อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1611
ผมให้เวลาคุณหนึ่งวินาที
“บังอาจมาก!”
“รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดกับใคร?”
“ผมขอแนะนำคุณว่าอย่ายโสโอหังให้เกินตัวนัก เพียงแค่มีความเก่งกาจเล็กน้อย ก็หลงตัวเองจนคิดว่ามีดีกว่าทุกคนในโลกเสียแล้ว ดูเหมือนผมจะต้องเล่นงานให้กระดูกกระเดี้ยวของคุณรู้จักความถ่อมตัวเสียบ้าง!”
…..
หลังจากได้ยินคำพูดนั้น ลูกศิษย์อีก 3 คนของหนานกงหยวนเฟิงก็จ้องหน้าจางเซวียนอย่างโกรธแค้น ถ้าไม่ใช่เพราะสถานภาพของพวกเขา แต่ละคนคงจะพุ่งเข้าใส่และฉีกปากอีกฝ่ายเสียแล้ว
กล้าท้าทายพวกเขาทั้ง 5 คนพร้อมกัน…คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร?
นึกว่าตัวเองเป็นขงซือเหยาหรือ?
หลัวกั้นเจินกับหลัวชวนฉิงก็อ้าปากค้าง
หมอนั่นก็อาจหาญเสียจริง! กล้าดูถูกแม้แต่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ไม่กลัวตายเลยหรือไง?
แต่พูดก็พูดเถอะ…ทำไมฟังหมอนั่นพูดแล้วช่างมีความสุขเหลือเกิน?
เย็นไว้…เย็นไว้ เราจะหัวเราะออกมาตอนนี้ไม่ได้ นั่นจะยิ่งทำให้น่าอายมากขึ้นอีก!
อันที่จริง 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ปรากฏตัวในทวีปแห่งปรมาจารย์มาแล้วหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ทำตัวสูงส่งและวางอำนาจมาตลอด ซึ่งนั่นก็พอเข้าใจได้ เพราะพวกเขาได้รับมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงและศิษย์สายตรงทั้ง 72 คนของเขา แต่จากน้ำเสียงของชายวัยกลางคน ดูเหมือนทั้งกลุ่มที่มาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จะเป็นแค่ไอ้บ้านนอกเซ่อซ่าเท่านั้น!
จริงๆนะ…ต่อให้พวกเขามาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ ก็แล้วอย่างไรล่ะ? มีอะไรให้น่าโอ้อวดอย่างนั้นหรือ?
“พูดได้ดี!”
“เล่นงานพวกนั้นให้หมอบเลย! นี่คือความเป็นผู้นำแบบที่ตระกูลหลัวของเราควรจะมี! ถ้าเราใช้ท่าทีอย่างนี้ตั้งแต่แรก คุณคิดว่าเจ้าจางเซวียนคนนั้นจะกล้าปฏิเสธการหมั้นหมายกับองค์หญิงน้อยของเราหรือ?”
“ใช่! ต่อให้เจ้าจางเซวียนนั่นกล้าหาญกว่านี้อีก 10 เท่า ก็คงไม่กล้าพูดอะไรแบบนั้นหรอก!”
ขณะที่กลุ่มคนบนเวทีกำลังอัศจรรย์ใจกับการพลิกผันของเหตุการณ์ บรรดาผู้ชมที่อยู่ด้านล่างก็ตื่นเต้นเสียจนแทบจะลุกขึ้นมาเต้นระบำ
หลังจากความอับอายขายหน้าที่พวกเขาได้รับ ในที่สุดก็มีหนทางให้ระบายความแค้นแล้ว
“การดวลน่ะไม่ได้เอาชนะกันด้วยฝีปากที่เฉียบคมหรอกนะ ผมหวังว่าคุณจะมีพละกำลังสมกับที่คุณพูด!”
หนานกงหยวนเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาสะบัดข้อมือแล้วเงยหน้าขึ้น “ข้อเท็จจริงที่ว่าคุณสามารถทำให้ลูกข่างมิติหมุนติ้วได้บ่งบอกว่าความเข้าใจในกฎเกณฑ์แห่งมิติของคุณเข้าถึงขั้น 4 แล้ว ดังนั้นจึงเป็นความจริงว่าโม่เอ๋อไม่อาจเทียบชั้นกับคุณได้ แล้วทำไมคุณถึงไม่เลือกรูปแบบการดวลที่เป็นธรรมกับพวกเราทั้งสองฝ่ายล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วงน่ะ ผมจะไม่เอาเปรียบพวกคุณหรอก แข่งขันกันด้วยลูกข่างน่ะไม่ได้มีสาระอะไรเลย เพราะฉะนั้นผมขอเสนอเหมือนหลัวชวนฉิง ขอท้าทายพวกคุณเข้าสู่การดวลโดยใช้พละกำลัง”
หากจางเซวียนต้องการ เขาก็สามารถทำให้ลูกข่างมิติหมุนติ้วอยู่ได้อีกหลายวันโดยที่ไม่ล้มลงไป แต่นั่นไม่เพียงพอที่จะเรียกชื่อเสียงของตระกูลหลัวกลับคืนมา ในเมื่อเขาเลือกที่จะรับมือกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์แล้ว ก็ต้องไปให้สุด!
ยังไม่ทันที่หนานกงหยวนเฟิงจะได้พูดอะไร โม่เอ๋อก็หรี่ตา “คุณคิดจะท้าพวกเราดวลโดยใช้พละกำลังหรือ? แน่ใจหรือเปล่า?”
ความเข้าใจเรื่องมิติของเขาอาจเทียบชั้นกับอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ในฐานะอัจฉริยะของสำนักขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่ เขามีทักษะในเทคนิคการต่อสู้ชั้นยอดทุกชนิด ยิ่งไปกว่านั้น ระดับวรยุทธของเขาก็สูงกว่าอีกฝ่าย ดังนั้น ถ้าทั้งคู่ต่อสู้กันโดยใช้การดวลแบบทั่วไป เขาก็มั่นใจว่าตัวเองจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน
นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้สั่งสอนเจ้าคนโอหังให้ได้รับบทเรียนและรู้จักถ่อมเนื้อถ่อมตัวเสียบ้าง!
“ผมมั่นใจ คุณสำแดงกระบวนท่ามาได้เลย” จางเซวียนตอบอย่างวางมาด
โม่เอ๋อหัวเราะหึๆ นัยน์ตาของเขาฉายแววของความโหดร้าย “ได้เลยถ้าคุณต้องการ แต่ผมจะไม่เอาเปรียบคุณหรอกนะ ผมจะลดระดับวรยุทธลงเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด…”
เขาลดระดับความแข็งแกร่งลงอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา วรยุทธของโม่เอ๋อก็ลดลงไปเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุด
หลังจากเสร็จสิ้น โม่เอ๋อก็กำหมัดแน่นและพุ่งเข้าใส่จางเซวียน ตั้งใจจะสำแดงกระบวนท่าแรก
“โม่เอ๋อ ยั้งมือไว้บ้างนะตอนที่โจมตีเขา อย่าทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสจนเกินไป…” หนานกงหยวนเฟิงส่งโทรจิตหา
“ท่านอาจารย์วางใจเถอะ ผมเข้าใจแล้ว!” โม่เอ๋อส่งโทรจิตตอบขณะที่สลายตัวกลายเป็นลมหอบใหญ่ ร่างของเขาหายวับไปจากจุดนั้นทันที
“เขาอยู่ไหนน่ะ?”
“ทำไมจู่ๆถึงหายไปได้?”
ฝูงชนต่างส่งเสียงเซ็งแซ่
เห็นได้ชัดว่าโม่เอ๋อไม่ได้ใช้พละกำลังเต็มที่ตอนที่สู้กับหลัวชวนฉิงก่อนหน้านี้ บางที อาจเป็นเพราะเขามองว่าจางเซวียนเป็นคู่ต่อสู้ที่อันตราย จึงทุ่มสุดตัวตั้งแต่เริ่มและหายวับไปจากเวที ทิ้งให้จางเซวียนยืนอยู่คนเดียวที่ใจกลางเวทีนั้น
“นี่คือศาสตร์แห่งมิติชนิดพิเศษ มันใช้การบิดเบี้ยวของมิติเพื่อสลายการมีอยู่ของคนคนหนึ่งจากพื้นที่โดยรอบ ทำให้สามารถปกปิดตัวเองได้” หลัวกั้นเจินมีสีหน้าเคร่งเครียด
อย่าว่าแต่หลัวชวนฉิงเลย ต่อให้ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถเอาชนะกระบวนท่านี้!
“ใช้การบิดเบี้ยวของมิติ?” หลัวชวนฉิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“แสงเดินทางเป็นเส้นตรง เช่นเดียวกับการมองเห็นของคนเรา อีกฝ่ายใช้คุณสมบัตินี้ของแสงบิดเบือนมิติที่อยู่รอบตัวเขา ทำให้พวกเรามองไม่เห็น แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะมันเป็นการบิดเบือนอย่างสมบูรณ์ของมิติ การรับรู้จิตวิญญาณของเราจึงใช้การไม่ได้ด้วย การควบคุมมิติในลักษณะนี้ต้องใช้พละกำลังมาก ทำให้ไม่อาจคงอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน แต่ในเมื่อการดวลสามารถตัดสินกันได้ภายในเสี้ยววินาที ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังหากใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม” หลัวกั้นเจินอธิบาย
“แบบนี้…ก็หมายความว่าอัจฉริยะของตระกูลเราไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลยน่ะสิ?” หลัวชวนฉิงหน้าซีด
ถ้าหาตำแหน่งที่อยู่ของคู่ต่อสู้ไม่ได้ แล้วจะเอาชนะได้อย่างไร?
“โอกาสที่เราจะชนะมีน้อยมาก” หลัวกั้นเจินส่ายหน้าอย่างหม่นหมอง
ในตอนนั้นเอง ที่ใจกลางเวที หลัวเทียนหยาเลิกคิ้วอย่างหงุดหงิดขณะบ่นพึม “คุณจะกระโจนไปรอบๆเพื่ออะไรกันนี่? คุณทำให้ผมปวดหัวนะ!”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็สะบัดฝ่ามือ แล้วตบไปที่กลางอากาศ
เพียะ!
เกิดเสียงเพียะจากการตบนั้น ร่างหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากพื้นที่ที่ดูเหมือนจะว่างเปล่า ร่างนั้นร่วงลงไปจากเวทีและกระอักเลือดออกมากองใหญ่ก่อนจะสลบไป
“โม่เอ๋อ!”
“ศิษย์น้องโม่!”
เห็นร่างงอหงิกที่สลบไสลอยู่กับพื้น หนานกงหยวนเฟิงกับลูกศิษย์อีก 3 คนต่างหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง
พวกเขายังแทบจับตำแหน่งของโม่เอ๋อไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายใช้เทคนิคนั้น แต่ชายวัยกลางคนไม่ได้ก้าวไปไหนสักก้าวเดียวด้วยซ้ำ แต่กลับสอยโม่เอ๋อกระเด็นได้ด้วยการตบเพียงครั้งเดียว…มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
หลัวกั้นเจินก็พูดไม่ออกกับวีรกรรมนั้น
เขาเพิ่งพูดไปหยกๆว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้ชัยชนะมีน้อยมาก แต่จากนั้น ผู้เชี่ยวชาญของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ถูกสอยกระเด็นลงมา…หลัวเทียนหยาออกจะน่าสะพรึงไปหน่อยไหม?
ชายหนุ่มทั้ง 3 คนรีบเข้าไปป้อนยาให้โม่เอ๋อ ครู่ต่อมาอีกฝ่ายก็ค่อยๆฟื้นคืนสติ เขาเหม่อมองท้องฟ้าด้วยนัยน์ตาเลื่อนลอย ราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว
แม้กระทั่งตอนนั้น โม่เอ๋อก็ยังไม่เข้าใจว่าชายวัยกลางคนหาตัวเขาพบและตบเขาให้กระเด็นออกมาจากมิติที่บิดเบี้ยวได้อย่างไร
“ท่านอาจารย์ ผมอยากดวลกับเขา!” รู้ดีว่าโม่เอ๋อได้รับความบอบช้ำและต้องการเวลาฟื้นตัว ชายหนุ่มคนหนึ่งจาก 3 คนที่เหลือประสานมือและคารวะ
“ได้สิ ออกไปเลย!” หนานกงหยวนเฟิงพูดขณะกำหมัดแน่น “หมอนั่นมีบางอย่างแปลกๆนะ ระวังตัวด้วย”
ตอนนี้ เขารู้ดีเกินกว่าที่จะสบประมาทชายวัยกลางคนอีกต่อไป
“ท่านอาจารย์วางใจเถอะ” ชายหนุ่มพยักหน้า
เขาหันไปมองจางเซวียน นัยน์ตาเปล่งประกายเย็นเยียบ “ผมขอท้าคุณดวล คุณจะรับคำท้าของผมไหม?”
“คุณ?” จางเซวียนเดาะลิ้นอย่างหมดความอดทนและส่ายหน้า “อย่างที่ผมบอก พวกคุณน่ะควรจะเข้ามาหาผมพร้อมกันทีเดียว ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะถูกผมซ้อม…เอาเถอะ ผมจะไม่เอาเปรียบคุณหรอกนะ ผมให้เวลาคุณ 1 วินาที ทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ และผมจะไม่ตอบโต้เลย!”