อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1639
ขุมสมบัติตระกูลเจียง
“ฉันไม่อยากแต่งงานกับจางเซวียนคนนั้น เขาก็ดีแต่โอ้อวดพละกำลังของตัวเองและทำลายความมั่นใจของใครต่อใครไปทั่ว อีกอย่าง เขากล้าปฏิเสธแม้แต่องค์หญิงน้อยของตระกูลหลัว ปฏิเสธต่อหน้าสาธารณชนเลยด้วย เขาไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย!” เจียงเฟยเฟยคำรามอย่างหงุดหงิด
“….” จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด
เราโอ้อวด? ทำลายความมั่นใจของใครต่อใคร?
ให้ตายเถอะ! ผมน่ะถ่อมเนื้อถ่อมตัวแบบสุดๆแล้วนะ ไม่เห็นหรือไง? ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ผมจะผงาดเสียจนจะไม่มีใครในหมู่พวกคุณที่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย!
อีกอย่าง คุณมีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าผม? พูดอย่างกับผมอยากแต่งงานกับคุณอย่างนั้นแหละ!
ก็แล้วแต่!
“ถ้าเป็นอย่างนั้น พ่อก็คิดว่าควรจะเป็นหลัวเทียนหยา มันอาจจะยากสักหน่อยสำหรับเจ้า เพราะพ่อได้ยินมาว่าเขาดูเหมือนคนมีอายุแล้วทั้งที่อายุก็ยังไม่มาก หน้าตาของเขาก็เหมือนกับเพิ่งเดินชนประตูมา อีกอย่าง ดูเหมือนเขาจะมีภรรยาแล้วด้วย!” เจียงฟังโหย่วพูด
“…” จางเซวียนโมโหจนแทบปรี๊ด
คุณว่าผมขี้เหร่?
ขี้เหร่บ้านคุณสิ! คุณนั่นแหละขี้เหร่ ขี้เหร่กันทั้งตระกูลเลย!
หลัวเทียนหยาของผมน่ะอาจจะไม่หล่อเหลานัก แต่อย่างน้อยเขาก็ดูดี!
“ฉันจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น!” เมื่อได้ยินว่าหลัวเทียนหยามีภรรยาแล้ว เจียงเฟยเฟยรู้สึกว่าฟางเส้นสุดท้ายของเธอขาดผึง ใกล้จะปรี๊ดออกมาได้ทุกขณะ
“ก็ถ้าเจ้าไม่อยากแต่งงานกับใครเลย ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณให้ได้ พ่อไม่อยากบังคับเจ้าหรอกนะ แต่เพื่อตระกูลเจียง พ่อไม่มีทางเลือก…” เมื่อเห็นว่าการข่มขู่ของเขาได้ผล เจียงฟังโหย่วถอนหายใจเฮือก
“…ฉันเข้าใจแล้ว!”
เจียงเฟยเฟยรู้ว่าท่านพ่อจงใจทำให้เธอหวาดกลัว แต่สิ่งที่ท่านพ่อพูดก็มีข้อเท็จจริงอยู่ ถ้าไม่มีใครสามารถทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณได้ วิธีที่ดีที่สุดที่เธอควรทำก็คือเข้าพิธีแต่งงาน
“เพื่อจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับจางเซวียนคนนั้น ฉันจะยอมทุ่มเททุกอย่าง…” เจียงเฟยเฟยขบกรามแน่น
“…” จางเซวียนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้
ผมดูไม่น่าพิสมัยขนาดนั้นเลยหรือ? เพียงเพื่อจะได้ไม่ต้องแต่งงานกับผม คุณพร้อมจะฝึกฝนวรยุทธอย่างหนักที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้…ชื่อเสียงของผมมันย่ำแย่ขนาดนั้นเลย?
“เอาล่ะ ไปได้แล้ว!” เจียงฟังโหย่วเร่งเจียงเฟยเฟยให้เข้าไปในขุมสมบัติ
ด้วยสีหน้าท่าทางราวกับทหารที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่ความตาย เจียงเฟยเฟยเดินไปยังขุมสมบัติและใช้ตราสัญลักษณ์อันหนึ่งเพื่อปลดฉนวน
นั่นมันค่ายกลเกรด 9 สูงสุด, ค่ายกลมังกรซุกซ่อนสวรรค์! จางเซวียนคิด
มังกรนั้นขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ หากคู่ต่อสู้มีขนาดใหญ่ มันก็สามารถทำลายล้าง หากมีขนาดเล็กก็ซุ่มโจมตี หากเป็นสวรรค์ มันก็พุ่งผงาดขึ้นสู่กลางอากาศได้ ส่วนการซุกซ่อน มันสามารถปกปิดตัวเองได้ท่ามกลางรอยแยกแห่งมิติ
ด้วยเหตุนี้ มังกรจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยากมาก การตั้งชื่อค่ายกลแบบนี้ก็จัดว่ามีเหตุผลอยู่
ตระกูลเจียงใช้ค่ายกลระดับนี้คุ้มกันขุมสมบัติของตัวเอง ดูเหมือนพวกเขาจะมีข้าวของดีๆมากมายอยู่ข้างใน
“ในการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ เจ้าจะพึ่งพาได้ก็แต่ตัวเองเท่านั้น บางที หากสวรรค์เมตตา เจ้าก็อาจพัฒนาตัวเองได้จนถึงระดับที่น้อยคนในตระกูลเจียงเคยสัมผัส…แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น พ่อก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหมั้นหมายเจ้ากับจางเซวียน” เจียงฟังโหย่วมองร่างของลูกสาวที่หายเข้าไปในขุมสมบัติก่อนจะส่ายหน้าและเดินออกมา
“บ้าจริง!” นึกไม่ถึงว่าจะตกเป็นที่ครหา จางเซวียนถึงกับอึ้ง
ช่างเถอะ! ขอเข้าไปดูหน่อยแล้วกันว่าข้างในมีทรัพย์สมบัติอะไรบ้าง…พวกนั้นควรจะได้รู้ว่าผลตอบแทนของการเลือกทรยศมวลมนุษย์คืออะไร! จางเซวียนโยนความหงุดหงิดทิ้งไป จากนั้นก็เดินเข้าหาขุมสมบัติอย่างระมัดระวัง
ถ้าเขาไม่รู้ว่าค่ายกลนี้คืออะไร ก็คงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากหอสมุดเทียบฟ้า แต่เขามองเห็นกลไกของค่ายกลนี้แล้วตั้งแต่ตอนที่เจียงเฟยเฟยเข้าไป ดังนั้น เพียงแค่ใช้ดวงตาหยั่งรู้และความเข้าใจอันลึกซึ้งที่มีในเรื่องค่ายกล จางเซวียนก็สามารถผ่านค่ายกลมังกรซุกซ่อนสวรรค์ไปได้อย่างง่ายดายและเข้าสู่ขุมสมบัติ
เขาเดินวนรอบๆขุมสมบัติและแตะตรงนู้นนิดตรงนี้หน่อย จากนั้นก็เดินตรงไปยังพื้นที่ที่เจียงเฟยเฟยเข้าไป
ทันทีที่จางเซวียนเข้าสู่ขุมสมบัติ เขาก็สกัดกั้นมิติรอบตัวเองไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา
เจียงเฟยเฟยเพิ่งเข้าไปได้ไม่นาน และเขาก็ไม่มีความคิดที่จะ ‘แตะต้อง’ เธอในนั้น
เพราะหากถูกจับได้ว่าลักลอบเข้าไปในขุมสมบัติของกลุ่มอํานาจอื่น ชื่อเสียงของตัวเขาและตระกูลจางก็จะเสื่อมเสีย โดยเฉพาะเมื่อความมั่งคั่งของตระกูลเจียงนั้นก็ไม่เป็นที่เปิดเผย อีกอย่าง เขาไม่อยากทำให้ตระกูลเจียงรู้ตัวและแตกตื่น
ที่นี่ไม่เหมือนกับขุมสมบัติของตระกูลหลัวซึ่งมีของล้ำค่าวางระเกะระกะกระจัดกระจายอยู่ทั่ว จางเซวียนพบว่าตัวเขายืนอยู่ท่ามกลางห้องโถงขนาดใหญ่ ที่ใจกลางห้องคือกำแพงหยกซึ่งมีความยาวหลายสิบเมตร
เขาบอกไม่ได้แน่ชัดว่ากำแพงนี้ทำจากหยกชนิดไหน แต่มันดูเรียบลื่นและเป็นประกาย เขารู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงพลังจิตวิญญาณที่อยู่ภายในกำแพงนั้น
เจียงเฟยเฟยซึ่งเข้ามาก่อนหน้าเขา 2-3 นาทีกำลังยืนอยู่ห่างจากกำแพงหยกราวสิบเมตร และจ้องเขม็งที่กำแพงนั้นอย่างตั้งใจ ร่างของเธอสั่นสะท้านไม่หยุด เหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก
มีตัวอักษรขนาดใหญ่จารึกไว้บนกำแพงหยก และให้ความรู้สึกที่ไม่อาจพรรณนาได้ เพียงแค่ชำเลืองมองกำแพงนั้น จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดมหาศาลที่กำลังฉุดรั้งจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา ในเวลาเดียวกัน กำแพงหยกก็แผ่แรงกดดันหนักหน่วงออกมา ราวกับจะทำลายจิตวิญญาณต้นกำเนิดของผู้มองดูให้เสื่อมสลายไป
มันคือตัวอักษรของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ…จางเซวียนหรี่ตา
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่นักรบทั่วไปจะรู้จักตัวอักษรขนาดใหญ่ที่จารึกไว้บนกำแพงหยก แต่เพราะจางเซวียนได้รับการถ่ายทอดมรดกของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ เขาจึงรู้ว่าตัวอักษรที่ถูกจารึกไว้ บนกำแพงนั้นเป็นตัวอักษรเฉพาะของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ
มันเขียนไว้ว่า ‘จิตวิญญาณ’
ในฐานะมรดกตกทอดชิ้นเอกของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ตัวอักษรนี้มีอิทธิพลมหาศาลเหนือจิตวิญญาณของนักรบทุกคน
ตัวอักษรที่เราเห็นดูเหมือนจะเป็นวิธีการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ น่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งตระกูลเจียงทิ้งไว้ จางเซวียนพยักหน้าเมื่อนึกได้
ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเจียงฟังโหย่วถึงพาลูกสาวของเขามาที่นี่เพื่อให้ทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ แรงกดดันจากตัวอักษรจะช่วยบ่มเพาะจิตวิญญาณของผู้นั้น และแนวคิดสำคัญของมันก็คือการทำความเข้าใจแก่นสารของจิตวิญญาณ ในอีกแง่หนึ่ง ก็เป็นวัตถุประสงค์เดียวกันกับคำว่า ‘ดาบ’ ที่อยู่บนกำแพงของตระกูลจาง
เราจะปล่อยให้เธอทำอะไรตามที่เธอต้องการอยู่ตรงนี้แหละ ระหว่างนี้ ขอขึ้นไปดูชั้นบนสักหน่อย
จางเซวียนประมวลหนังสือเกี่ยวกับแก่นสารของจิตวิญญาณขึ้นเป็นหนังสือเทียบฟ้าแล้ว แต่เขายุ่งเกินกว่าที่จะพยายามยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ และไม่มีเวลาด้วย ถึงแรงกดดันของกำแพงหยกนั้นจะยากเกินรับไหวสำหรับนักรบส่วนใหญ่ แต่ของแบบนี้ไม่มีอำนาจควบคุมเขาได้อีกต่อไป
อีกอย่าง วัตถุประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็ไม่ใช่เพื่อฝึกฝนวรยุทธ แต่มาเพื่อหาทรัพยากรที่เหมาะสมสำหรับการยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณ เขาไม่มีเวลามากพอที่จะมารีรออยู่ที่นี่
โครงสร้างของชั้น 2 นั้นนั้นแตกต่างจากชั้นแรกมาก มีชั้นวางของมากมายถูกจัดเรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ทรัพย์สมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วนวางอยู่บนนั้น
ดูเหมือนตระกูลเจียงจะมั่งคั่งไม่แพ้ตระกูลหลัว! จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะมองทรัพย์สมบัติที่อยู่ตรงหน้าด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
ในเมื่อต้องเผชิญความยุ่งยากมากมายกว่าจะมาถึง เขาก็จะไม่ยั้งมือกับตระกูลเจียง
จางเซวียนใช้การรับรู้จิตวิญญาณของเขากวาดทั่วทุกชั้นวางของที่อยู่ในชั้น 2 โดยไม่ได้ใส่ใจว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นจะมีค่าหรือไม่
เก็บ!
ฟึ่บ!
ข้าวของทุกชิ้นในชั้นนี้ถูกเก็บเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของเขา
จางเซวียนยิ้มด้วยความลิงโลด จากนั้นก็ขึ้นไปชั้น 3
ถ้าเป็นกลุ่มอำนาจอื่น ไม่ว่าทรัพย์สมบัติตรงหน้าจะล่อตาล่อใจสักแค่ไหน เขาก็จะต้องยั้งมือไว้บ้าง เพราะถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นปรมาจารย์ มีเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่ต้องรักษาไว้
แต่นั่นแหละ…เรื่องนี้จะแตกต่างออกไปหากเป็นหนังสือ ความรู้จะมีประโยชน์อะไรหากถูกเก็บไว้ในหอสมุด ไม่ได้ถูกนำมาใช้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับโลก อีกอย่าง เขาก็แค่ประมวลและทำสำเนาเก็บไว้ในหอสมุดเทียบฟ้า ใช่ว่าจะหยิบหนังสือทุกเล่มไปเสียเมื่อไหร่ ดังนั้นจึงไม่อาจเรียกว่าเป็นการลักขโมย มันควรจะเป็นอย่างนั้น…
แต่ทุกอย่างจะกลายเป็นหนังคนละม้วนหากเขาหยิบฉวยเอาทรัพย์สมบัติที่จับต้องได้ไป!
การกระทำแบบนี้ไม่เป็นที่ยอมรับของเหล่าปรมาจารย์ทั่วโลก
แต่ก็นั่นแหละ มันย่อมไม่เหมือนกันหากเจ้าของทรัพย์สมบัติที่เขาหยิบฉวยมานั้นคือผู้ทรยศต่อมวลมนุษย์ นั่นถือเป็นการตัดกำลังของศัตรู เรียกได้ว่าเป็นการกระทำของวีรบุรุษเลยทีเดียว
ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในชั้น 3 มีมูลค่ามากกว่าชั้น 2 อย่างเห็นได้ชัด จางเซวียนรีบกวาดทุกอย่างใส่แหวนเก็บสมบัติก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นไป
เขาทำแบบเดิมกับทรัพย์สมบัติที่ชั้น 4, ชั้น 5, ชั้น 6…
ไม่ช้าเขาก็มาถึงชั้นบนสุด ชั้น 9
หากเปรียบเทียบกับชั้นที่อยู่ล่างๆ ชั้น 9 ดูจะโล่งอย่างน่าประหลาด ไม่มีอะไรเลยนอกจากแท่นหินที่มีความกว้างราวครึ่งสือ และมีฉนวนลอยอยู่เหนือแท่นนั้น
จางเซวียนไม่รู้ว่าฉนวนนั้นคืออะไร แต่มันปล่อยแรงกดดันมหาศาลเข้าใส่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขา เขาพยายามจะเข้าถึงฉนวน แต่แรงกดดันอันน่าทึ่งนั้นทำให้ต้องหยุดชะงัก
“ฉนวนนี่คืออะไร?” จางเซวียนย่นหน้าผากด้วยความงุนงง
หลังจากยกระดับวรยุทธของจิตวิญญาณขึ้นเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1-การพักฟื้นภายในแล้ว การโจมตีจิตวิญญาณในรูปแบบทั่วๆไปก็ไม่อาจทำอันตรายเขาได้อีก แต่ฉนวนที่อยู่ตรงหน้าสามารถทำให้รู้สึกแน่นหน้าอกได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันต้องเป็นของล้ำค่าที่ไม่ธรรมดา!
จางเซวียนเดินวนรอบแท่นหินขณะที่สะดุดตาเข้ากับอะไรอย่างหนึ่ง
เอ๊ะ? ดูเหมือนจะมีตัวอักษรจารึกไว้ด้วย…