อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1735 เงื่อนไขการฝ่าด่านวรยุทธสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1735 เงื่อนไขการฝ่าด่านวรยุทธสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ
ผู้ที่เข้าถึงศิลปะการวาดภาพขั้นสูงสุดจะสามารถสร้างโลกที่คนทั่วไปเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ได้ และที่น่าสะพรึงกว่านั้นก็คือ โลกที่พวกเขาสร้างขึ้นจะมีชีวิตชีวาและสมจริงจนผู้ที่เข้าไปแทบไม่รู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในภาพวาด
ว่ากันว่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน สมาคมจิตกรมีจิตรกรผู้หนึ่งซึ่งมีความปราดเปรื่องอย่างไม่มีใครเทียบ เขาได้สร้างผลงานชิ้นเอกชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีโลกอันกว้างใหญ่และสาวสวยผู้งดงามอย่างน่าทึ่ง เขาหมกมุ่นอยู่กับภาพวาดของเขาและใช้เวลากับผลงานชิ้นเอกและสาวสวยผู้งดงามน่าทึ่งคนนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ตกหลุมรักเธอ จนวันหนึ่ง เขาก็เข้าสู่ภาพวาดนั้นและไม่เคยกลับออกมาอีก
ภาพวาดนี้เป็นฝีมือปรมาจารย์ขง ผืนผ้าใบสี่ฤดูจึงเป็นผลงานที่เหนือชั้นกว่าระดับขั้นของจิตรกรระดับ 9 ดาว ไม่ว่าจะเป็นในด้านแนวคิดของชิ้นงานหรือความเข้าใจเรื่องมิติและเวลา ภาพวาดนี้แทบไม่ต่างอะไรกับมิติลี้ลับขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทาง
“มีพลังจิตวิญญาณอยู่ภายในภาพวาด…เข้มข้นมากด้วย!”
จางเซวียนยืนอยู่บนโขดหิน เขาสูดหายใจลึกและอดอัศจรรย์ใจกับความเก่งกาจของปรมาจารย์ขงไม่ได้ แน่นอนว่าภาพวาดนี้เหนือชั้นกว่าระดับของจิตรกรระดับ 9 ดาว
ทุกอย่างที่ดูในภาพวาดดูจะเป็นธรรมชาติไปหมดจนแยกไม่ออกว่าอะไรคือภาพวาดและอะไรคือโลกภายนอก จางเซวียนใช้หอกสวรรค์กระดูกมังกรเพื่อเปิดรอยแยกของมิติภายในภาพวาดและเดินทางทะลุมันไป ซึ่งก็น่าอัศจรรย์ใจอีกที่รอยแยกแห่งมิตินั้นสมานตัวเข้าหากันเองได้
ถ้าเขาไม่รู้มาก่อนว่านี่คือภาพวาด ก็จะไม่คิดเลยว่ามันคือโลกเสมือนจริง
จางเซวียนพบพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งก่อนจะร้องเรียกเซียนดาบชิงเหมิงที่ยังคงตกตะลึงให้เดินเข้ามา “ลองดูซิว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้หรือเปล่า”
ถึงจางเซวียนจะเป็นแค่นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึก แต่ก็สัมผัสได้ถึง ‘สิ่งนั้น’ ที่จำเป็นสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ ซึ่งท่านพ่อท่านแม่ของเขาเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน โลกจารึกแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับที่เรียกว่าเป็นตำนาน
“ได้”
รู้ดีว่าสิ่งที่ลูกชายพูดย่อมมีเหตุผล ทั้งคู่จึงรีบทรุดตัวลงนั่งและเริ่มฝึกฝนวรยุทธอย่างเงียบๆ
ฟิ้วววว!
ขณะที่พวกเขาฝึกฝนวรยุทธ พลังจิตวิญญาณในพื้นที่ก็เข้าโอบล้อมทั้งคู่และพุ่งเข้าสู่ร่างของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ไม่ช้า รังสีของเซียนดาบชิงเหมิงก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ครู่ต่อมา ทั้งคู่ก็หยุดการฝึกฝนวรยุทธและลุกขึ้นยืน
“พ่อกับแม่รู้สึกได้ถึงด่านคอขวดในวรยุทธ และดูเหมือนว่าเราน่าจะก้าวข้ามมันไปได้หากมีเวลามากพอ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเราจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จ” เซียนดาบเหมิงพูด
จางเซวียนตาโตเมื่อได้ฟัง
มันคือข้อสันนิษฐานจากตัวเขากับเครื่องรางน้อยที่คิดว่านักรบผู้หนึ่งน่าจะสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ภายในผืนผ้าใบสี่ฤดู แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คุณค่าของภาพวาดชิ้นนี้ก็ถือว่าเหนือกว่าจินตนาการ
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านพ่อกับท่านแม่ไม่พยายามฝ่าด่านวรยุทธเสียตอนนี้เลยล่ะ?” จางเซวียนเสนอแนะพร้อมกับยิ้มให้
ในเมื่อเขาขับไล่เหล่าทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ออกไปแล้ว ก็มีโอกาสที่นักปราชญ์โบราณที่ยับยั้งเขาไว้ไม่ให้เข้าสู่โดมหนาวเหน็บเย็นเยือกก่อนหน้านี้น่าจะโมโห
ถ้าท่านพ่อท่านแม่ของเขาสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้ในตอนนี้ อย่างน้อยที่สุด ก็จะไม่ได้รับอันตรายจากนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆ
“ตอนนี้เลยหรือ?” ได้ยินคำนั้น เซียนดาบชิงเหมิงมองหน้ากันก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ “ลูกประเมินนักปราชญ์โบราณต่ำไปเสียแล้วล่ะ”
“เป็นความจริงที่ว่าเศษเสี้ยวของโลกดึกดำบรรพ์ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ และ ‘คุณภาพ’ของบรรยากาศที่นี่ก็เอื้ออำนวยต่อการก้าวข้ามปราการด่านสุดท้ายเพื่อฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่…” เซียนดาบชิงพูดต่อ “มันก็ยังต้องใช้เวลาและความพยายามมากอยู่ดี ไม่ใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในช่วงเวลาอันสั้น!”
“แม้ในบรรดาศิษย์ 3000 คนของปรมาจารย์ขง ก็มีเพียง 72 นักปราชญ์เท่านั้นที่สำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ได้จะทำสำเร็จ จริงอยู่ว่ารังสีที่อบอวลอยู่ในภาพวาดนี้มีอานุภาพสำคัญต่อการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ…แต่หากซึมซับได้ไม่มากพอ ‘คุณภาพ’ ที่อยู่ในบรรยากาศก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
ท่านพ่อพูดถูก
ท่านพ่อท่านแม่ของเขาพูดถูกแล้ว
การสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณถือเป็นการฝ่าด่านวรยุทธครั้งยิ่งใหญ่ ต้องใช้ความเข้าใจอย่างล้ำลึกที่มีต่อโลก หากนักรบผู้นั้นไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธ ก็ไม่มีทางทำสำเร็จ ต่อให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแค่ไหนก็ตาม
แม้ในยุคดึกดำบรรพ์ ก็ไม่ใช่นักรบทุกคนที่จะได้เป็นนักปราชญ์โบราณ ผู้ที่สำเร็จวรยุทธขั้นนั้นล้วนแต่เป็นอัจฉริยะชั้นยอด
“สิ่งที่อบอวลอยู่ในบรรยากาศที่ทำให้นักรบฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้คืออะไร?” จางเซวียนตั้งคำถาม
“พ่อระบุไม่ได้แน่ชัด แต่รู้ว่าผู้คนเรียกขานมันว่า ‘นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ’ ขอแค่ใครสักคนซึมซับมันจนถึงระดับที่กำหนดไว้ ก็จะสามารถเข้าสู่นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเพื่อยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้นได้” เซียนดาบชิงอธิบาย
“นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนพยักหน้าขณะครุ่นคิด “สิ่งนี้มีอยู่ตามธรรมชาติในสภาพแวดล้อม หรือเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป?”
“ไม่มีการบันทึกไว้ว่านิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณมาจากไหนและทำไมถึงปรากฏขึ้นในโลกใบนี้ ดังนั้นพ่อจึงไม่อาจตอบคำถามได้” เซียนดาบชิงอธิบายช้าๆ “แต่จากข้อสันนิษฐานของพ่อ มันน่าจะเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปเหมือนกับสินแร่หายาก และเมื่อมันหมดไปจากโลกนี้แล้ว ก็ไม่มีทางนำมันกลับคืนมาได้อีก”
“เมื่อตอนที่เหล่านักรบรู้ว่าพวกเขาไม่มีโอกาสฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้อีกแล้ว ก็เกิดความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ขึ้นในหมู่ชนชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์ มีอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องมากมายที่ได้ซึมซับสภาวะนี้ไว้มากพอสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง พวกเขาก็ไม่อาจก้าวข้ามปราการด่านสุดท้าย ซึ่งในช่วงเวลานั้นเองที่พวกเขาพบว่ามีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ!”
ในฐานะอดีตหัวหน้าตระกูลจาง เซียนดาบชิงรู้เรื่องนี้จากบรรพบุรุษของเขา
การที่ได้รู้ว่าจะไม่มีใครฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้อีกแล้วทำให้เกิดความสิ้นหวังทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ มีนักรบมากมายที่ฝึกฝนวรยุทธมาทั้งชีวิตและสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกได้ด้วยความยากลำบาก แต่ก็พบว่าระดับวรยุทธของพวกเขาชะงักงัน ไม่ว่าจะพยายามผลักดันตัวเองสักแค่ไหนก็ก้าวหน้าไปไม่ได้ เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะเกิดความตื่นตระหนกและพรั่นพรึง
ยิ่งไปกว่านั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจยังใช้โอกาสนี้บุกเข้าโจมตีทวีปแห่งปรมาจารย์ด้วย ถือเป็นช่วงเวลาแห่งฝันร้ายอย่างแท้จริงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในครั้งนั้น มวลมนุษย์แทบจะยอมพ่ายแพ้เพราะความสิ้นหวัง
โชคดีที่เหล่านักปราชญ์โบราณในยุคนั้นตัดสินใจอุทิศชีวิตของพวกเขาให้กับการปกป้องมนุษย์ด้วยการเข้าจำศีล
เมื่อรู้แล้วว่าพวกเขายังคงปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์จากเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ ความตื่นตระหนกต่างๆก็ค่อยๆบรรเทาลง
ถ้าไม่ใช่เพราะการเสียสละของเหล่านักปราชญ์โบราณ เผ่าพันธุ์มนุษย์คงหายสาบสูญไปแล้ว!
“ผมเข้าใจว่านิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่ยังมีเงื่อนไขอื่นๆที่จำเป็นอีกหรือไม่?” จางเซวียนถาม
ท่านพ่อกับท่านแม่ของเขาบอกว่าทั้งคู่ไม่อาจฝ่าด่านวรยุทธได้ในตอนนี้เพราะยังสะสมสภาวะนั้นได้ไม่มากพอ แต่นั่นหมายความว่าอย่างไร? พวกเขาต้องสะสมอะไร? และอะไรที่เรียกว่ามีไม่มากพอ?
หรือพูดอีกอย่างก็คือ นักรบผู้หนึ่งจะต้องบรรลุเงื่อนไขอะไรบ้างเพื่อการก้าวไปสู่วรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ?
“ตั้งแต่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์ นักปราชญ์โบราณเป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดที่มีในโลก มีการค้นคว้ามากมายเกี่ยวกับเงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นสูงสุดนั้น ซึ่งอย่างแรกก็คือการปรากฏขึ้นของนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ อย่างที่ 2, ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของผู้นั้นจะต้องแตะ 30.0 และอย่างที่ 3 ผู้นั้นจะต้องขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณออกไปได้ 1 ล้านกิโลเมตร” เซียนดาบชิงอธิบาย
“ขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณออกไป 1 ล้านกิโลเมตร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
เขาพอเข้าใจเงื่อนไข 2 ข้อแรกที่เซียนดาบชิงพูดถึง แต่ข้อ 3 นั้นหมายความว่าอย่างไรกัน?
“ง่ายมาก เมื่อลูกปรับสภาพพลังจิตวิญญาณให้กลายเป็นเส้นด้ายบางๆและยืดมันออกไป ระยะทางยาวที่สุดที่เส้นด้ายจิตวิญญาณของลูกสามารถไปถึงก็คืออาณาเขตของจิตวิญญาณของลูก!”
จางเซวียนครุ่นคิดหนัก
จิตวิญญาณของเขาได้รับการบ่มเพาะจากสายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด ทำให้ทรงพลังเป็นพิเศษ และเขาก็เคยใช้พลังจิตวิญญาณสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบมาก่อน แต่ยังไม่เคยพยายามแปรสภาพพลังจิตวิญญาณให้กลายเป็นเส้นด้ายและยืดมันออกไปเพื่อดูว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน
เห็นสีหน้าของจางเซวียน เซียนดาบชิงรู้ทันทีว่าลูกชายของเขาไม่เคยพยายามทดสอบอาณาเขตของจิตวิญญาณมาก่อน จึงตั้งคำถามพร้อมกับหัวเราะหึๆ “ลูกอยากลองดูไหมว่าจะขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณได้เท่าไหร่?”
ผู้ที่ไม่รู้เงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณย่อมไม่คิดที่จะทดสอบจิตวิญญาณของพวกเขาในรูปแบบนี้ มันอันตรายไม่น้อยที่จะขยายอาณาเขตของจิตวิญญาณให้ไกลเกินไป เพราะถ้าเส้นด้ายของจิตวิญญาณถูกตัดขาด ผู้นั้นก็อาจได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ได้ ผมจะลองดู” จางเซวียนพยักหน้ารับ เขาเองก็อยากรู้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน
จางเซวียนสูดหายใจลึกและปรับสภาพพลังจิตวิญญาณของเขาให้กลายเป็นเส้นด้ายจิตวิญญาณก่อนจะดึงมันออกไป
100000 กิโลเมตร!
200000 กิโลเมตร!
300000 กิโลเมตร!
ในชั่วพริบตา จางเซวียนก็ผ่านระยะ 500000 กิโลเมตรไปได้ แต่เส้นด้ายจิตวิญญาณของเขายังไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุด อันที่จริง…ตัวเขายังใช้พลังจิตวิญญาณไปไม่ถึง 1 ใน 10 ของที่มีเลยด้วยซ้ำ!