อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1701 เสือขาวหน้าผากแดง
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1701 เสือขาวหน้าผากแดง
อวัยวะส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของอสูรตัวหนึ่งก็คือเขี้ยวและกรงเล็บของมัน ส่วนนอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้มีราคาค่างวดเท่าไหร่
แต่เพราะรู้ซึ้งถึงพละกำลังของชายหนุ่ม คนอื่นๆจึงไม่กล้าทักท้วงอะไร พวกเขาต่างพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจก่อนจะเริ่มชำแหละซากศพนั้น
ไม่ช้า ชิ้นส่วนของหมาป่าตัวใหญ่ก็ถูกชำแหละออกไปจนหมด
อวัยวะหลายส่วนของหมาป่าเวหาหน้าทองเป็นวัตถุล้ำค่า แต่ด้วยความมั่งคั่งของจางเซวียนในตอนนี้ พวกมันจึงไม่มีค่าพอที่จะดึงดูดสายตาของเขา อีกอย่าง นักรบกลุ่มนี้ก็ลงทุนลงแรงไปมากในการสังหารหมาป่า ในฐานะปรมาจารย์ การที่เขาจะเข้าไปฉกฉวยส่วนแบ่งจึงถือว่าไม่เหมาะสม
จากการที่คนกลุ่มนี้แบ่งสรรปันส่วนกัน จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง
ตอนแรก เขาคิดว่าทั้งกลุ่มรู้จักกันมาก่อนที่จะเข้าสู่มิติลี้ลับ แต่เรื่องจริงไม่ใช่
ชัดเจนว่าต่างคนต่างคุมเชิงกันอยู่ตลอดเวลา และเมื่อมีการแบ่งสรรปันส่วน ทุกคนก็พยายามจะกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งๆที่ตัดสินใจรวมกลุ่มกันแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครผูกพันกันเลย
ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มก้าวเข้ามาหาจางเซวียน “สหาย ดูเหมือนคุณจะตระเวนอยู่ในพื้นที่นี้ตามลำพังนะ ทำไมไม่มารวมกลุ่มกับพวกเราล่ะ? พื้นที่รอบวิหารแห่งขงจื๊อนั้นกว้างใหญ่มาก ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญและอสูรอยู่ทั่วไป การที่คุณเดินทางตามลำพังนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นอันตราย ยังอาจทำให้คุณพลาดของดีๆด้วยเพราะประสิทธิภาพการต่อสู้ที่มีจำกัด”
“หากเรารวมกลุ่มกัน ก็สามารถระมัดระวังให้กันและกันได้!”
“อย่าว่าแต่อย่างอื่นเลย ลำพังแค่หมาป่าเวหาหน้าทองที่พวกเราเพิ่งเอาชนะได้นั้นก็สูญพันธุ์ไปแล้วในทวีปแห่งปรมาจารย์ ทำให้เป็นของหายากที่ประเมินค่ามิได้ ถ้าปราศจากพละกำลังที่แข็งแกร่งมากพอ ก็ไม่มีทางได้มาแม้แต่ขนของมันสักกระจุก อย่าว่าแต่เขี้ยวและกรงเล็บของมันเลย”
คนอื่นๆพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
การเดินทางเป็นกลุ่มนั้นย่อมหมายถึงการต้องแบ่งสรรปันส่วนในทรัพย์สมบัติที่ได้มา แต่วิหารแห่งขงจื๊อก็เต็มไปด้วยของล้ำค่า
อีกอย่าง มันเป็นเรื่องยากสำหรับนักรบตัวคนเดียวที่จะหลบเลี่ยงอันตรายในพื้นที่บริเวณนี้และได้ของล้ำค่ามาเป็นสมบัติของตัวเอง หรือยิ่งกว่านั้น หากมีนักรบที่แข็งแกร่งกว่ามาปล้นทรัพย์สมบัติไป ก็ไม่มีทางทำอะไรอีกฝ่ายได้
ในทวีปแห่งปรมาจารย์ บรรดานักรบไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้นเพราะความยำเกรงที่มีต่อสภาปรมาจารย์ แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในมิติลี้ลับที่มีภัยคุกคามอยู่ทั่วทุกหัวระแหง แม้แต่มือไม้ของสภาปรมาจารย์ก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะนำกฎระเบียบของพวกเขามาใช้ที่นี่!
คนๆหนึ่งสามารถสังหารคนอีกหลายคนและอำพรางศพของคนเหล่านั้นได้โดยไม่มีใครรู้เลย
สำหรับมิติลี้ลับแห่งนี้ อันที่จริงก็ถือเป็นดินแดนไร้กฎหมาย สิ่งเดียวที่พอจะยับยั้งการกระทำของใครคนหนึ่งได้ก็คือหลักการและคุณธรรมในใจของเขาเท่านั้น
เหล่าปรมาจารย์อาจรู้สึกว่าตัวเองยังต้องยึดมั่นในค่านิยมที่เคยใช้ แต่สำหรับนักรบนิรนามที่ไร้หัวนอนปลายเท้าล่ะ? แล้วยังเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นอีก?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจางเซวียนก็พยักหน้า “ได้สิ!”
ในเมื่อตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จะตามคนกลุ่มนี้ไปก็ไม่เสียหายอะไร อีกอย่าง จะได้เป็นการปกปิดตัวตนของเขา ไม่ทำให้ใครเกิดความสงสัยด้วย
เห็นจางเซวียนตอบตกลง ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวด้วยทีท่าวางมาด “ผมชื่อมู่เสี่ยว ทายาทตระกูลมู่!”
ความประหลาดใจฉายวาบในดวงตาของจางเซวียน
ชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญของตระกูลมู่นี่เอง
ดูจากความแข็งแกร่งของเขา เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นไม้ตายที่ตระกูลมู่ซ่อนไว้ตลอดมา
จางเซวียนประสานมือและแนะนำตัว “ผมชื่อเซวียนจาง, นักรบนิรนาม”
“อ้อ พี่เซวียนนี่เอง ยินดีที่ได้พบคุณ” มู่เสี่ยวตอบตามมารยาท
สมาชิกคนอื่นๆที่เหลือต่างก็แนะนำตัว
ในบรรดา 7 คนนี้, 6 คนเป็นทายาทสายตรงของกลุ่มอำนาจหลัก มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นนักรบนิรนาม
“พวกเราเดินทางต่อเถอะ!”
หลังจากตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้ว มู่เสี่ยวก็ร้องเรียกคนที่เหลือให้รวมตัวกัน จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางอีกครั้ง
จางเซวียนรู้สึกได้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่เขาคิดจะไปเช่นกัน จึงเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ
การเดินครั้งนี้กินเวลาถึง 4 ชั่วโมงเต็ม
ภายในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาได้พบกับอสูรอีก 3 ตัวที่มีพละกำลังเทียบเท่ากับหมาป่าเวหาหน้าทอง เพราะรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของตัวเองจะทำให้ใครๆสงสัยตัวตนของเขา จางเซวียนจึงปรับ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาให้เทียบเท่ากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติทั่วไป
อันที่จริง คนกลุ่มนี้เชื้อเชิญจางเซวียนให้เข้าร่วมก็เพราะคาดหวังว่าตัวเขาจะมีวิธีการและของล้ำค่าที่น่าสนใจ โดยพิจารณาจากการที่เขาสามารถเดินตระเวนทั่วมิติลี้ลับได้ตามลำพังโดยไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อทุกคนเห็นว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของอีกฝ่ายก็ธรรมดาสามัญ จึงหมดความสนใจในตัวจางเซวียนอย่างรวดเร็ว ทีท่าของทุกคนที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปเป็นความเย็นชาโดยไม่รู้ตัว
“คุณแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะฉะนั้นผมเกรงว่าครั้งนี้เราคงเเบ่งอะไรให้คุณไม่ได้ คราวหน้าคุณต้องพยายามมากกว่านี้นะเพื่อให้ได้ส่วนแบ่ง” มู่เสี่ยวบอกจางเซวียนขณะที่พวกเขากำลังชำแหละอสูรตัวที่ 3 ที่ได้พบ
“เฮ่ออออ! ผมก็คิดว่าเขาจะมีอะไรดีๆอยู่กับตัว คุณจะหวังอะไรจากนักรบนิรนามไม่ได้หรอก!”
“ในเมื่อเขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลยในการสังหารอสูรตัวนี้ ก็ไม่ควรมีสิทธิ์ได้รับอะไรทั้งนั้น!”
…..
มีเสียงหารือทำนองนี้อยู่ในกลุ่ม
คำพูดเหล่านี้ออกจะหยาบคาย แต่จางเซวียนก็ไม่ใส่ใจที่จะรับรู้หรือตอบโต้ นัยน์ตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ทิศทางที่อสูรปรากฏตัวขึ้นก่อนหน้านี้ จากนั้นก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น
เขาสังเกตเห็นว่าอสูรทั้ง 3 ตัวที่ได้พบระหว่างการเดินทางนั้นล้วนแต่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตรงกันข้ามกับพวกเขา ออกจะเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปสักหน่อยที่พวกมันทุกตัวเดินไปยังทิศทางตรงกันข้าม จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกมันกำลังมุ่งหน้าไปตามทางที่ถูกต้องที่นำไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อ?
เมื่อเกิดความคิดนั้น จางเซวียนก็นึกอยากแยกตัวออกจากกลุ่มและลุยเดี่ยว แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำแบบนั้น เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นจากป่าที่ล้อมรอบพวกเขาไว้
จากนั้น เสือขาวหน้าผากแดงก็ปรากฏตัวออกมาจากดงไม้ที่อยู่ตรงหน้า
อสูรตัวนี้เป็นอสูรที่มีวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก ทันทีที่มันปรากฏตัว ก็แผ่แรงกดดันมหาศาลออกมาที่ทำให้หัวใจของทุกคนกระตุกด้วยความพรั่นพรึง
“ทุกคน เตรียมป้องกันตัว!” มู่เสี่ยวทานอย่างร้อนรนก่อนจะจับตามองอสูรตัวนั้น
ฟึ่บ!
ทั้ง 7 คนนี้ ไม่มีใครเป็นมือใหม่ เมื่อได้ยินคำสั่ง พวกเขาก็นำอาวุธออกมาเตรียมพร้อมและเข้าประจำตำแหน่งทันที พร้อมจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่กำลังจะเข้ามาเล่นงาน
ฮื่ออออ!
เมื่อเห็นว่ามีคนขวางทาง เสือขาวหน้าผากแดงเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที มันคำรามก้องและพุ่งเข้าใส่ทั้งกลุ่ม
ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว อสูรตัวใหญ่ก็สำแดงพละกำลังที่เหนือชั้นกว่าทั้งกลุ่ม มันตะปบกรงเล็บลงมา ทำให้อากาศโดยรอบเกิดเสียงหวีดหวิว คลื่นความสั่นสะเทือนระเบิดเข้าใส่มู่เสี่ยวราวกับกระแสดาบฉีอันคมกริบ
“ปราการไม้เขียว!”
มู่เสี่ยวหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ เขารีบสะบัดข้อมือและนำโล่ไม้ที่มีรูปร่างเหมือนโดมออกมาวางตรงหน้า
มันเป็นของล้ำค่าของตระกูลมู่
ครืดดดด!
แม้ปราการไม้เขียวจะทรงพลัง แต่เสือขาวหน้าผากแดงก็เหนือชั้นกว่า ด้วยการสะบัดกรงเล็บอีกครั้ง รอยร้าวก็ก่อตัวบนผิวหน้าของปราการไม้เขียวนั้น
พลั่ก!
เมื่อรับมือไม่ไหวอีกต่อไป มู่เสี่ยวกระอักเลือดออกมาและถูกสอยกระเด็นไป
รู้ดีว่าพวกเขาจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไปหากไม่รีบลงมือ ใครคนหนึ่งในกลุ่มตะโกนก้อง “โจมตีมันพร้อมๆกันเถอะ!”
เมื่อได้ยินคำสั่ง สมาชิกที่เหลือก็พุ่งเข้าใส่เสือขาวหน้าผากแดงอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทุกคนออกอาวุธอย่างดุเดือด ปล่อยการโจมตีอันทรงพลังเข้าใส่เสือขาวหน้าผากแดง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดทะลุผิวหนังของมันได้
ฮื่ออออ!
เสือขาวหน้าผากแดงคำรามกร้าวและหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวมันกระเด็นไป ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดและกระอักเลือดออกมา ซึ่งบ่งบอกว่านักรบส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะเผชิญหน้ากับอสูรตัวใหญ่เพียงระยะเวลาสั้นๆ
สมกับที่เป็นอสูรซึ่งมีวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก ความแข็งแกร่งของมันนั้นน่าสะพรึงจริงๆ!
“พวกเราจะต้องตายที่นี่หรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่อาจต้านทานอสูรตัวใหญ่ได้แม้จะสำแดงพละกำลังเต็มพิกัดแล้ว ความพรั่นพรึงและความสิ้นหวังก็ปรากฏบนสีหน้าของนักรบกลุ่มนั้น ความรู้สึกที่ว่าพวกเขาอาจต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เข้าจู่โจม ทำให้ทุกคนเกิดความหมดหวังถึงขีดสุด
ถ้ารู้เสียก่อน จะไม่มีวันตระเวนลึกเข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้เลย
ขณะที่ทุกคนคิดว่าความตายมาจ่ออยู่ตรงหน้าแล้ว ชายหนุ่มที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มก็ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับเสือขาวหน้าผากแดง
“อยู่ที่นี่ผมบินไม่ได้ และการเดินทางด้วยเท้าก็ใช้เวลานานเกินไป คงเป็นวาสนาที่นำพาให้พวกเรามาเจอกัน ในเมื่อชะตาของเราถูกผูกไว้ด้วยกันแล้ว ผมก็จะให้โอกาสคุณ มาเป็นอสูรของผมเถอะ!” ชายหนุ่มที่ชื่อเซวียนจางพูดอย่างสุขุม
ฮื่อออออ?
อสูรเสือขาวหน้าผากแดงถึงกับผงะ
สมองของหมอนี่ผิดเพี้ยนหรือเปล่า?
คุณกำลังจะให้โอกาสผม ให้ผมได้กลายเป็นอสูรของคุณใช่ไหม? สมองคุณเพี้ยนหรือหัวไปกระแทกประตูที่ไหนมา?
นักรบคนอื่นๆก็จังงังกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชายหนุ่มคนนี้ไม่เคยช่วยเหลืออะไรได้มากมายในการต่อสู้ของพวกเขากับอสูรที่มีวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่ตอนนี้ หมอนี่กลับเรียกร้องให้อสูรที่มีวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึกมาเป็นอสูรของตัวเอง
แม้แต่นักฝึกอสูรก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสร้างความคุ้นเคยกับอสูรก่อนที่จะหว่านล้อมให้พวกมันยอมทำสัญญาด้วย ไม่มีใครรู้ว่าวิหารแห่งขงจื๊อจะเปิดอยู่นานแค่ไหน แต่ก็แน่นอนว่าคงไม่ยาวนานหลายปีแน่
ด้วยความแข็งแกร่งของชายหนุ่มในเวลานี้ ไม่มีทางเลยที่เขาจะทำอะไรได้ทัน!
ก็เพราะเหตุนี้ที่ทำให้พวกเขาเลือกสังหารอสูรทุกตัวที่เข้ามาขวางทาง ไม่คิดที่จะทำให้มันยอมจำนนและนำพวกมันกลับสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ เพราะมองว่าเป็นไปไม่ได้
หมอนี่เป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ ไม่กลัวว่าเสือขาวหน้าผากแดงจะตบเขาทีเดียวตายหรือ?
ต่อหน้าสายตาสงสัยของทุกคน เสือขาวหน้าผากแดงส่งเสียงคำรามโหยหวนออกมา และกำลังจะตะปบกรงเล็บลงบนศีรษะของจางเซวียน