อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1730 สิบอึดใจเท่านั้น
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1730 สิบอึดใจเท่านั้น
อีกฝ่ายไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์แม้แต่น้อย ทั้งยังรู้วีรกรรมในอาณาจักรใต้ดินของเขาและกล่าวถึงการกระทำของเขาว่าเป็น‘คุณงามความดีต่อมวลมนุษย์’ ด้วย มีแต่ปรมาจารย์เท่านั้นที่ใช้ถ้อยคำเหล่านี้!
หรือว่าอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในนักปราชญ์โบราณของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่?
แต่ถ้านักรบผู้นี้เป็นปรมาจารย์ แล้วทำไมถึงยับยั้งเขาไม่ให้เข้าสู่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือก?
“ผมไม่ได้มาจากสภาปรมาจารย์ แต่…”
นักปราชญ์โบราณผู้นั้นตั้งต้นอธิบาย แต่ยังพูดไม่ทันจบ ก็เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องมาจากโดมหนาวเหน็บเย็นเยือก ราวกับฉนวนบางชนิดถูกทำลาย พลังงานเย็นเยือกอันเข้มข้นระเบิดออกจากฉนวน และแผ่ออกไปโดยรอบ ครอบคลุมโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกไว้ด้วยชั้นน้ำแข็งภายในชั่วพริบตา
“จ้าวหย่าอยู่ที่นั่นจริงๆ!” จางเซวียนหน้าดำคร่ำเครียด
มันคือพลังงานเย็นแบบเดียวกับที่จ้าวหย่าได้แผ่ออกมาหลังจากที่เขาทำการปรับเปลี่ยนทางเดินพลังปราณให้เธอจนสำเร็จ ไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน
ฟึ่บ!
จางเซวียนไม่สนใจนักปราชญ์โบราณ เขาพุ่งเข้าสู่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือกทันที
ชัดเจนว่าอีกฝ่ายจงใจยื้อเขาไว้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายบางอย่าง
ต่อให้ศัตรูที่เขาต้องเผชิญหน้าเป็นถึงนักปราชญ์โบราณ ก็แล้วอย่างไรล่ะ?
ถ้าทุกอย่างเลวร้ายถึงขีดสุด เขาก็แค่ต้องใช้หน้าหนังสือสีทองและขว้างมันเข้าใส่อีกฝ่าย
เพื่อความปลอดภัยของลูกศิษย์ นี่คือราคาที่เขาเต็มใจจ่าย
น้ำเอ่อท่วมโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกและสร้างปราการไว้รอบโดมจางเซวียนพุ่งเข้าใส่ปราการนั้น แต่พบว่าไม่อาจใช้พละกำลังที่มีอยู่ทำลายมันได้
“คุณจะเข้าไปตอนนี้ไม่ได้นะ!” นักปราชญ์โบราณอุทาน
“ไปให้พ้น!” จางเซวียนคำรามขณะชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและพุ่งเข้าใส่ปราการแสง
การโจมตีของหอกสวรรค์กระดูกมังกรทำให้ปราการแสงสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่มันก็ยังตั้งมั่นอยู่ได้โดยไร้รอยขีดข่วน
“ทำลายมัน!”
จางเซวียนไม่ยอมแพ้ เขาถ่ายทอดพลังปราณทั้งหมดเข้าสู่หอกสวรรค์กระดูกมังกรและจ้วงแทงเข้าใส่อีกครั้ง คราวนี้ เปลวเพลิงสีดำพุ่งออกมาจากปลายหอก
หลังจากที่ผ่านการทดสอบของเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดมาถึง 3 ครั้ง ร่างกายของจางเซวียนก็สามารถควบคุมพละกำลังของธรรมชาติได้ เขาเพ่งสมาธิเข้าใส่เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุดที่ได้ซึมซับไว้เข้าสู่ปลายหอกสวรรค์กระดูกมังกร ไม่ช้า ปราการแสงก็ถูกทำลาย
“เปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด?”
นักปราชญ์โบราณที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆถึงกับประหลาดใจ เขากำลังจะยกมือขึ้นเพื่อดับไฟ ก็พอดีกับที่เกิดเสียงร้าวของก้อนหินดังกึกก้องไปทั่ว จากนั้นโดมทั้งสี่ก็สั่นสะท้านไม่หยุด
“มันเกิดอะไรขึ้น?” รู้ดีว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ จางเซวียนจึงละความพยายามในการทำลายปราการแสงเพื่อมาสำรวจพื้นที่โดยรอบ
เสียงระเบิดดังสนั่นดังมาจากหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ซึ่งตั้งสูงตระหง่าน เกิดรอยร้าวขึ้นระหว่างบานประตูที่ปิดสนิทนั้น
รังสีโบร่ำโบราณพวยพุ่งออกจากส่วนลึกของหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เข้าโอบล้อมฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น โดมเร่าร้อนดั่งไฟ โดมใบไม้ร่วงชื่นใจ และโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกเอาไว้ ในชั่วพริบตาฝูงชนก็รู้สึกได้อย่างเลือนรางว่าทั้ง 4 ฤดูเปิดเผยตัวตนอย่างรวดเร็วต่อหน้าพวกเขา
เมื่อเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่อยู่ในมือของเซียนดาบชิงสัมผัสกับรังสีโบร่ำโบราณ ประกายแสงอบอุ่นก็ระเบิดออกมา เกิดเป็นรูปทรงกลมสว่างเรืองที่ครอบคลุมรัศมีกว่า 10 เมตร
ด้วยพละกำลังหนักหน่วงนั้น เซียนดาบชิงเหมิงกับคนอื่นๆรู้สึกว่าร่างของพวกเขาถูกฉุดอย่างแรงเข้าสู่ส่วนลึกของหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
“หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เปิดแล้ว! เซวียนเอ๋อ ไปกันเถอะ!”เซียนดาบชิงตะโกนด้วยความร้อนใจ
“ผมต้องช่วยจ้าวหย่าก่อน” จางเซวียนอุทานก่อนจะหันกลับไปที่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือกอีกครั้ง
ในเมื่อสุดท้ายเขาก็ได้พบจ้าวหย่า ในฐานะอาจารย์ของเธอ เขาก็มีหน้าที่ต้องนำตัวเธอกลับมาให้ได้โดยปราศจากอันตราย
ฉึกกกก!
จางเซวียนใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกรจ้วงแทงปราการที่มองไม่เห็นอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ช้ามันก็ไม่อาจต้านทานได้และแหลกสลายไปภายใต้แรงกดดันนั้น จางเซวียนใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าสู่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือกทันที
แต่ขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าไป ลูกทรงกลมสว่างเรืองที่แผ่พลังงานเย็นจากโดมหนาวเหน็บเย็นเยือกออกมาก็ติดตามเซียนดาบชิงเหมิงกับคนอื่นไปติดๆ มุ่งหน้าเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เช่นกัน
ภายใต้ปราการแสงนั้น จางเซวียนเห็นร่างอ้อนแอ้นร่างหนึ่งถูกโอบล้อมด้วยรังสีเย็นเยือก เป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากจ้าวหย่า!
ลูกทรงกลมสว่างเรืองนั้นดูจะคงรูปอยู่ได้ด้วยการใช้พละกำลังของเธอ
เซียนดาบชิงเหมิงกับคนอื่นๆเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้เพราะเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่พวกเขาครอบครอง แต่กลุ่มนักรบที่อยู่ในรูปทรงกลมที่ปล่อยแสงออกมาซึ่งถูกควบคุมโดยจ้าวหย่าก็ผ่านรอยแยกของประตูเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน
“จ้าวหย่า…” เมื่อเห็นจ้าวหย่าเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้วจางเซวียนนัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก
ฟึ่บ!
จากนั้น อสูร 20 ตัวก็พุ่งออกมาจากโดมใบไม้ร่วงชื่นใจ แล้วเดินหน้าเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ดูเหมือนพวกมันจงใจจะเข้าสู่หอบริวารโดยฉวยโอกาสขณะที่ทุกอย่างกำลังอลหม่าน แต่เมื่ออยู่ห่างจากหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เพียงไม่กี่นิ้ว เหล่าอสูรก็พบว่าตัวเองถูกปราการที่มองไม่เห็นฉุดรั้งไว้ ไม่ว่าจะพยายามรุดหน้าไปสักเท่าไหร่ ก็เข้าใกล้ไม่ได้กว่าเดิมอีกแม้แต่ก้าวเดียว
อสูรเหล่านี้ส่วนใหญ่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3 และขั้น 4 แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของมันเทียบชั้นกับปราการแสงไม่ได้ พวกมันไม่ต่างอะไรกับปลวกที่พยายามจะทำลายต้นไม้สูงตระหง่าน ต่อให้ใช้พละกำลังเต็มพิกัด ปราการแสงก็ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย
“ไอ้สารเลวพวกนั้นเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่โดยใช้สภาวะพิเศษของจ้าวหย่า” จางเซวียนโมโหจนแทบระเบิดเมื่อนึกได้
ทำไมคราวนี้เขาถึงเลินเล่อนัก? เขาควรจะรู้ว่าอีกฝ่ายใช้ประโยชน์จากจ้าวหย่าเพื่อการเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่เพราะความที่คิดแต่จะช่วยชีวิตจ้าวหย่า เขาจึงพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่พร้อมกับท่านพ่อท่านแม่ ในเมื่อตอนนี้ทุกคนเข้าสู่หอบริวารแล้ว เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ด้านนอกแล้วจะทำอย่างไรต่อไป?
“แบบนี้ไม่ได้การ เราจะต้องเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้ได้เหมือนกัน” จางเซวียนพึมพำอย่างร้อนใจขณะพุ่งตรงไปยังทางเข้าหอบริวาร
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าเขาจะได้พบลูกศิษย์ เขาจะไม่ยอมให้อภัยตัวเองอีกแล้วหากต้องพลาดโอกาสที่จะช่วยชีวิตเธอเพียงเพราะตัวเองเลินเล่อ
ในกรณีเลวร้ายที่สุด เขาก็แค่ใช้หอสมุดเทียบฟ้าเพื่อหาข้อบกพร่องของปราการแสง ต่อให้ต้องทำลายสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ทั้งหมด เขาก็จะต้องเข้าไปข้างในให้ได้!
ในชั่วพริบตา จางเซวียนก็มาถึงปราการที่มองไม่เห็น เขาคิดว่าตัวเองคงจะถูกยับยั้งไว้เหมือนกับอสูรตัวอื่นๆที่กำลังตะกุยตะกายอย่างสิ้นหวัง แต่กลับตรงกันข้าม เกิดแสงเรืองอ่อนๆโอบล้อมร่างกายของเขาไว้ ยังไม่ทันจะรู้ตัว จางเซวียนก็มาอยู่อีกฟากหนึ่งของปราการแล้ว
จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้ เราลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร? เรามีเครื่องรางลำดับแรกอยู่นี่นา
ก่อนหน้านี้ หลัวลั่วชิงบอกเขาว่าเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานจะใช้การได้เฉพาะกับหอบริวารที่เชื่อมโยงกับมัน ขณะที่เครื่องรางลำดับแรกจะทำให้เขาสามารถเข้าสู่หอบริวารทั้งหมดและหอลำดับแรกได้ด้วย
เป็นเพราะความไม่เอาไหนของเครื่องรางน้อยระหว่างที่เขาอยู่ในมิติรอบนอก จางเซวียนจึงหลงลืมไปว่ามีมันอยู่ หลังจากที่นำความผิดหวังมากมายมาให้ แต่สุดท้ายมันก็ได้พิสูจน์คุณค่าของตัวเองในช่วงเวลาคับขันแบบนี้!
“ผู้อาวุโส ได้โปรดพาพวกเราไปกับคุณด้วย…”
ก่อนที่จางเซวียนจะพุ่งเข้าสู่เส้นทางที่นำไปสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างสิ้นหวังดังอยู่ข้างหลัง จึงหันขวับไปมอง
พวกมันคืออสูรที่กำลังจะตะกุยตะกายปราการที่มองไม่เห็น แต่ก็ไม่เป็นผล
จางเซวียนจ้องหน้าพวกมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ยอมเป็นอสูรของฉันสิ แล้วฉันจะพาพวกแกเข้าไป!”
“เอ่อ…”
ได้ยินคำนั้น เหล่าอสูรพากันชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงเซ็งแซ่
“คุณอยากให้พวกเราเป็นอสูรของคุณหรือ? ฝันไปแล้วล่ะ!”
“เหตุผลที่พวกเราเผ่าพันธุ์อสูรตั้งใจฝึกฝนวรยุทธก็เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยไม่ต้องยำเกรงใคร คุณอาจทรงพลังก็จริง แต่ไม่มีทางที่คุณจะทำให้พวกเรายอมจำนนต่อคุณได้หรอก!”
“อย่างมากที่สุด พวกเราก็แค่พลาดโอกาสที่จะเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เรายังสามารถพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วได้ด้วยการฝึกฝนวรยุทธในอาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อ…”
“ต่อให้ต้องตายที่นี่ ผม, อสูรเมฆเขียวอ่อน, จะไม่มีวันยอมจำนนให้ใครทั้งนั้น!”
เหตุผลหลักที่พวกมันต้องการเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อก็เพื่อเสาะแสวงหาความโชคดีและยกระดับวรยุทธ แต่หากพวกมันต้องยอมจำนนให้มนุษย์คนหนึ่งและสูญเสียอิสรภาพตลอดไป ก็ยอมละทิ้งโอกาสนี้เสียดีกว่า
“ฮ่า!” ได้ยินคำตอบจากเหล่าอสูร จางเซวียนหัวเราะหึๆ
เขาสะบัดหอก จากนั้นก็ข้ามปราการที่มองไม่เห็นออกมาอีกครั้งแล้วพุ่งเข้าใส่อสูรฝูงนั้น
ตุ้บ! พลั่ก!
สิบอึดใจต่อมา จางเซวียนก็เหน็บหอกไว้ที่หลังขณะจ้องมองเหล่าอสูรที่ยอมจำนนอยู่ตรงหน้า “พวกแกยอมจำนนแล้วใช่ไหม?”
“…คารวะนายท่าน!”
อสูรกลุ่มนั้นรีบทรุดตัวลงคุกเข่าและโค้งคำนับให้จางเซวียน อสูรเมฆเขียวอ่อนผู้หยิ่งผยองถึงกับมอบหยดเลือดให้จางเซวียนเพื่อทำสัญญาจิตวิญญาณ
อสูรที่เหลือรีบทำตาม ราวกับเกรงว่าเจ้านายคนใหม่จะไม่ยอมรับหากพวกมันยอมจำนนช้าเกินไป
“….” บรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูลจาง
“….” นักปราชญ์โบราณนิรนาม
เผ่าพันธุ์อสูรว่านอนสอนง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ขนาดพวกเขาซึ่งเป็นถึงนักปราชญ์โบราณก็ยังไม่อาจบังคับให้เผ่าพันธุ์อสูรยอมทำอะไรตามใจได้ เพราะไม่อย่างนั้น นักปราชญ์โบราณคนไหนก็คงสร้างกองทัพอสูรที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้แล้ว
แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับทำได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
ในตอนนั้น เหล่านักรบที่ไม่สามารถเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ต่างพากันจังงังไป