อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1741 พบหลัวฉีฉีอีกครั้ง
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1741 พบหลัวฉีฉีอีกครั้ง
เหตุผลที่จางเซวียนปล่อยให้สิ่งมีชีวิตมีพิษปล่อยพิษเข้าสู่ร่างของเขา ก็เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานให้จ้าวหย่าเห็น รวมทั้งรับรู้ว่ายาถอนพิษที่อยู่ในสระน้ำสามารถเจือจางพิษของสิ่งมีชีวิตได้
จางเซวียนเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่ายาถอนพิษชนิดนี้ออกฤทธิ์แบบเดียวกันกับพลังปราณเทียบฟ้า
นอกเสียจากปรมาจารย์ขง เขาไม่คิดว่าจะมีใครที่มีความสามารถแบบนี้ นั่นคือเหตุผลที่จางเซวียนใช้พลังปราณของเขาทำเป็นสายเบ็ด พูดตามตรง เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลหรือไม่!
“มันคือพลังปราณชนิดพิเศษของปรมาจารย์ขงจริงๆ ว่าแต่…ทำไมคุณถึงมีความสามารถแบบเดียวกับเขาล่ะ?” ปลาคาร์พตั้งคำถาม
“ก็เพราะผมคือปรมาจารย์ฟ้าประทานคนหนึ่งเหมือนกัน” จางเซวียนตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ
“คุณคือปรมาจารย์ฟ้าประทาน? เรื่องนั้นอธิบายได้มากทีเดียว…” ปลาคาร์พตาโต “ผมตัดสินใจแล้ว นับจากนี้ไปผมจะอยู่กับคุณ ในครั้งนั้น ปรมาจารย์ขงกำชับให้ผมเฝ้าที่นี่ และบอกว่าผมจะออกไปได้ก็ต่อเมื่อปรมาจารย์ฟ้าประทานคนใหม่มาถึง ซึ่งด้วยวิธีนั้น ผมจะถูกตกขึ้นมาทุกวัน!”
“ถูกตกขึ้นมาทุกวัน?” จางเซวียนทวนคำด้วยความรู้สึกหนาวๆร้อนๆ
ปลาคาร์พตัวนี้เป็นมาโซคิสต์แน่ๆ อยากถูกตกขึ้นมาทุกวี่วัน
“ตอนนี้คุณเข้าไปอยู่ในมิติลี้ลับของผมก่อน ผมจะเรียกตัวคุณเมื่อผมต้องการ” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ
“รับทราบ” ปลาคาร์พตอบอย่างตื่นเต้น
พริบตาต่อมา มันก็เข้าสู่รังนางพญามดของจางเซวียน และพบอิฐก้อนใหญ่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้า
“ว้าว! อิฐก้อนนี้ถูกหลอมขึ้นอย่างงดงามจริงๆ…” ปลาคาร์พชื่นชม
ชั่วชีวิตของมัน มันเคยเห็นก้อนอิฐมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเจอก้อนไหนที่หลอมขึ้นจากวัสดุชั้นดีขนาดนี้
“คุณนั่นแหละที่เป็นอิฐ เป็นอิฐกันทั้งตระกูลเลย! ผมคือหม้อต้นกำเนิดทองคำนะ หม้อตัวจริงเสียงจริง!” หม้อต้นกำเนิดทองคำฟึดฟัด
“คุณคือหม้อ?” ปลาคาร์พพ่นลมอย่างดูถูก “ถ้างั้นคุณก็จุดไฟได้สิ ใช่ไหม? ทำไมไม่ย่างผมเสียเลยล่ะ? ใครๆก็บอกผมว่าผมน่ะรสชาติอร่อยมากเมื่อถูกย่าง คุณไม่อยากชิมผมสักหน่อยหรือ? เร็วๆเข้า ผมรอไม่ไหวแล้ว…”
“….” หม้อต้นกำเนิดทองคำ
“ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก แล่เป็นชิ้นดิบๆก็ใช้ได้!” กระบี่เปลวเพลิงสีดำคำรามขณะปล่อยประกายเย็นวาบออกจากคมกระบี่
“เอ่อ…ผมขอโทษ” ปลาคาร์พพรั่นพรึงกับการปรากฏตัวของของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ มันรีบก้มศีรษะคำนับ ไม่กล้าพูดพล่ามอีก
…..
จางเซวียนไม่รู้ว่ามีดราม่าเกิดขึ้นในรังนางพญามด เขานำจ้าวหย่าเข้าสู่พื้นที่ที่อยู่เหนือสระน้ำ
ก็เหมือนคราวก่อน จางเซวียนบินสูงขึ้นไปได้ไม่เกิน 30 เมตร เขาจึงนำกระบี่เปลวเพลิงสีดำออกมาและกรีดชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือศีรษะ
ฟึ่บ!
มิติถูกฉีกกระชาก รอยแยกของมิติปรากฏ ทั้งคู่โผขึ้นไป ไม่ช้าก็มาอยู่บนพื้นราบแห่งหนึ่ง
ก็เหมือนกับที่ผ่านมา พระราชวังขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นจากระยะไกล
“นี่คงเป็นหอบริวาร” จางเซวียนพูด “เราไปที่นั่นกันเถอะ!”
ทั้งคู่รีบมุ่งหน้าไป
“มันคือ…หอสงบใจ? สถานที่ที่ปรมาจารย์ขงเคยพักอยู่ใช่ไหม?”
บนป้ายขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือทางเข้าหอบริวาร คำว่า ‘หอสงบใจ’ ถูกจารึกไว้ น่าจะเป็นสถานที่ที่ปรมาจารย์ขงเคยพักอาศัยในยุคสมัยของเขา
“ท่านอาจารย์ ประตูเข้าสู่หอบริวารเปิดแล้วนะ รีบเข้าไปเถอะ!” จ้าวหย่าเร่ง
ในเมื่อหอสงบใจเปิดแล้ว ก็แปลว่าน่าจะมีใครบางคนเข้าไปก่อนหน้า พวกเขาจึงต้องรีบ ไม่อย่างนั้นอาจพลาดโอกาสที่จะได้พบเว่ยหรูเหยียน
“ไปกันเถอะ”
จางเซวียนนำเครื่องรางน้อยออกมา เครื่องรางปล่อยลำแสงโอบล้อมทั้งคู่ไว้ จากนั้นพวกเขาก็ผ่านประตูบานใหญ่และเข้าสู่หอสงบใจ
ก็เหมือนคราวก่อน มีปราการที่มองไม่เห็นปิดกั้นหอบริวารไว้ ผู้ที่ไม่มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานหรือปราศจากสภาวะพิเศษจะไม่สามารถผ่านปราการนั้นได้ แต่ด้วยอำนาจของเครื่องรางน้อย จางเซวียนจึงเข้าสู่หอบริวารได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ
สิ่งหนึ่งที่จางเซวียนไม่อาจทำอะไรได้ก็คือการที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำสามารถผ่านปราการเข้าสู่หอสงบใจได้เช่นกันทั้งที่เป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ เท่าที่เขารู้ นักปราชญ์โบราณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่หอบริวารและหอลำดับแรก ซึ่งเขาก็พร้อมจะทิ้งกระบี่เปลวเพลิงสีดำไว้ข้างนอกหากมันถูกฉนวนตีกลับ
แต่มาคิดดู ก็น่าจะเป็นเพราะกฎเกณฑ์นี้ไม่ได้มีไว้ใช้กับผู้ที่ฝ่าด่านวรยุทธได้ในอาณาบริเวณของวิหารแห่งขงจื๊อ หรือไม่ก็อาจไม่เข้มงวดกับของล้ำค่า
แต่ถึงอย่างไร นี่ก็เป็นข่าวดีสำหรับจางเซวียน เพราะมันหมายถึงความปลอดภัยที่จะเพิ่มขึ้น
การตกแต่งภายในหอสงบใจนั้นต่างจากหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มาก ถ้าหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เป็นสิ่งปลูกสร้างโอ่อ่าหรูหรา หอสงบใจก็คือสัญลักษณ์ของความมัธยัสถ์
สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าหอสงบใจมีขนาดเล็กและไม่แข็งแรง กลับตรงกันข้าม มันกว้างใหญ่มาก แต่ก็ว่างเปล่าอย่างน่าประหลาด สิ่งเดียวที่สะดุดตาก็คือโครงสร้างของเตียงนอนแบบเรียบง่ายที่อยู่ด้านในสุดของห้อง
ไม่มีทั้งอักษรจารึกหรือภาพวาด มีแต่ผนังสีขาว ปราศจากรูปปั้นหรือเครื่องตกแต่งใดๆที่จะเพิ่มความสดใสให้กับห้องนั้น หอสงบใจมีเพียงสีขาวสะอาดและไม่มีสิ่งอื่นใดเลย
“นี่คือสถานที่ที่ปรมาจารย์ขงเคยพักอยู่หรือ?” จ้าวหย่าตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ
แม้แต่ตัวเธอก็แทบไม่เชื่อว่านี่คือสถานที่ที่ปรมาจารย์ขงผู้ยิ่งใหญ่เคยพักอยู่
ปรมาจารย์ขงได้รับความเคารพยกย่องในฐานะครูบาอาจารย์ของโลก บ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วนตลอดช่วงชีวิตของเขา โดยเฉพาะ 72 นักปราชญ์ ใครจะไปคิดว่าที่อยู่ของเขาจะเรียบง่ายขนาดนี้?
“ปรมาจารย์ขงมองเห็นภาพมายาของอำนาจและความมั่งคั่ง” จางเซวียนตั้งข้อสังเกตขณะตรวจสอบห้องนั้นอย่างถี่ถ้วน
ก็เหมือนกับมิติยาพิษ โครงสร้างของทุกสิ่งที่อยู่ในห้องนี้ดูเป็นธรรมชาติมาก ราวกับสภาพแวดล้อมที่เห็นช่วยขจัดความกังวลและความท้อแท้ของผู้ได้เข้ามา ทำให้พวกเขาสดชื่นและกลับคืนสู่ความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
การฝึกฝนวรยุทธในสภาพแวดล้อมแบบนี้จะส่งผลดีมากต่อการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ
“ในเมื่อประตูเปิดแล้ว เว่ยหรูเหยียนกับคนอื่นๆก็ต้องผ่านเข้ามาแล้วเช่นกัน พวกเขาอยู่ที่ไหน?” จ้าวหย่าสำรวจพื้นที่โดยรอบด้วยความสงสัย
ทั้งห้องดูโล่งโปร่ง ไม่มีพื้นที่ให้หลบซ่อน เห็นชัดว่าตอนนี้มีคนเพียงสองคนยืนอยู่ ซึ่งนั่นดูไม่สมเหตุสมผลเลย ที่นี่ควรจะมีผู้คนอยู่ไม่น้อย
บึ้มมมมม!
ขณะที่จ้าวหย่ากับจางเซวียนกำลังงงงันกับสถานการณ์แปลกประหลาดตรงหน้า ทั้งคู่ก็พลันรู้สึกได้ถึงคลื่นรบกวนของพลังจิตวิญญาณที่อยู่ห่างออกไป
“พวกเขาต้องอยู่ที่นั่นแน่!” จางเซวียนพูด
จางเซวียนแกะรอยตามทิศทางของคลื่นรบกวนของพลังจิตวิญญาณ เขารีบออกจากห้องและมุ่งหน้าไปโดยใช้ประตูหลัง
ทันทีที่ทั้งสองเดินออกไป กระแสพลังปราณเข้มข้นก็พุ่งเข้าใส่พวกเขา สร้างแรงกดดันมหาศาล
ถัดจากประตูหลังของหอสงบใจคือสวนแห่งหนึ่ง
“พวกเราจับจองกรรมสิทธิ์ในผลโพธิ์ที่อยู่บนต้นแล้ว ผมคงต้องขอให้คุณกลับไปยังที่ที่คุณจากมา!” เสียงคำรามเย็นเยียบดังขึ้น
“ในโลกนี้ ไม่มีใครหรอกที่ไม่ปรารถนาทรัพย์สมบัติล้ำค่า แต่นี่คือสิ่งที่พวกเราลงทุนลงแรงไปมากเพื่อให้ได้มันมา เราไม่อาจมอบมันให้คุณได้”
“ทรัพย์สมบัติในโลกนี้จะตกเป็นของผู้ที่เก่งกาจพอจะครอบครองมัน พวกเราเตรียมการยาวนานเพื่อเข้าครอบครองสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นก็แน่นอนว่ามันย่อมเป็นของเรา!”
…..
จางเซวียนมองไปทางต้นเสียง และเห็นนักรบ 2 ฝ่ายกำลังยืนประจันหน้ากัน บรรยากาศระหว่าง ทั้ง 2 ฝ่ายตึงเครียดเล็กน้อย
กลุ่มที่อยู่ฝั่งขวามือมีสมาชิก 10 คน และเว่ยหรูเหยียนเป็นหนึ่งในนั้น อีก 9 คนสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน ซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาคือทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่อยู่ทางซ้ายยืนอยู่ตามลำพัง ลูกทรงกลมหมุนติ้วอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับส่งเสียงฮัมเบาๆ
เครื่องเก็บงำมิติ!
ผู้นั้นคือหลัวฉีฉี!
เมื่อจางเซวียนกับจ้าวหย่าปรากฏตัว ทุกคนก็หันขวับมามองผู้มาใหม่
“ปรมาจารย์จาง!” หลัวฉีฉีตาโต นัยน์ตาของเธอเปล่งประกายของความคาดหวัง
จางเซวียนพยักหน้าให้หลัวฉีฉี ก่อนจะหันไปมองกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์
ในบรรดาคนกลุ่มนี้ มีเว่ยหรูเหยียนคนเดียวที่ไม่รับรู้การปรากฏตัวของเขา เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์เหมือนที่จ้าวหย่าเคยเป็น สองมือของเธอชี้ตรงไปยังต้นโพธิ์ซึ่งยืนต้นอยู่ไม่ห่างนัก ผลของมันกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆด้วยอานุภาพจากพลังปราณของเธอ ดูเหมือนผลโพธิ์นั้นใกล้แก่จัดเต็มที
“นี่ไม่ใช่ต้นโพธิ์ธรรมดา มันมีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่” หลัวฉีฉีพูดขึ้นเมื่อเห็นแววตาแสดงความกังขาของจางเซวียน “มันไม่เหมือนกับต้นโพธิ์ที่อยู่ในจักรวรรดิหงหย่วน หากใครได้กินผลโพธิ์จากต้นโพธิ์นี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักรบผู้นั้นยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณให้แตะ 30.0 ได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ทำให้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นนักปราชญ์โบราณ!”
“มันช่วยยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณให้แตะ 30.0?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตาโตด้วยความตกใจ
เป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่ปรมาจารย์ว่าระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ยากที่สุด และนั่นคือสิ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเขา
ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณ กายเนื้อ หรือวรยุทธของจิตวิญญาณ ขอแค่เขามีเทคนิควรยุทธที่เหมาะสม ก็สามารถยกระดับมันได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่อาจทำแบบเดียวกันได้กับสภาวะจิต
ผ่านมาก็หลายวันแล้ว แต่จางเซวียนเพิ่งยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณจาก 28.1 เป็น 29.99 เท่านั้น ยังไม่แตะ 30.0
มันอาจห่างกันแค่ 0.01 แต่ก้าวสุดท้ายนี้คือปราการที่ข้ามผ่านไปได้ยากที่สุด ใครจะไปรู้ว่าเขาต้องใช้เวลาและความพยายามอีกเท่าไหร่ถึงจะเอาชนะความท้าทายครั้งนี้ได้?
ถ้าผลโพธิ์สามารถยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณให้แตะ 30.0 ได้จริง โอกาสที่ผู้นั้นจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จก็จะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก!