จบบริบูรณ์)