อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1703 ตีวงล้อมเสือเมฆ
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1703 ตีวงล้อมเสือเมฆ
“ความรักและน้ำใจไมตรีของมวลมนุษย์หายไปไหนหมด?”
เห็นทั้งสองกลุ่มกลับไปฟาดฟันกันเพียงเพื่อสมุนไพรต้นเดียว จางเซวียนยกมือกุมหน้าอกด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความเจ็บปวด “ทรัพย์สมบัติคือภัยพิบัติของมวลมนุษย์จริงๆ มิติลี้ลับแห่งนี้อันตรายมาก แทนที่จะร่วมมือกันเพื่อเอาตัวรอดจากบททดสอบครั้งนี้ไปให้ได้ กลับมาต่อสู้กันเสียนี่ ผมไม่เคยรู้สึกอับอายที่เกิดเป็นมนุษย์มากเท่านี้มาก่อน!”
“ฮื่ออออ!” เสือขาวหน้าผากแดงคำรามเป็นการตอบรับ
“ผมเกรงว่าจะไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ เพื่อให้มนุษย์หยุดสู้รบกันและรวมตัวกันเป็นหนึ่งเพื่อผ่านบททดสอบครั้งนี้ ผมจะแบกรับปัญหาทั้งหมดไว้เองด้วยการนำทรัพย์สมบัติในพื้นที่นี้ออกไปให้หมด คนเหล่านั้นจะได้ไม่มีอะไรให้ต้องสู้กันอีก” จางเซวียนพูดด้วยสีหน้าที่เปล่งประกายของความเมตตากรุณา
เสือขาวหน้าผากแดงกำลังจะพยักหน้ารับ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ มันเงยหน้าขึ้นและคำรามอย่างงงๆ “ฮื่ออออ?”
สามารถหาข้อแก้ตัวอันชอบธรรมที่จะปล้นทรัพย์สมบัติทั้งหมดในดินแดนแห่งนี้ได้…เจ้านายคนใหม่ของมันช่างน่าไม่อายเสียจริงๆ!
เขาไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ?
จางเซวียนไม่รู้ตัวว่าภาพลักษณ์อันสวยงามของเขาในหัวใจของเสือขาวหน้าผากแดงได้แตกสลายไปแล้ว เขาสั่งการด้วยทีท่าของผู้ผดุงความยุติธรรม “แกคุ้นเคยกับภูมิประเทศแถบนี้ดีและเดินทางไปรอบๆได้อย่างรวดเร็วด้วย ถ้ามีของล้ำค่าดีๆอยู่ตรงไหนล่ะก็ นำมันมาให้ฉันด้วยนะ!”
“ฮื่อออ!” รู้ดีว่านายท่านของมันตัดสินใจแล้ว และจะออกความเห็นอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์ เสือขาวหน้าผากแดงได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะพุ่งไปอย่างรวดเร็ว
พูดได้เลยว่าเสือขาวหน้าผากแดงรู้จักพื้นที่นี้เป็นอย่างดี ภายใต้การนำของมัน จางเซวียนได้ทรัพย์สมบัติหายากมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า คงต้องใช้เวลานานกว่านี้มากหากให้เขาค้นหามันด้วยตัวเอง
ภายในไม่ถึง 4 ชั่วโมง เขาก็กวาดทรัพย์สมบัติภายในรัศมีหลายร้อยลี้จนเกลี้ยง
มีทั้งสมุนไพรอายุหมื่นปีและสินแร่หายากที่แม้แต่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็ยังไม่มี จางเซวียนถึงกับใช้งานอสูรอีก 5 ตัวให้ช่วยเขาออกตามล่าหาสมบัติด้วย
เมื่อไม่มีทรัพย์สมบัติหลงเหลืออยู่ในพื้นที่นั้นแล้ว ความขัดแย้งก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เห็นโลกกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง จางเซวียนยิ้มอย่างพอใจ ด้วยการกระทำอันสูงส่งของเขา ตัวเขากับอสูรที่ยอมจำนนแล้วอีก 6 ตัวมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของเสือเมฆวิญญาณทอง
เพราะเกรงว่าข้อมูลของเสือขาวหน้าผากแดงจะคาดเคลื่อน จางเซวียนจึงตั้งคำถามเดียวกันกับอสูรอีก 5 ตัวที่เขาเพิ่งทำให้มันยอมจำนนได้ ซึ่งคำตอบของพวกมันก็เป็นทำนองเดียวกัน
ภายในผืนป่าแห่งนี้ เสือเมฆวิญญาณทองคือผู้ทรงอำนาจไร้เทียมทาน
“ระหว่างนี้ พวกแกซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก่อนนะ เมื่อฉันเรียก ก็เปิดการโจมตีทันทีเพื่อเล่นงานเสือเมฆวิญญาณทองให้ยอมแพ้ให้ได้!”
หลังจากเดินทางไปอีก 1 ชั่วโมง พวกเขาก็เข้าใกล้เป้าหมาย จางเซวียนสะบัดข้อมือและเก็บอสูรทั้ง 6 ตัวเข้าสู่รังนางพญามด
อสูรขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกนั้นแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ที่มีวรยุทธในระดับขั้นเดียวกัน แม้ด้วยประสิทธิภาพการต่อสู้ในปัจจุบันของจางเซวียน ก็ยังดูเหมือนว่าเขาน่าจะลำบากไม่น้อยในการรับมือกับเสือเมฆวิญญาณทอง
การที่เขาทำให้อสูรจำนวนหลายตัวยอมจำนนนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะอันที่จริง จางเซวียนตั้งใจจะใช้พวกมันเป็นกำลังเสริม
หากเขาไม่สามารถเอาชนะเสือเมฆวิญญาณทองได้จริงๆ ก็จะปล่อยอสูรทั้ง 6 ตัวออกมาพร้อมๆกัน ในฐานะที่พวกมันเป็นอสูรขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึก ก็คงจะยื้อเวลาได้ชั่วระยะหนึ่ง
จางเซวียนจะใช้ช่วงเวลานั้นสำแดงเทคนิควรยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อเอาชนะเสือเมฆวิญญาณทองให้ได้ในกระบวนท่าเดียว!
หลังจากเก็บอสูรทั้งหมดแล้ว จางเซวียนก็ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพงหญ้าสูงขณะที่ค่อยๆรุกคืบเข้าสู่เป้าหมาย
ก่อนที่จะเข้าถึงอาณาเขตของเสือเมฆวิญญาณทอง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังอยู่ข้างหน้า จางเซวียนรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างรวดเร็วและสังเกตการณ์ผ่านใบไม้ที่ปกคลุมร่างของเขาไว้
ในระยะที่ไม่ห่างออกไปนัก มีกลุ่มนักรบ 8 คนกำลังเดินมาด้วยความระแวดระวัง ทุกคนถืออาวุธกระชับมั่น พร้อมจะเล่นงานคู่ต่อสู้ได้ทุกเมื่อ
“แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังเป็นนักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก ทั้งยังมีนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย ดูเหมือนคนพวกนี้จะรู้ว่าอสูรเมฆวิญญาณทองอยู่ที่นี่ และตั้งใจมาเอาชนะมัน…” จางเซวียนวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว
คงไม่ได้มีแต่เขาคนเดียวที่คิดว่าจะตามหาอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่นี้เพื่อสอบถามมันถึงตำแหน่งที่ตั้งของวิหารแห่งขงจื๊อ
เป็นความจริงที่ว่าอาณาบริเวณรอบนอกวิหารเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการฝึกฝนวรยุทธและมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าทรัพย์สมบัติที่แท้จริงนั้นอยู่ภายในวิหาร
โอกาสมักมาพร้อมความเสี่ยงเสมอ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในช่วงชีวิตที่จะได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด และผู้คนมากมายก็เต็มใจที่จะเผชิญกับอันตรายนั้น
“นั่นใครน่ะ?”
ขณะที่จางเซวียนกำลังครุ่นคิด นักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกคนหนึ่งก็ก้าวออกมาและจ้องมายังทิศทางที่จางเซวียนซ่อนตัวอยู่
ช่วงระยะเวลาสั้นๆที่จางเซวียนเผลอครุ่นคิดก่อนหน้านี้ทำให้อารมณ์ของเขาปั่นป่วน การปกปิดรังสีจึงไม่สมบูรณ์ มันเป็นช่องโหว่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในเมื่อทั้งกลุ่มกำลังระแวดระวังและเตรียมพร้อม ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รู้สึก
รู้ตัวว่าถูกพบแล้ว จางเซวียนหัวเราะเบาๆขณะก้าวออกไป “ผมบังเอิญผ่านมาเท่านั้น…”
นักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกคนที่ตั้งคำถามก่อนหน้านี้เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีอายุราว 60 ปี เขาขมวดคิ้วอย่างวางอำนาจและตั้งคำถามต่อ “คุณเป็นปรมาจารย์หรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่าสมาชิกบางคนในกลุ่มสวมเสื้อคลุมปรมาจารย์ จางเซวียนตอบอย่างหนักแน่น “ใช่แล้ว”
“ผมคือผู้อาวุโสสูงสุดของดงอสูร, หวูชางผิง ผมตั้งใจจะมาทำให้อสูรที่อยู่ตรงหน้าเรายอมจำนน จึงต้องขอร้องคุณว่าอย่าเข้ามาขัดจังหวะภารกิจของพวกเรา!” ผู้อาวุโสพูดด้วยทีท่าสง่างาม
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะขัดจังหวะ แต่ถ้าผมจะขออยู่แถวๆนี้เพื่อเฝ้าดูจะได้ไหม?” จางเซวียนถาม
ในเมื่ออีกฝ่ายมาก่อน ก็คงไม่เหมาะสมนักที่เขาจะเข้าแทรกและฉกฉวยเป้าหมายของคนเหล่านี้ไป
ถึงอย่างไร เป้าหมายของจางเซวียนก็คือหาทิศทางที่มุ่งไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อจากเสือเมฆวิญญาณทอง ด้วยเครื่องรางลำดับแรกที่เขามีอยู่ เขาคงจะหาตำแหน่งที่ถูกต้องของวิหารได้อย่างง่ายดาย ตราบใดที่รู้ทิศทางแล้ว
เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มตั้งใจจะอยู่แถวๆนี้ ชายวัยกลางคนที่อยู่ในกลุ่มนั้นคำราม “ผมไม่อนุญาต กรุณาออกไปเดี๋ยวนี้เลย ไม่อย่างนั้นพวกเราจะต้องใช้กำลังขับไล่คุณ!”
“คุณคิดจะขับไล่ผมหรือ?”
“พวกเราหมายตาเสือเมฆวิญญาณทองไว้แล้ว หากคุณอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะกีดขวางเรา” หวูชางผิงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กรุณาไปหาอสูรของคุณเองเถอะ”
เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับ จางเซวียนยักไหล่อย่างไม่รู้สึกรู้สา “อย่างนั้นก็ได้ ผมขอให้คุณโชคดีก็แล้วกัน!”
จากนั้น เขาก็หันหลังกลับแล้วจากไป
ทันทีที่จางเซวียนลับสายตาไปจากกลุ่มนักรบทั้ง 8 เขาก็กระดิกนิ้วและสกัดกั้นมิติรอบตัวไว้ก่อนจะย้อนกลับไปอีกครั้ง
“พูดก็พูดเถอะ เราควรจะสังหารหมอนั่นตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ทำไมพวกคุณถึงมัวเสียเวลาพูดกับเขา? เราไม่ได้อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์นะ ไม่จำเป็นจะต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่แสนยุ่งยากพวกนั้น!” ชายวัยกลางคนที่คำรามใส่จางเซวียนก่อนหน้านี้พึมพำอย่างรำคาญสุดขีด
“ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอกที่จะฆ่าปรมาจารย์สักคนหนึ่งที่นี่ แต่มันคงจะไม่ดีถ้าเราทำให้เสือเมฆวิญญาณทองเกิดรู้ตัวขึ้นมา เจ้านี่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของป่าแห่งนี้ ผ่านการสู้รบมามากมาย สัญชาตญาณของมันเฉียบแหลมมาก เราจะต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังที่สุดเพื่อตีวงล้อมและเอาชนะมันให้ได้ในคราวเดียว!” หวูชางผิงพูด
“คุณพูดถูก ผมควรจะพิจารณาให้ถี่ถ้วนกว่านี้” ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับ จากนั้นเขาก็ย่นหน้าผากขณะตั้งคำถาม “เราวางของชิ้นนั้นไว้ในรังของมันได้สักระยะหนึ่งแล้ว ป่านนี้เจ้าเสือนั่นคงสลบแล้วล่ะ ใช่ไหม?”
“มันน่าจะสลบแล้วนะ แต่จากข้อมูลที่เราได้มา เสือเมฆวิญญาณทองมีความอึดและทนทานมากมาตั้งแต่เกิด เราจะต้องระมัดระวังไว้ตลอดเวลา รออีกสักพักเถอะ…” หวูชางผิงพูด
“ได้!”
ชัดเจนว่าหวูชางผิงคือผู้นำกลุ่ม เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา ทุกคนก็ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้อย่างเงียบเชียบ ปกปิดทั้งรังสีและลมหายใจของตัวเองไว้
ราว 10 นาทีหลังจากนั้น หวูชางผิงยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “เอาล่ะ น่าจะได้เวลาแล้ว เข้าไปดูข้างในกัน”
ได้ยินคำนั้น ชายวัยกลางคนก็รุดหน้าเข้าสู่ถ้ำด้วยฝีเท้าอันเงียบเชียบ จากการเคลื่อนไหวของเขา จางเซวียนบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานเช่นกัน แต่อยู่ในขั้นต้น
ถึงอย่างไร ประสิทธิภาพและพละกำลังของเขาก็มากพอที่จะทำให้กลายเป็นกลุ่มอำนาจหลักของทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว
มีแต่เซียนดาบชิงเท่านั้นที่มีพละกำลังทัดเทียมกับเขา!
ฟึ่บ!
ชายวัยกลางคนเดินเข้าไปในถ้ำ
บึ้มมมม!
หลังจากที่เขาเข้าไปไม่นาน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น จากนั้น ชายวัยกลางคนก็กระเด็นออกมาจากถ้ำอย่างรุนแรง แผ่นหลังของเขากระแทกต้นไม้สูงใหญ่หลายต้นก่อนสุดท้ายจะหยุดนิ่ง เลือดกระอักออกจากปาก
“บ้าที่สุด! มันไม่ตกหลุมพรางของเรา เราต้องใช้กำลังแล้ว!”
หวูชางผิงเข้าใจทันทีว่าแผนการเบื้องต้นของพวกเขาล้มเหลว เขาตวาดก้องและพุ่งปราดเข้าไป
สมาชิกคนอื่นๆที่เหลือต่างก็รีบรุดหน้าเข้าสู่ถ้ำ แต่ทันทีที่เข้าประจำตำแหน่ง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง อสูรขนาดมหึมาตัวหนึ่งกำลังเดินช้าๆออกมาจากถ้ำนั้น