อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1724 จางเซวียนรับคำท้า
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1724 จางเซวียนรับคำท้า
“ท้าดวล?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “เผ่าพันธุ์ปีศาจกล้าเปิดเผยตัวออกหน้าออกตา แถมยังยินยอมทำตามกฎนี่นะ?”
เท่าที่เขารู้ มารยาทและธรรมเนียมต่างๆนั้นไม่มีไม่มีความหมายอะไรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ถูกขับเคลื่อนด้วยความกระหายเลือด พวกมันสนใจการรบราฆ่าฟันมากกว่า ดังนั้นจึงดูประหลาดมากที่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวหนึ่งมาท้าทายเขาอย่างเป็นทางการ
ที่สำคัญกว่านั้น มีปรมาจารย์ผู้ทรงพลังอยู่มากมายในโดมใบไม้ผลิอบอุ่น ด้วยความขัดแย้งระหว่างเหล่าปรมาจารย์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ฝังรากลึกและยืดเยื้อมาหลายหมื่นปี ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ญาติสนิทมิตรสหายของทั้งสองฝ่ายจะต้องถูกอีกฝ่ายหนึ่งสังหารไปบ้าง แล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่เกรงว่าจะถูกฆ่าหรือหากกล้าเข้ามาที่นี่?
“ไม่ใช่เพราะพวกมันอยากทำตามกฎหรอก แต่พวกมันไม่มีทางเลือก” เซียนดาบชิงอธิบายพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
“พวกมันไม่มีทางเลือก?” จางเซวียนสงสัย ครู่ต่อมาเขาก็ตาโตเมื่อนึกได้ “หรือว่ามีเหล่านักปราชญ์โบราณอยู่ที่นี่ด้วย?”
มีแต่นักปราชญ์โบราณเท่านั้นที่จะทำให้นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกต้องถูกบังคับให้ยอมจำนนโดยปราศจากเงื่อนไข
“ใช่แล้ว มีเหล่านักปราชญ์โบราณอยู่ในบริเวณนี้ นักปราชญ์โบราณของตระกูลจางของเราก็อยู่ที่นี่เช่นกัน แม้เหล่านักปราชญ์โบราณของทั้งสองฝ่ายจะไม่อยากเผชิญหน้ากัน แต่พวกเขาก็เห็นพ้องกันว่าสามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ด้วยการดวลอย่างชอบธรรม การจงใจสังหารโดยเจตนาถือเป็นข้อห้ามก็จริง แต่ก็ไม่มีทางที่พื้นที่บริเวณนี้จะสงบสุขได้!” เซียนดาบชิงอธิบาย
จางเซวียนพยักหน้า
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่เขาไม่พบอันตรายใดๆระหว่างการเดินทาง คงเป็นเพราะการคุมเชิงกันระหว่างทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
หรือไม่อย่างนั้น ก็เป็นไปได้ว่าสงครามจะเกิดขึ้นก่อนที่หอบริวารจะถูกเปิดออก บางที พวกเขาคงเล่นงานกันเองเพียงเพื่อจะให้ได้ทรัพย์สมบัติมาอยู่ในมือ
หากจะเปรียบเทียบกับชีวิตเก่าของเขา เหล่านักปราชญ์โบราณของทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เหมือนอาวุธนิวเคลียร์ที่ทำให้แต่ละฝ่ายวางใจว่าตัวเองปลอดภัย ซึ่งเหตุผลที่ไม่มีฝ่ายไหนเต็มใจผลักดันเหล่านักปราชญ์โบราณให้ออกมาสู้รบก็เพราะรู้ดีว่าการสู้รบจะยืดเยื้อบานปลายทันทีหากต้องสูญเสียนักปราชญ์โบราณไป ในเมื่อพวกเขายังไม่ได้เห็นแม้แต่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องแบกรับความเสี่ยงขนาดนั้น
“เหตุที่พวกมันท้าทายพ่อก็เพราะพวกมันอยากได้เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่พ่อมีอยู่ หรือเพื่อจะได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อตามหลังพวกเรา!” เซียนดาบชิงชักดาบออกมาและคำราม “แล้วพ่อจะปล่อยให้พวกมันทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร?”
“ท่านพ่อ ได้โปรดรอก่อน!” เห็นเซียนดาบชิงกำลังฮึดฮัด จางเซวียนลุกขึ้นยืนและยับยั้งอีกฝ่ายไว้ “ให้ผมออกไปดวลกับมันแทนเถอะ”
“ลูกหรือ?” เซียนดาบชิงชะงัก
“ใช่ ถึงวรยุทธของผมจะเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่ผมก็มีพละกำลังมากพอที่จะรับมือกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานได้ อีกอย่าง ผมบังเอิญพบกับความโชคดีเล็กน้อยระหว่างทางที่มาที่นี่ และรู้สึกว่าครั้งนี้จะเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้ทดสอบตัวเอง” จางเซวียนตอบอย่างมั่นใจ
แม้เซียนดาบชิงจะสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกแล้ว แต่ศัตรูก็ไม่ได้อ่อนด้อย ไม่ใช่เพราะจางเซวียนไม่เชื่อมั่นในประสิทธิภาพการต่อสู้ของเซียนดาบชิง แต่เขาไม่เต็มใจที่จะเห็น อันตรายใดๆเกิดขึ้นกับอีกฝ่าย
เซียนดาบชิงประเมินจางเซวียนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้…ดูแลตัวเองด้วยนะ! ถ้าลูกรู้สึกว่าตัวเองจนมุม ให้รีบกลับมาที่นี่ทันที”
ลูกชายของเขาอาจมีอายุเพียง 20 ต้นๆ แต่มีวิถีทางการต่อสู้มากมายที่แม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังต้องยำเกรง พูดตามตรง ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเป่ยหยวนได้ แต่ลูกชายของเขาเก่งกาจพอที่จะเล่นงานอีกฝ่ายได้สำเร็จแน่
“ผมจะทำตามนั้น” จางเซวียนพยักหน้า จากนั้นก็กระโจนออกจากโดมและไปปรากฏตัวตรงหน้าเผ่าพันธุ์ปีศาจ “ผมคือจางเซวียน ถ้าคุณอยากท้าทายท่านพ่อของผม ต้องผ่านผมไปก่อน”
“คุณมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยหรือ?” ดูเหมือนเป่ยหยวนจะไม่รู้จักจางเซวียน เห็นบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นแค่ชายหนุ่มคนหนึ่ง เป่ยหยวนจ้องมองด้วยสายตาคลางแคลงใจ “ถ้าคุณแพ้ ผมขอให้คุณส่งมอบเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานมา!”
“แน่นอนว่าผมจะทำอย่างนั้น” จางเซวียนหัวเราะหึๆ “ถ้าผมแพ้ ผมจะมอบเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานให้คุณ แต่ถ้าผมชนะล่ะ?”
เป่ยหยวนสะบัดข้อมือและนำเกราะโลหะที่มีความยืดหยุ่นอย่างน่าอัศจรรย์ออกมา เขาตบเกราะโลหะอย่างแรงและคำราม “ถ้าคุณชนะ ผมจะมอบเกราะระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ให้คุณเป็นการชดใช้!”
“คุณคิดจะแลกเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นี่นะ? เห็นผมเป็นไอ้โง่หรือไง?” จางเซวียนเลิกคิ้วอย่างดูถูก
ขนาด 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ยังเสนอของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณให้เพื่อแลกกับเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน การที่อีกฝ่ายเสนอของล้ำค่าที่มีระดับขั้นเพียงแค่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นเดิมพัน…จะดูถูกเขาเกินไปหน่อยแล้ว!
“ถ้าอย่างนั้น คุณต้องการอะไร?” เป่ยหยวนขมวดคิ้ว
ก่อนหน้านี้ พวกเขาได้ทำการดวลกันมาแล้ว ซึ่งแม้เผ่าพันธุ์ของมันจะเป็นฝ่ายสูญเสีย แต่เซียนดาบชิงก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร แล้วทำไมเดิมพันนี้ถึงกลายเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมขึ้นมาทันทีเมื่อมาถึงชายหนุ่ม?
“ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 3 ชิ้น!” จางเซวียนประกาศหนักแน่น
“ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 3 ชิ้น?” เป่ยหยวนหรี่ตาเมื่อได้ยินข้อเรียกร้องของอีกฝ่าย “ฝันไปเถอะ!”
“ก็แล้วแต่นะ ผมก็ไม่อยากเสียเวลากับคุณเหมือนกัน คุณควรจะรู้ว่าเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานนั้นจำเป็นต่อการเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ต่อให้เป็นแค่หอบริวาร และมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่มรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงนั้นก็ถือว่าพิเศษมาก คุณควรจะคิดดูให้ดี เมื่อเวลานั้นมาถึง อย่าหาว่าผมไม่ให้โอกาสก็แล้วกัน…ถ้าคุณไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ ก็แค่พูดออกมาเหอะ ผมเหนื่อยกับการสำรวจพื้นที่และอยากพักผ่อนแล้ว!” จางเซวียนยืดหลังบิดขี้เกียจขณะเดินกลับเข้าสู่โดมใบไม้ผลิอบอุ่น
“เอ่อ…” เป่ยหยวนถึงกับเงียบกริบ
ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 3 ชิ้นถือเป็นของแลกเปลี่ยนราคาสูง แต่ก็เทียบอะไรกันไม่ได้เลยกับโอกาสที่จะได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อและได้ยึดครองมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขง
“ขอเวลาผมสักครู่ ผมจะกลับไปหารือกับคนอื่นๆก่อน”
เมื่อพูดจบประโยคนั้น เป่ยหยวนก็หันหลังกลับและมุ่งหน้าเข้าสู่โดมอีกหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างออกไป ซึ่งมีชื่อว่า ‘ร้อนเร่าดั่งไฟ’
ไม่ช้าเขาก็กลับมา “ผมตอบตกลงตามข้อเรียกร้องของคุณ”
เมื่อพูดจบ เป่ยหยวนก็สะบัดข้อมือ แล้วของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 3 ชิ้นก็ปรากฏตรงหน้า
เซียนดาบชิงก้าวออกมาแล้วปล่อยเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานให้ลอยอยู่กลางอากาศเพื่อเป็นการแสดงความชัดเจน
“เริ่มเลยเถอะ! ผมไม่เชื่อหรอกว่าชายหนุ่มอายุเพียง 20 ปีอย่างคุณจะเทียบชั้นกับผมได้” เป่ยหยวนเยาะ
เมื่อทั้งคู่ยืนยันเดิมพันของตัวเองแล้ว เป่ยหยวนก็ไม่ยอมเสียเวลา เขาชักดาบออกมา พร้อมจะกระโจนเข้าสู่การดวล
“รอเดี๋ยว ก่อนจะเริ่ม ผมคิดว่าเราควรคุยกันเรื่องกฎกติกาให้ชัดเจนก่อน” จางเซวียนยกมือ
“กฎกติกา?”
“ถูกต้อง การต่อสู้ระหว่างเราเรียกว่าการดวลโดยชอบธรรม ใช่ไหม?”
“แน่นอน!” เป่ยหยวนพยักหน้ารับ
ในเมื่อเป็นการดวลอย่างชอบธรรม ผมก็สามารถใช้ทักษะของผมได้ทุกรูปแบบ ถูกต้องไหม? พูดให้ชัดเจนขึ้นก็คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลสามารถใช้ค่ายกลของตัวเอง และนักฝึกอสูรก็สามารถนำอสูรของเขาเข้าสู่การดวลได้ ฟังดูยุติธรรมสำหรับคุณหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม
“แน่นอน! ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร ใช้เทคนิคเหล่านั้นในการดวลได้เลย!” เป่ยหยวนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
ความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลนั้นย่อมผูกติดอยู่กับค่ายกล และความแข็งแกร่งของนักฝึกอสูรก็หมายรวมถึงอสูรของพวกเขาด้วย พวกเขาได้อุทิศเวลาฝึกฝนศิลปะเหล่านี้เพื่อนำมาใช้ในการต่อสู้ จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถของนักรบเช่นกัน
“ผมเข้าใจแล้ว…นั่นทำให้อะไรๆง่ายขึ้นมาก” ได้ยินเป่ยหยวนตอบรับ จางเซวียนสะบัดข้อมือและสั่งการ “เหล่าอสูร เล่นงานหมอนั่นให้ถึงแก่ชีวิต!”
ฟึ่บ!
ทันทีที่พูดจบ อสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ก็ปรากฏตัวตรงหน้าจางเซวียนและเข้าตีวงล้อมเป่ยหยวนไว้ รังสีเข้มข้นของพวกมันผสานเข้าด้วยกันจนมีพละกำลังที่แข็งแกร่งพอจะฉีกกระชากมิติให้เป็นชิ้นๆได้
“พวกนี้คืออสูรของคุณหรือ?” เป่ยหยวนซวนเซด้วยความตกใจเมื่อเห็นอสูรทั้ง 5
ในเวลาเดียวกัน เซียนดาบชิงเหมิงกับปรมาจารย์อีกมากมายในโดมใบไม้ผลิอบอุ่นก็ตาโตจนแทบปะทุออกจากเบ้า ทุกคนพูดไม่ออกกับสิ่งที่เห็น
พวกมันเป็นอสูรขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกถึง 5 ตัว…
นี่คือ ‘ความโชคดีเล็กน้อย’ ที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ใช่ไหม?
ถ้าสิ่งนี้เรียกว่าเป็นความโชคดีเล็กน้อย จะมีอะไรในโลกนี้อีกที่เรียกว่าความโชคดีใหญ่หลวง?
“ถูกต้อง” จางเซวียนพูด “ผมเป็นนักฝึกอสูร และผมก็เห็นว่ามันยุติธรรมดีที่ผมจะใช้อสูรของตัวเองในการต่อสู้ ถูกไหม? รีบสำแดงกระบวนท่าของคุณเถอะ!”
“….” เป่ยหยวนกระอักเลือดออกมา
ยุติธรรมบ้านคุณน่ะสิ!
ผมจะสู้กับอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกถึง 5 ตัวพร้อมกันได้อย่างไร?
“ถ้าคุณไม่เริ่มสำแดงกระบวนท่า ผมจะเริ่มก่อนละนะ!” จางเซวียนพูดอย่างหมดความอดทน เขายกมือขึ้น จากนั้นก็โบกมือเพื่อสั่งการ “ปล่อยการโจมตี เล่นงานเขาเลย!”
ฮื่ออออ! ฮื่ออออ! ฮื่ออออ!
อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกทั้ง 5 พุ่งเข้าใส่เป่ยหยวนทันที
นอกจากระดับวรยุทธของพวกมัน แต่ละตัวยังมีสายเลือดของอสูรสวรรค์โบราณด้วย และในฐานะที่เป็นห้าผู้ยิ่งใหญ่ของมิติผืนป่า พวกมันคว่ำหวอดและผ่านการสู้รบมามาก แม้เป่ยหยวนจะไม่อ่อนด้อย แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมกับพวกมันได้แม้แต่ตัวเดียว นับประสาอะไรกับ 5 ตัวผนึกกำลังกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผ่านไปเพียง 2-3 อึดใจ ร่างของเป่ยหยวนก็ฟกช้ำ บาดเจ็บ เลือดไหลเกรอะกรัง
รู้ดีว่าต้องตายแน่หากยังดื้อดึงต่อไป เป่ยหยวนร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง “ผมยอมแพ้…”
“ฮ่า ต้องอย่างนั้นสิ…” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจขณะเก็บของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 ชิ้นเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ
เขาชำเลืองมองโดมร้อนเร่าดั่งไฟและพูดว่า “มีใครอยากท้าทายผมอีกไหม ผม, จางเซวียน ยิ่งกว่าเต็มใจที่จะรับคำท้า อีกอย่าง ผมจะเข้าท้าดวลเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัวที่อยู่ในโดมเร่าร้อนดั่งไฟด้วย มีใครกล้ารับคำท้าของผมหรือเปล่า?”