อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1618
ขุมสมบัติตระกูลหลัว
เพราะแต่ละคนฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่แตกต่างกัน จึงไม่มีกรรมวิธีเฉพาะในการฝ่าด่านวรยุทธจากนักรบระดับเซียนขั้น 9 ไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้น จางเซวียนจึงสามารถใช้ภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษสำหรับเป็นความรู้อ้างอิงในการค้นหาเส้นทางที่เหมาะสมกับเขาเท่านั้น
“ภูมิปัญญาและกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่? ตระกูลหลัวของเรามีบรรพบุรุษมากมายนับไม่ถ้วนที่สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เราจึงมีหนังสือเรื่องนั้นอยู่จำนวนมาก แต่ก็ใช้เป็นเพียงความรู้เพื่ออ้างอิงเท่านั้น คุณจะพยายามฝึกฝนมันโดยตรงไม่ได้…” หลัวกั้นเจินเตือน
ภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษถือเป็นแหล่งของแรงบันดาลใจ แต่เพราะนักรบทุกคนมีสภาวะที่ต่างกัน เรื่องราวที่ประสบมาก็ต่างกัน ดังนั้น สิ่งที่พวกเขาต้องใช้ในการฝ่าด่านวรยุทธจึงแตกต่างกันไปด้วย ถ้าใครสักคนพยายามจะเดินตามเส้นทางของใครอีกคนหนึ่งอย่างหูหนวกตาบอดโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็มีโอกาสที่ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถฝ่าด่านวรยุทธได้ แต่วรยุทธยังอาจถูกธาตุไฟเข้าแทรกด้วย
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน ผมจะจำไว้” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า
เห็นทีท่าของชายวัยกลางคน หลัวกั้นเจินรีบพูดต่อพร้อมกับยิ้มให้ “คุณคือนักรบที่ปราดเปรื่องที่สุดในชั่วระยะเวลาหลายหมื่นปีของประวัติศาสตร์ตระกูลหลัวของเรา ดังนั้น คุณก็คงรู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้วต่อให้ผมไม่ต้องบอก กรุณาตามผมมาเถอะ!”
ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้ ความเก่งกาจของเขาก็ถือว่าเป็นเลิศ หลัวกั้นเจินคงกลายเป็นสิ่งกวนใจหากเขาย้ำเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก
รู้ดีว่าจางเซวียนกำลังจะไปอ่านหนังสือ หลัวลั่วชิงพยักหน้า “ไปเถอะ ฉันจะรอคุณอยู่ที่นี่”
“ได้ เดี๋ยวผมกลับมานะ” จางเซวียนพูดก่อนจะจากไปพร้อมกับหลัวกั้นเจิน ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงหอสมุด
“หอสมุด 3 ชั้นล่างเปิดให้กับสมาชิกฝ่ายในของตระกูลหลัว ส่วนที่นอกเหนือไปจากนั้น ก็มีแต่เหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่เข้าถึงได้…ภูมิปัญญาสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จะอยู่ในชั้นที่สูงกว่านั้นอีก” หลัวกั้นเจินอธิบายขณะพาจางเซวียนขึ้นไปชั้น 4
จางเซวียนกวาดสายตามองหนังสือจำนวนมากที่อยู่รอบตัวเขา และรับรู้ได้ว่าส่วนใหญ่เป็นการจดบันทึก บันทึกเหล่านี้มีตัวอักษรที่ยุ่งเหยิงมากมาย และบางส่วนก็พร่าเลือนหรือมีบางหน้าขาดหาย เป็นผลกระทบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการถูกเก็บรักษาไว้เป็นระยะเวลานาน
“หนังสือพวกนี้ไม่มีระบบความคิดหรือรูปแบบที่ชัดเจน ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการอ้างอิงเท่านั้น เชิญคุณเลือกดูได้ตามสบาย และถ้ามีอะไรที่คุณต้องการก็เรียกผมได้” หลัวกั้นเจินพูด
“ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือ ผมจะขอเดินดูรอบๆเท่านั้น ถ้ามีปัญหาอะไรจะเรียกคุณก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบ จางเซวียนก็รีบเดินกวาดสายตาไปตามชั้นหนังสือ
เห็นแบบนั้น หลัวกั้นเจินจึงจากไปอย่างเงียบๆ
ไม่นานหลังจากหลัวกั้นเจินจากไป จางเซวียนก็รีบถ่ายโอนหนังสือจากชั้นต่างๆขณะพึมพำ ‘ข้อบกพร่อง’ ในใจ เขาใช้เวลาราว 10 นาทีในการถ่ายโอนทุกอย่างในชั้นนี้เข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า
ประมวล! จางเซวียนเพ่งสมาธิ แล้วหนังสือเล่มใหม่เอี่ยมก็ปรากฏ
เขารีบพลิกดูและอ่านอย่างรวดเร็ว
ถึงภูมิปัญญาเหล่านี้จะยังไม่สามารถประมวลขึ้นเป็นเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้ แต่ก็ทำให้เรามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นว่าการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นอย่างไร
ขั้นการพักฟื้นภายใน, โดยพื้นฐานแล้วคือความสามารถในการกระจายการรับรู้จิตวิญญาณเข้าสู่ทุกเซลล์และทางเดินพลังปราณทุกเส้นในร่างกาย สิ่งนี้จะทำให้นักรบสามารถแก้ไขข้อบกพร่องภายในร่างกายและยกระดับกายเนื้อของตัวเองให้สูงกว่าขีดจำกัดของนักรบระดับเซียนขั้น 9… ในเวลาเดียวกัน การปรับปรุงสภาวะของกายเนื้อก็จะทำให้ผู้นั้นมีอายุขัยยืนยาวขึ้น สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่าเดิม
เมื่อสำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 2-การรับรู้จิตวิญญาณ นักรบจะสามารถเปิดดวงตาที่สาม ทำให้มองทะลุสภาวะร่างกายของตัวเองได้โดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ซึ่งสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นการพักฟื้นภายใน ผู้นั้นจะต้องขัดเกลาการรับรู้จิตวิญญาณให้ละเอียดพอที่จะซึมซาบเข้าไปในทุกเซลล์
แม้จะฟังดูง่ายๆ แต่ก็มีอานุภาพน่าทึ่งไม่น้อย ถ้าเซลล์ของนักรบผู้นั้นได้รับความบอบช้ำหรือมีแบคทีเรียหรือไวรัสเข้าแทรก พวกเขาก็จะมองทะลุต้นตอของปัญหาได้โดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณและส่งพลังปราณเข้าไปเพื่อแก้ไขความผิดปกตินั้น ด้วยสิ่งนี้ นักรบจะมั่นใจได้ว่ากายเนื้อของพวกเขาจะอยู่ในภาวะแข็งแกร่งสูงสุดอยู่เสมอ ทำให้สามารถปลดปล่อยพละกำลังเต็มพิกัดได้ทุกเมื่อ
แม้นักรบระดับเซียนโดยทั่วไปจะมีอายุขัยราว 1 พันปี แต่สภาวะของกายเนื้อของพวกเขาก็จะเริ่มเสื่อมโทรมเมื่ออายุได้ 800 ปี ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ถดถอยด้วย ในเวลาเดียวกัน การทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายที่ด้อยประสิทธิภาพลงก็จะทำให้การฝ่าด่านวรยุทธยากขึ้นเรื่อยๆ
‘ผลักดันตัวเองให้ถึงขีดสุดเมื่อยังอ่อนวัยและมีเรี่ยวแรง’ ประโยคนี้เป็นประโยคที่พูดกันทั่วไปในหมู่ปรมาจารย์
เมื่อการทำงานของกายเนื้อเริ่มถดถอย การฝ่าด่านวรยุทธก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ต่อให้พยายามสักแค่ไหนก็ตาม นี่คือเหตุผลที่มีสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ช่วงเวลาทองของการฝึกฝนวรยุทธ’
แต่ข้อจำกัดนี้จะหมดสิ้นไปสำหรับผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในแล้ว
ความสามารถในการกระจายการรับรู้จิตวิญญาณเข้าสู่ทุกเซลล์ในร่างกายจะทำให้ผู้นั้นสามารถซ่อมแซมและแทนที่เซลล์ที่เสื่อมสภาพด้วยเซลล์ใหม่ ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุดได้ตลอดเวลา หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้นั้นจะสามารถสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดได้เหมือนเมื่อครั้งที่อายุยังน้อย!
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้อายุขัยของผู้นั้นใกล้จะสิ้นสุดแล้ว แต่หากมีแรงบันดาลใจใหม่ๆสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธเข้ามา ก็ยังสามารถยกระดับวรยุทธได้อีก
ดังนั้น ยิ่งนักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แก่ตัวลงเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งไร้เทียมทานมากขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามกับนักรบระดับเซียน ซึ่งเมื่อยิ่งแก่ตัวไปก็ยิ่งอ่อนแอ และมีโอกาสจะได้รับความบอบช้ำมากกว่านักรบที่อายุยังน้อย
ด้วยการฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าซึ่งปราศจากข้อบกพร่อง พลังปราณของเราจึงบริสุทธิ์กว่านักรบคนอื่นๆมาก สิ่งนี้ทำให้การฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของเรายากขึ้นไปอีก…
จางเซวียนส่ายหัวอย่างจนปัญญาขณะทำความเข้าใจภูมิปัญญาที่เขาเพิ่งประมวลขึ้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ต่อให้อ่านหนังสือมาแล้วมากมาย เขาก็ยังไม่พบวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธของตัวเอง
ช่างมันเถอะ ถ่ายโอนหนังสือพวกนี้ไว้ก่อนก็แล้วกัน ถ้ายังใช้ไม่ได้ล่ะก็ เราจะไปถ่ายโอนหนังสือที่ตระกูลจางด้วย ตระกูลจางก็คงมีภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษอยู่เหมือนกัน…
รู้ดีว่าไม่อาจรีบร้อนในเรื่องแบบนี้ จางเซวียนจึงระงับความร้อนรนและมุ่งหน้าไปยังชั้นที่สูงขึ้น
ในเมื่อหนังสือในชั้นนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับภูมิปัญญาในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ หนังสือในชั้นที่สูงกว่านี้ก็คงจะเป็นภูมิปัญญาของวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในขั้นที่สูงขึ้นอีก
จางเซวียนใช้เวลาไม่นานในการถ่ายโอนหนังสือ และขึ้นไปถึงชั้นสูงสุดของหอสมุด
ตอนที่เขาออกจากหอสมุด ก็เห็นหลัวกั้นเจินยังคงรออยู่แถวๆนั้น จึงเดินเข้าไปหาหลัวกั้นเจินและยิ้มให้ “ผมคิดว่าผมต้องการหินวิเศษขั้นสูงสุดจำนวนหนึ่งและของล้ำค่าบางอย่างที่มีพลังจิตวิญญาณสูงเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธ ไม่ทราบว่ามีที่ไหนในตระกูลของเราที่ผมจะหาทรัพยากรเหล่านี้ได้ และมีข้อจำกัดหรือไม่ว่าตัวผมในฐานะหัวหน้าตระกูลจะมีโอกาสได้รับทรัพยากรแค่ไหน?”
หลังจากอ่านหนังสือทั้งหมดแล้ว จางเซวียนก็รู้ตัวว่าเขาต้องการหินวิเศษจำนวนไม่น้อยเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธครั้งนี้
เซียนดาบชิงเคยเปรยกับเขาว่าบรรดาตระกูลนักปราชญ์ชั้นสูงนั้นมีทรัพย์สมบัติมากแค่ไหน ในเมื่อตระกูลหลัวก็เป็นหนึ่งในตระกูลนักปราชญ์ชั้นสูงเช่นกัน หินวิเศษขั้นสูงสุดเพียงไม่กี่ก้อนและของล้ำค่าที่มีพลังจิตวิญญาณสูงก็คงจะไม่ถือว่ามากเกินไปสำหรับพวกเขา
ดังนั้น จางเซวียนจึงแจ้งความประสงค์นี้โดยไม่อ้อมค้อม
“มีโควต้าอยู่ว่าหัวหน้าตระกูลจะได้รับทรัพยากรในปริมาณเท่าไหร่ แต่ในเมื่อคุณเพิ่งสร้างคุณงามความดีครั้งใหญ่ให้กับตระกูลหลัวของเรา เหล่าผู้อาวุโสจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ที่จะมอบทรัพยากรของตระกูลหลัวให้คุณตามแต่คุณจะต้องการ!” หลัวกั้นเจินพูดขณะนำทางไป
ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงขุมสมบัติ
“นี่คือสถานที่ที่เราเก็บทรัพยากรและทรัพย์สมบัติต่างๆของตระกูลหลัวไว้ ของรางวัลที่เรามอบให้กับสมาชิกของตระกูลที่สร้างคุณงามความดีก็ล้วนมาจากที่นี่ ท่านหัวหน้า, เชิญเดินดูรอบๆได้ตามสบาย ถ้าคุณสนใจสิ่งไหนก็หยิบไปได้เลย ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ”
“ขอบคุณมาก!” นึกไม่ถึงว่าจะได้สิทธิพิเศษขนาดนี้จากการรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลัว จางเซวียนนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ถ้าเขาสามารถนำทุกอย่างในขุมสมบัติแห่งนี้ไปได้…มันจะหนักเกินกำลังไหมถ้าเขาจะเก็บทุกอย่างที่นี่เข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ?
ถ้าทำได้ เขาก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรในการฝึกฝนวรยุทธอีกต่อไป!
แต่นั่นก็เป็นความคิดที่แวบเข้ามาเท่านั้น จางเซวียนไม่ได้คิดจะทำ หลักการและคุณธรรมในใจเขาไม่อนุญาตให้เขาทำอะไรแบบนั้น
เขาเป็นปรมาจารย์ ไม่ใช่นักย่องเบา! ต่อให้เขามาที่นี่เพื่อชดเชยให้คนเหล่านี้ ก็ยังถือเป็นความชั่วร้ายอยู่ดีหากเขาจะคว้าทุกสิ่งที่อยู่ในนี้ไปทั้งหมด เขาไม่ได้มีความเคืองแค้นอะไรกับตระกูลหลัว และการกระทำแบบนั้นจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงแม้กับตระกูลหลัวผู้มั่งคั่ง!
มีชั้นวางของหลายชั้นในขุมสมบัติแห่งนั้น ทั้งอาวุธ อัญมณีและหินวิเศษมากมายวางกองอยู่เต็ม
หลังจากได้เป็นเจ้าของหอกสวรรค์กระดูกมังกรแล้ว แม้แต่ของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงสุดก็ยังไม่เตะตาจางเซวียน เช่นเดียวกับหินวิเศษขั้นสูงสุดที่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์กับเขามากนักในระดับวรยุทธที่สูงขนาดนี้ เขาจึงไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่
“เอ๊ะ? นี่อะไร?”
จางเซวียนเดินไปตามชั้นต่างๆ จากนั้นก็หยุดกึก เขาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
บนชั้นที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก มีกล่องหยกใบหนึ่งซึ่งถูกปิดไว้ มันแผ่พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นถึงขนาดทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหวได้
เห็นจางเซวียนมองกล่องหยกใบนั้น หลัวกั้นเจินอธิบาย “มันคืออุกกาบาตที่ตกสู่พื้นโลก บรรพบุรุษของเราได้มาด้วยความบังเอิญ ผมไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นอะไร แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถหาวิธีขัดเกลามันหรือสกัดเอาพลังจิตวิญญาณที่อยู่ภายในตัวมันได้ ลงท้าย มันจึงถูกเก็บไว้ในขุมสมบัติของเรา…”
“อุกกาบาตที่ตกสู่พื้นโลก?” จางเซวียนทวนคำด้วยความอัศจรรย์ใจ
เขาเดินไปที่กล่องหยกที่ถูกปิดไว้และเปิดมันออกช้าๆ
ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้เห็นว่าอะไรอยู่ในกล่อง บางอย่างในตัวเขาก็สั่นริกรี้ด้วยความตื่นเต้น เสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในหัว
“เอามันมาให้ผม! ผมอยากได้เจ้าก้อนแข็งๆนั่น…”
“ใครน่ะ?” จางเซวียนส่งโทรจิตถามอย่างระแวง