อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1714 ต้นไม้ฆาตกรรม
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1714 ต้นไม้ฆาตกรรม
การดื่มน้ำช่วยบรรเทาความกระหายของเขาได้ จางเซวียนทรุดตัวลงนั่งยองๆและครุ่นคิด เขาเพ่งสมาธิไปที่สภาวะภายในร่างกายเพราะหากมีประกายไฟแม้แต่น้อยปรากฏขึ้นในร่างของเขา จะได้ดับมันได้ทันเวลา
แต่หลังจากรออยู่ครู่ใหญ่ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับว่าน้ำนั้นไม่อาจทำอะไรเขาได้
จางเซวียนลุกขึ้นยืนอีกครั้งพร้อมกับรอยย่นบนหน้าผาก
ถ้าเปลวไฟปรากฏขึ้นในร่างกายของเขา ก็พอจะแกะรอยต้นกำเนิดของมันได้ แต่เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาก็ไม่รู้ว่าจะสรุปที่มาที่ไปของมันอย่างไร
เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งนี้จะเหมือนกับน้ำสีเหลืองแห่งเมืองบาดาลที่เขาได้พบในอาณาจักรโบร่ำโบราณของนักปราชญ์โบราณหรันชิวคือน้ำนี้เป็นพิษกับคนอื่นๆ แต่ไม่อาจทำอันตรายอะไรเขาได้?
“ผู้อาวุโส คุณเป็นอะไรไหม?” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งถามอย่างกังวลใจ
เมื่อเห็นว่าไม่มีควันสีขาวลอยโขมงออกจากศีรษะของชายหนุ่ม ทั้งยังไม่มีเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวด ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ผมไม่เป็นอะไร” จางเซวียนตอบพร้อมกับพยักหน้า
“ค่อยยังชั่ว มันน่าสะพรึงเหลือเกินที่ได้เห็นคนเป็นๆคนหนึ่งต้องแหลกสลายกลายเป็นทรายสีเหลือง ถ้าไม่ใช่เพราะผมเดินทางมากับเขา ก็คงคิดว่าเขาเป็นยักษ์ผืนทรายปลอมตัวมา!” นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตด้วยความหวาดหวั่น
“ยักษ์ผืนทรายปลอมตัวมา? แหลกสลายกลายเป็นทรายสีเหลือง…”
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของจางเซวียน เขารีบหันไปมองนักรบคนหนึ่งและตั้งคำถาม “ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าคุณพบกับยักษ์ผืนทรายหลังจากเดินทางมาได้ 4 ชั่วโมง พูดอีกอย่างก็คือคุณไม่ได้เจอกับยักษ์ผืนทรายตัวไหนเลยตลอด 4 ชั่วโมงแรก ถูกไหม?”
“ฮะ? ใช่…ถูกแล้ว!” นักรบผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามของจางเซวียน แต่ก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขารู้สึกตัวตื่นหลังจากถูกส่งทะลุมิติมาจากชูฝู่ ก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลาง ทะเลทรายแห่งนี้ ตอนแรกก็ไม่มีอันตรายใดๆ แต่ในชั่วโมงที่ 4 ก็ต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ผืนทราย พวกเขาได้บอกเรื่องนี้ตั้งแต่แรกที่พบกับจางเซวียนแล้ว มันจึงไม่ใช่ความลับ
“พบกับยักษ์ผืนทรายในชั่วโมงที่ 4…เป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้ที่จริงแล้วยักษ์ผืนทรายคือสิ่งที่หลงเหลืออยู่จากเหล่านักรบที่เสียชีวิตไปแล้ว?” จางเซวียนพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ออกจะน่าประหลาดที่ยักษ์ผืนทรายปรากฏตัวขึ้นหลังจากมิติลี้ลับถูกเปิดออกได้เพียง 4 ชั่วโมง เป็นไปได้ไหมว่านักรบกลุ่มแรกได้พบโอเอซิสเมื่อ 4 ชั่วโมงก่อนและแปรสภาพกลายเป็นยักษ์ผืนทรายกลุ่มแรก?
“สิ่งที่หลงเหลืออยู่จากเหล่านักรบที่เสียชีวิตไปแล้ว?”
ทุกคนพากันอึ้ง
เมื่อลองคิดดู ก็มีโอกาสเป็นไปได้ ถึงจะน่าพรั่นพรึงแค่ไหน แต่ก็ถือว่าฟังขึ้นทีเดียว!
ชายวัยกลางคนแหลกสลายกลายเป็นทรายหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขานึกถึงยักษ์ผืนทรายที่พบเจอในตอนแรกขึ้นมา
“พวกเราจะรู้ความจริงได้จากการทดสอบแบบเร่งรัด!” จางเซวียนพูดพร้อมกับหรี่ตา
เขาเดินกลับไปยังกองทรายที่ชายวัยกลางคนสลายร่างและทาบนิ้วลงไปบนนั้น
ครู่ต่อมา จิตใต้สำนึกของเขาก็ดำดิ่งเข้าสู่โลกของความมืดมิด
“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย!” จางเซวียนขมวดคิ้ว
ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาถูกนำตัวเข้าสู่พื้นที่มืดมิดแห่งนี้ระหว่างที่ใช้ศิลปะการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้ที่จะร่ายมนต์ใส่กองทรายให้ฟื้นคืนชีพ
จางเซวียนเพ่งสมาธิ จากนั้นก็ร่ายมนต์ให้เกิดเปลวไฟขึ้นในกองทราย ทำลายความมืดที่อยู่ในพื้นที่อันมืดมิดนั้น
ฟึ่บ!
กองทรายสีเหลืองค่อยๆก่อตัวสูงขึ้นกลายเป็นยักษ์ผืนทรายตัวมหึมา แต่มันมีประสิทธิภาพการต่อสู้เทียบเท่ากับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติเท่านั้น
“ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ทรายซึ่งถูกร่ายมนต์ใส่จะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน!” จางเซวียนตาโตเมื่อเกิดความเข้าใจขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ เขายังสงสัยอยู่ว่าทรายที่ถูกร่ายมนต์ใส่มีประสิทธิภาพการต่อสู้ขนาดนั้นได้อย่างไร แต่เท่าที่เห็น ดูเหมือนผืนทรายที่ก่อตัวขึ้นเป็นยักษ์ผืนทรายนั้นไม่ใช่ทรายธรรมดา แต่เป็นซากศพของเหล่านักรบ!
พูดอีกอย่างก็คือ ยักษ์ผืนทรายที่พวกเขาสู้รบด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น แท้ที่จริงแล้วคือเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ร่างแหลกสลายกลายเป็นผืนทรายที่โอเอซิส!
พูดให้ชัดกว่าเดิมก็คือ…พวกเขากำลังต่อสู้กับซากศพ!
“เดี๋ยวก่อน…ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณอยู่ไหนล่ะ?” จางเซวียนเกิดความสงสัยขึ้นมาขณะรีบเหลียวมองโดยรอบ
ถ้าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณก็ต้องอยู่ที่โอเอซิสแห่งนี้ แต่นอกจากทะเลสาบ ทุ่งหญ้า และต้นไม้สูงตระหง่าน ก็ไม่มีอะไรให้เห็นอีกเลย
“ขนาดตัวเราก็ยังต้องสัมผัสกับกองทรายโดยตรงเพื่อร่ายมนต์ใส่มัน เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจะสามารถร่ายมนต์ใส่กองทรายจากระยะไกลได้” จางเซวียนนวดหว่างคิ้วด้วยความหงุดหงิด
เขารู้สึกว่าตัวเองรวบรวมเงื่อนงำทั้งหมดสำหรับการคลี่คลายปริศนาได้แล้ว แต่ลงท้ายทุกอย่างก็ยังไม่ปรากฏ บางทีเขาอาจไม่สามารถปะติดปะต่อภาพที่สมบูรณ์ได้ด้วยเงื่อนไขที่ค้นพบ เพราะความลึกลับของมัน
และส่วนสำคัญก็คือผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ จนกว่าเขาจะพบตัวผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณคนนั้น เรื่องนี้ก็จะยังคงเป็นความลับ และเขาก็จะไม่มีวันหาทางออกจากโลกแห่งทะเลทรายนี้ได้
ก่อนหน้านี้ จางเซวียนได้ตรวจสอบทะเลสาบอย่างใกล้ชิดแล้ว มันใสกระจ่างเสียจนเขามองเห็นก้นทะเลสาบได้สบาย แต่ก็ไม่มีทางออก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าทางออกจะไม่ได้อยู่ที่โอเอซิสแห่งนี้
“ก่อนหน้านี้ ชายวัยกลางคนแหลกสลายกลายเป็นทรายสีเหลืองหลังจากดื่มน้ำ แต่เมื่อเราดื่มน้ำก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าการร่ายมนต์ใส่ซากศพจะทำได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาแหลกสลายกลายเป็นกองทรายแล้วเท่านั้น และหากน้ำนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ ก็จะต้องเป็นบางอย่างที่อยู่เหนือผืนน้ำ” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความงุนงงขณะเพ่งมองผิวน้ำอีกครั้ง
มีแต่ผู้ที่ดื่มน้ำจากโอเอซิสเท่านั้นที่จะแปรสภาพกลายเป็นผืนทรายและถูกร่ายมนต์ใส่ให้กลายเป็นยักษ์ผืนทราย จางเซวียนรู้สึกว่าหากเขาสามารถทำความเข้าใจได้ว่านักรบกลายร่างเป็นทรายสีเหลืองได้อย่างไร ก็คงจะพบสถานที่ที่ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณซ่อนตัวอยู่
ดังนั้น จางเซวียนจึงวักน้ำขึ้นมาอีกครั้งและพิจารณามันอย่างถี่ถ้วนแต่ก็ยังไม่พบอะไรน่าสนใจ มันเป็นน้ำธรรมดาที่ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นขณะที่เขากำลังจะล้มเลิก สายลมอ่อนก็พัดโชยผ่านโอเอซิสต้นไม้สูงตระหง่านที่อยู่ข้างทะเลสาบพริ้วไหวไปตามสายลมนั้นเกิดเสียงใบเสียดสีกัน
ฟึ่บ!
ปุยฝ้ายที่งอกงามอยู่ทั่วต้นไม้สูงตระหง่านนั้นร่วงลงในทะเลสาบเพราะแรงลม พวกมันลอยอยู่อย่างเงียบเชียบเหนือผืนน้ำ ครู่ต่อมาก็สลายตัวและหายวับไปในผืนน้ำนั้น
“หรือว่าเจ้านี่จะเป็นตัวการ?” จางเซวียนหรี่ตา
เขารีบเดินไปยังต้นไม้สูงตระหง่านและหยิบปุยฝ้ายออกมากำมือหนึ่ง
ซรืดดดด!
จางเซวียนต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเกิดความรู้สึกราวกับมีเปลวเพลิงแผดเผาฝ่ามือของเขา เพลิงนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับเปลวเพลิงที่เขาสัมผัสได้ในร่างของนักรบทั้ง 3
“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย!” จางเซวียนพยักหน้า
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เหล่านักรบก่อนหน้านี้มอดไหม้และสลายตัวเป็นผืนทรายหลังจากดื่มน้ำเข้าไป ขณะที่ตัวเขาไม่เป็นอะไรเลย
ดูเหมือนกุญแจจะอยู่ที่ปุยฝ้ายเหล่านี้
มีแต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งปนเปื้อนปุยฝ้ายเท่านั้นที่จะแหลกสลายกลายเป็นทรายสีเหลืองและเปลี่ยนร่างเป็นยักษ์ผืนทราย
ตอนที่จางเซวียนตรวจสอบน้ำ ปุยฝ้ายก็สลายตัวกลืนไปกับทะเลสาบแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะไม่พบอะไรผิดปกติ
ในที่สุดเขาก็ค้นพบสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังเพลิงลึกลับ ว่าแต่…ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณอยู่ที่ไหน?
จางเซวียนเดินเข้าไปพิจารณาต้นไม้อย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาด
เขายกมือขึ้นและทาบฝ่ามือลงไปบนลำต้นของมันอย่างแผ่วเบาครู่ต่อมา รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า
จางเซวียนพิงต้นไม้และกระซิบ “แกคือตัวการใช่ไหม?”
ฟิ้ววววว!
สายลมพัดผ่านโอเอซิสอีกครั้ง ทำให้ต้นไม้สั่นสะท้านอย่างแผ่วเบา ราวกับมันกำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดของจางเซวียน
“แกก็รู้ มันไม่ส่งผลอะไรกับฉันหรอก ถึงแกจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็เถอะ” จางเซวียนพูดอย่างสบายใจ
เขาสะบัดข้อมือ แล้วกระบี่เปลวเพลิงสีดำก็ปรากฏตัว เกิดแสงสว่างวาบ จากนั้นมันก็ตวัดเข้าใส่ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
ดูซิว่าแกจะยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ได้ไหมหลังจากที่ฉันสับแกเป็นชิ้นๆ!
ฟิ้ววววว!
แต่ยังไม่ทันที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำจะได้สัมผัสกับต้นไม้ สายลมหอบใหญ่ก็ระเบิดขึ้นกลางอากาศ จางเซวียนเงยหน้ามอง และเห็นกิ่งไม้พุ่งเข้าใส่ศีรษะของเขาราวกับหอกอันแหลมคม
การเคลื่อนไหวของกิ่งไม้นั้นรวดเร็วและทรงพลังมาก ในแง่ของประสิทธิภาพ มันเทียบเท่ากับการโจมตีของนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกเลยทีเดียว
แต่จางเซวียนก็หลบเลี่ยงการโจมตีนั้นได้อย่างง่ายดายด้วยการก้าวออกไปข้างๆ
ฟิ้ววววว!
แต่ดูเหมือนต้นไม้จะไม่ยอมปล่อยให้เขาลอยนวล กิ่งไม้อีกหลายสิบกิ่งพุ่งตรงเข้าหาจางเซวียน ราวกับมีมังกรเกรี้ยวกราดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ พละกำลังจากการเคลื่อนไหวของพวกมันทำให้เกิดรอยแยกสีดำขึ้นกลางอากาศ
“น่าทึ่งจริงๆ!” จางเซวียนหรี่ตาขณะที่รอยยิ้มก่อนหน้านี้จางหายไปจากใบหน้า
เขากระดิกนิ้วเพื่อสกัดกั้นมิติรอบตัวไว้ชั่วคราว ป้องกันการโจมตีจากกิ่งไม้ จากนั้นก็เงื้อกระบี่เปลวเพลิงสีดำขึ้นและปล่อยการฟาดฟันนับร้อยครั้งเข้าใส่มันในชั่วพริบตา
เห็นได้ชัดว่าต้นไม้นี้มีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก เขาจึงต้องรับมืออย่างระมัดระวัง เพราะไม่อย่างนั้น อาจต้องลงเอยด้วยความตาย