อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1732 โอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1732 โอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ
“มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง?” จางเซวียนเลิกคิ้ว
“ว่ากันว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเป็นของล้ำค่าที่ทรงพลังที่สุดที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ บางคนกล่าวว่ามันคือหนังสืออีกกลุ่มหนึ่งกล่าวว่ามันคืออาวุธ และบางคนก็คิดว่ามันเป็นของล้ำค่าแห่งมิติ แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมาก่อน ดังนั้นมันจึงอาจจะเป็นภาพวาดก็ได้” เซียนดาบชิงวิเคราะห์
“ไม่อย่างนั้น ทำไมกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จึงตรงเข้ามาพยายามถอดรหัสฉนวนที่นี่ทันทีที่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เปิด เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าพละกำลังของจ้าวหย่ามีความจำเป็นสำหรับการถอดรหัสฉนวน และนั่นอธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาจึงลักพาตัวเธอมา”
ได้ยินคำนั้น จางเซวียนครุ่นคิดหนัก
คำพูดของเซียนดาบชิงก็มีเหตุผล
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่มีอยู่เกี่ยวกับวิหารแห่งขงจื๊อมาจากเรื่องราวที่เล่าขานกันมา จึงอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป และแม้ชื่อมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจะชวนให้คิดว่าของล้ำค่าชิ้นนี้น่าจะเป็นหนังสือ แต่มันก็อาจเป็นสิ่งอื่นก็ได้
เหมือนกับการที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างให้กลายเป็นทั้งหอกและโครงกระดูกมังกร
จางเซวียนหันกลับไปมองภาพวาดยิ่งใหญ่ที่อยู่บนผนังและใช้ดวงตาหยั่งรู้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน แม้รายละเอียดจะพร่าเลือนไปบ้างเพราะมีฉนวนกั้นอยู่ แต่เขาก็พอจะเห็นภาพของทุ่งหิมะกว้างใหญ่ ดูเหมือนอีกฟากหนึ่งของภาพวาดจะเป็นโลกน้ำแข็งอันเย็นเยือกชั่วนิรันดร์กาล
“มีกฎเกณฑ์ของเวลาหลอมรวมอยู่ในภาพวาดด้วย…”
จากการตรวจสอบภาพวาดอย่างถี่ถ้วน จางเซวียนรู้สึกได้ถึงอำนาจของมิติและเวลาที่หลอมรวมอยู่ภายในภาพวาด ดูเหมือนกระแสกาลเวลาภายในภาพวาดจะแตกต่างจากโลกแห่งความเป็นจริง
ถ้าในภาพวาดนี้มีแนวคิดของกาลเวลาที่ถูกแยกออกจากโลกปัจจุบัน…จะเป็นไปได้ไหมว่ามันคือมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงจริงๆ?
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็จะต้องนำภาพวาดนี้มาให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม ต่อให้อีกฝ่ายมาจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ เขาก็จะไม่ยั้งมือ!
จางเซวียนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เราอาจไม่รู้จักมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง แต่เครื่องรางน้อยต้องรู้จักแน่!
ความรู้เกี่ยวกับยุคสมัยโบราณของเขายังอ่อนด้อย แต่กับเรื่องรางน้อยนั้นไม่เหมือนกัน มันถูกหล่อหลอมด้วยน้ำมือของปรมาจารย์ขงเพื่อใช้เป็นกุญแจเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ดังนั้นจึงน่าจะรู้จักมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอย่างแน่นอน
จางเซวียนส่งโทรจิตถามเครื่องรางน้อย
“มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง? ฮ่าฮ่าฮ่า! นั่นเป็นเรื่องเหลวไหลที่สุดที่ผมเคยได้ยินมา สิ่งนี้น่ะคือผืนผ้าใบสี่ฤดูที่ปรมาจารย์ขงเป็นผู้วาดขึ้นเอง!” เครื่องรางน้อยตอบขณะหัวเราะคิกคักอยู่ในรังนางพญามด
“ผืนผ้าใบสี่ฤดู?”
“คุณไม่เห็นโดมทั้งสี่ก่อนที่จะเข้าสู่หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หรือ? ฤดูใบไม้ผลิ, ฤดูร้อน, ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว นั่นคือสี่ฤดูกาลของโลก” เครื่องรางน้อยอธิบาย
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ
เมื่อลองนึกดู กรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธขั้นสูงไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของปรมาจารย์ขงนั้นก็เกี่ยวข้องกับแนวคิดของการปรับเปลี่ยนร่างกายให้กลมกลืนกับ 4 ฤดูกาลของธรรมชาติ เขาเคยคิดว่าโดมทั้งสี่ได้รับการตั้งชื่อตามฤดูกาลโดยไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ดูเหมือนจะมีความซับซ้อนมากกว่านั้น
“แล้วผืนผ้าใบสี่ฤดูน่ะทำอะไรได้ พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ถึงได้พยายามขนาดนี้?”
ขณะที่จางเซวียนออกจะผิดหวังเล็กน้อยที่รู้ว่าภาพวาดที่เห็นไม่ใช่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเกิดความกังขาในภาพวาดนั้น
ต่อให้มันไม่ใช่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง แต่ก็คงจะเป็นของล้ำค่าบางอย่างที่มีอานุภาพไร้เทียมทาน ไม่อย่างนั้นคงไม่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์
“ผืนผ้าใบสี่ฤดูมีแนวคิดของ 4 ฤดูกาล ฤดูใบไม้ผลิ, ฤดูร้อน, ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว ทำให้ผู้พบเห็นสามารถใช้พละกำลังของธรรมชาติเพื่อบ่มเพาะตนเองได้” เครื่องรางน้อยตอบ “ยิ่งไปกว่านั้น กาลเวลาในภาพวาดยังเร็วกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโลกภายนอก หากประมาณคร่าวๆ ก็เร็วกว่าราว 2 เท่า นักรบที่ฝึกฝนวรยุทธอยู่ภายในภาพวาดเป็นเวลา 2 ปีจะพบว่าเวลาของโลกภายนอกผ่านไปเพียง 1 ปีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นของล้ำค่าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบ่มเพาะอัจฉริยะผู้ได้รับแรงบันดาลใจ!”
จางเซวียนพยักหน้ารับ
เหตุผลที่ตระกูลจางยังคงเป็นตระกูลนักปราชญ์หมายเลข 1 อยู่ได้แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ก็ต้องยกความดีความชอบส่วนใหญ่ให้กับคลังตรวจสอบเลือด ด้วยกระแสของกาลเวลาที่ต่างกัน เหล่าทายาทตระกูลจางจึงสามารถทำความเข้าใจศาสตร์ลับและสร้างความเชี่ยวชาญในอาชีพต่างๆได้เร็วกว่านักรบรุ่นเดียวกัน
เรื่องนี้เป็นไปในทำนองเดียวกันกับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่แน่นอนว่าคำชี้แนะของเหล่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวมีส่วนลดความผิดพลาดในการฝึกฝนวรยุทธของผู้ได้รับคำชี้แนะ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ความแตกต่างของกระแสกาลเวลาในหอฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงได้ช่วยให้ สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ผลิตผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังออกมาได้รุ่นสู่รุ่น
อันที่จริง ก็เป็นเพราะการฝึกฝนวรยุทธในหอฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่ทำให้เจิ้งหยางยกระดับวรยุทธได้รวดเร็วกว่าลูกศิษย์คนอื่นๆของจางเซวียน
การที่พื้นผ้าใบสี่ฤดูทำให้นักรบคนหนึ่งสามารถฝึกฝนวรยุทธอยู่ภายในนั้นได้ 2 ปีโดยที่เวลาของโลกภายนอกผ่านไปเพียงปีเดียวก็ถือว่าเป็นของล้ำค่าที่ทรงพลังมาก
“แต่เท่าที่ผมรู้ สิ่งที่มีค่าจริงๆในผืนผ้าใบสี่ฤดูนั้นไม่ใช่ความแตกต่างของกระแสกาลเวลา แต่เป็นเพราะปรมาจารย์ขงได้เก็บรักษาเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกไว้ในนั้น” เครื่องรางน้อยเสริมด้วยความตื่นเต้น
“เก็บรักษาเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกไว้ในนั้น?” จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว ในเมื่อวัฏจักรของฤดูกาลที่อยู่ในภาพวาดยังคงหมุนเวียนอยู่จนถึงทุกวันนี้ ผมก็พอคาดเดาได้ว่ามันน่าจะบรรจุเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกเอาไว้”
มิติลี้ลับนั้นมีหลายระดับขั้น โดยมิติลี้ลับในระดับธรรมดาสามัญที่สุดจะสามารถสร้างมิติที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาวัตถุสิ่งของแต่ไม่ดีพอที่จะรักษาสิ่งมีชีวิตเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นแหวนเก็บสมบัติ
ส่วนมิติลี้ลับในระดับขั้นที่สูงขึ้น อาจเรียกได้ว่าเป็นเสมือนเรือนกระจก มันสามารถสร้างสภาวะที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกว่าจะคงสภาวะนั้นไว้ได้หรือไม่ คือหากเจ้าของมิติละเลยที่จะเสริมพลังจิตวิญญาณเข้าสู่มิติลี้ลับ สภาวะภายในนั้นก็จะค่อยๆเสื่อมถอยลงจนถึงจุดที่สิ่งมีชีวิตไม่อาจอาศัยอยู่ได้
รังนางพญามดของจางเซวียนคือมิติลี้ลับในระดับขั้นนี้ เขาต้องคอยเสริมพลังจิตวิญญาณเข้าไปในรังนางพญามดอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะใช้การได้ดีตลอด ซึ่งแตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์ที่สามารถผลิตพลังจิตวิญญาณของตัวเองและสร้างชีวิตใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
ข้อเท็จจริงที่ว่าภาพวาดสามารถบรรจุเอาวัฏจักรของทั้ง 4 ฤดูเอาไว้ได้ ก็หมายความว่ามันน่าจะเป็นมิติในระดับเดียวกันกับมิติผืนป่า คือสามารถผลิตพลังจิตวิญญาณด้วยตัวเองเพื่อรักษาสภาพของสิ่งมีชีวิตเอาไว้ได้ ทำให้มันมีระดับขั้นที่สูงกว่ารังนางพญามด
ด้วยความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ขง การที่เขาจะเก็บรักษาเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกใบนี้เอาไว้ในภาพวาดก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจนัก
“พอคาดเดาได้? ดูเหมือนคุณจะประเมินความสำคัญของมันต่ำไปเสียแล้วล่ะ เศษเสี้ยวของโลกที่ถูกหลอมรวมเข้ากับภาพวาดนั้นไม่ใช่โลกใบเดียวกับที่คุณกำลังเห็นอยู่นะ” เครื่องรางน้อยอธิบาย“มันคือเศษเสี้ยวของโลกดึกดำบรรพ์!”
“เศษเสี้ยวของโลกดึกดำบรรพ์? แล้วมันต่างกันอย่างไรล่ะ? อย่างมากที่สุดก็น่าจะเป็นแค่ระดับความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณไม่ใช่หรือ?” จางเซวียนยังคงไม่ใส่ใจนัก
ดูเหมือนระดับความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณในยุคดึกดำบรรพ์จะสูงกว่าปัจจุบันนี้มาก โดยพิจารณาจากการที่มันสามารถรองรับการปรากฏตัวของทั้งปรมาจารย์ขง, 72 นักปราชญ์ และผู้เชี่ยวชาญผู้ทรงพลังอีกมากมาย แต่ก็แล้วอย่างไรล่ะ? ต่อให้ปรมาจารย์ขงเก็บรักษาเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกดึกดำบรรพ์ไว้ในมิติลี้ลับ มันก็เป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ไม่น่าเทียบอะไรได้กับดินแดนอันกว้างใหญ่ของทวีปแห่งปรมาจารย์ในปัจจุบัน
แต่ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะพูดจบ เขาก็หรี่ตาเมื่อเกิดความคิดบางอย่างขึ้น “ไม่ใช่แล้ว นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด คุณบอกว่าเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกที่ถูกเก็บรักษาไว้ในภาพวาดนั้นมาจากยุคสมัยเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ย้อนกลับไปถึงยุคที่เหล่านักรบยังสามารถพัฒนาตัวเองสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครสักคนได้ฝึกฝนวรยุทธภายในผืนผ้าใบสี่ฤดู ก็หมายความว่าผู้นั้นมีโอกาสที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ ใช่ไหม?”
ปรมาจารย์หยางกับเซียนดาบชิงได้ให้ข้อมูลหลายอย่างกับเขาในเรื่องของนักปราชญ์โบราณ ซึ่งเมื่อราวหมื่นปีก่อน ‘สิ่งนี้’ ดูเหมือนจะหายสาบสูญไปจากโลก เมื่อไม่มีนักปราชญ์โบราณ นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกจำนวนมากก็พบว่าตัวเองไม่อาจก้าวข้ามปราการขั้นสุดท้ายไปได้
ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้ที่ทำให้เหล่านักปราชญ์โบราณที่เป็นมนุษย์พร้อมเข้าสู่การจำศีลเพื่อยืดอายุขัยของตัวเองให้ยืนยาวออกไปมากที่สุด เพื่อปกป้องมนุษย์จากเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ในเมื่อนักปราชญ์โบราณหายสาบสูญไปกว่าหมื่นปีแล้ว หากเศษเสี้ยวของโลกดึกดำบรรพ์ที่ปรมาจารย์ขงเก็บรักษาไว้ในผืนผ้าใบสี่ฤดูมาจากยุคสมัยของเขาจริงๆ ก็หมายความว่ามันอาจส่งผลให้คนคนหนึ่งฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ?
“ก็ใช่น่ะสิ! ไม่อย่างนั้น คุณคิดว่าพวกเขาจะลงทุนลงแรงเพื่อภาพวาดนี้ทำไม?” เครื่องรางน้อยพยักหน้ารับ
“ผมเข้าใจแล้ว…ภาพวาดนี้คือโอกาสของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ…ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ผมจะต้องทำเต็มที่เพื่อให้ได้มันมา!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
ด้วยระดับวรยุทธของจางเซวียนในตอนนี้ ถึงเขาจะเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึก แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาน่าจะฝ่าด่านคอขวดไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ในไม่ช้า หากเขาไม่อาจยกระดับวรยุทธไปได้สูงกว่านั้นล่ะก็ คงจะเป็นเรื่องเลวร้ายมากทีเดียว!
ซึ่งในเมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว จางเซวียนก็จะต้องคว้าไว้ให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม
“ขอบใจที่ช่วยเตือน เครื่องรางน้อย…แกไม่ได้ไม่เอาไหนอย่างที่ผ่านมา!” จางเซวียนหัวเราะลั่น
ถ้าไม่ใช่เพราะเครื่องรางน้อยอธิบายให้เขาเห็นความสำคัญของผืนผ้าใบสี่ฤดู มันอาจหลุดลอยไปจากมือของเขาก็ได้!
“….” เครื่องรางน้อย
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เซียนดาบชิงก็จ้องหน้าลูกชายพร้อมกับพูดไม่ออก เพราะอยู่ดีๆอีกฝ่ายก็หัวเราะลั่น ทำลายความเงียบงันที่อยู่บริเวณนั้น
ลูกชายของเขาเสียสติไปแล้วหรือเปล่า?