อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1748 ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1748 ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์
สองสามอึดใจต่อมา เผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกทั้ง 2 ตัวก็ถูกสังหาร
แม้จะไม่ใช้ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่ รากไม้ และปลาคาร์พ จางเซวียนก็ยังเล่นงานทั้งคู่ได้อย่างง่ายดาย เขาโยนศพของพวกมันไว้ในแหวนเก็บสมบัติก่อนจะเดินลึกเข้าไป
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือห้องโถงขนาดใหญ่ ที่ผนังเต็มไปด้วยภาพวาดซึ่งแผ่แสงเรืองอบอุ่นออกมา ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ห้องโถง ก็พบแรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมเข้าใส่ ถ้าพลังจิตวิญญาณของจางเซวียนอ่อนด้อย คงก้าวขาไม่ออกอีกแม้แต่ก้าวเดียว
นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อการบ่มเพาะจิตวิญญาณ! จางเซวียนครุ่นคิดขณะเดินดูรอบห้องโถงอย่างสบายใจ
หอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ เป็นพลังงานที่นักรบต้องใช้เพื่อการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ หอสงบใจมีทรัพย์สมบัติที่ช่วยยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าหอสงครามศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องเป็นสถานที่สำหรับการบ่มเพาะจิตวิญญาณของนักรบ ทำให้พลังจิตวิญญาณและการแผ่อาณาเขตจิตวิญญาณของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น
จางเซวียนเดินดูรอบๆห้องและไม่พบใคร เขาขมวดคิ้ว
เห็นได้ชัดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 2 ตัวทำหน้าที่กำจัดผู้บุกรุกหน้าไหนก็ตามที่จะเข้ามาขัดขวางภารกิจของพวกมัน ดังนั้น ก็ย่อมแน่นอนว่าจะต้องมีเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกหลายตัวที่กำลังปฏิบัติการบางอย่างอยู่ภายในหอบริวาร บางทีอาจจะกำลังตามหาทรัพย์สมบัติล้ำค่าอยู่
ว่าแต่…ทำไมถึงไม่มีใครให้เห็นเลย?
“มีอะไรอยู่ในหอนี้?” จางเซวียนส่งโทรจิตถามเครื่องรางน้อย
เครื่องรางน้อยถูกสกัดกั้นความทรงจำไว้ ซึ่งความทรงจำจะกลับมาก็ต่อเมื่อมันเข้าสู่พื้นที่ที่เชื่อมโยงกับความทรงจำเหล่านั้น มีความเป็นไปได้ที่ตอนนี้มันจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ในหอสงครามศักดิ์สิทธิ์
“ทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่สุดในหอสงครามศักดิ์สิทธิ์คือก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ มันมีเจตจำนงของปรมาจารย์ขงฝังอยู่ และมีอานุภาพเป็นเลิศในการบ่มเพาะจิตวิญญาณ” เครื่องรางน้อยอธิบายจากความทรงจำของมันที่ถูกปลุกขึ้นมา
“ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์?” จางเซวียนตาโตเมื่อได้ยินคำนั้น “แล้วมันอยู่ไหน?”
ระดับวรยุทธของจิตวิญญาณของเขาหยุดชะงักหลังจากที่สำเร็จวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติโลกจารึก หากเขาได้ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์มา ก็น่าจะผลักดันระดับวรยุทธของจิตวิญญาณให้ก้าวไปได้อีกขั้น บางทีอาจจะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณได้สำเร็จ!
“มันอยู่ด้านหลังหอบริวาร คุณจะเห็นมันหลังจากที่ผ่านประตูบานนั้นไป” เครื่องรางน้อยตอบขณะชี้ไปยังทิศทางนั้น
“ได้สิ” เมื่อรู้ตำแหน่งคร่าวๆของก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ จางเซวียนรีบก้าวยาวๆไปหามัน
เมื่อออกจากห้องโถงขนาดใหญ่ ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงหน้าสวนที่กว้างใหญ่ไม่น้อย
มีโขดหินอยู่รายรอบสวนแห่งนั้น เกิดเป็นพงไพรโขดหินขนาดย่อม
เผ่าพันธุ์ปีศาจ 2-3 ตัวกำลังนั่งอยู่ไม่ห่างจากจางเซวียนนัก พวกมันขมวดคิ้ว บางตัวก็กำลังเกาหัวอย่างหงุดหงิด ดูเหมือนกำลังพยายามหาคำตอบจากอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งมาก
ที่บริเวณใจกลางพงไพรโขดหินนั้นคือแท่นหินอันหนึ่ง โขดหินรูปทรงกลมถูกวางอยู่บนแผ่นหิน มันเรืองแสงอบอุ่นออกมา ร่างหนึ่งดูเหมือนจะกำลังร่ายรำอยู่บนโขดหิน ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ร่างนั้นดูจะคุ้นตาเขาเล็กน้อย
แทนที่จะพุ่งตรงเข้าใส่เพื่อเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจ จางเซวียนซ่อนตัวและถามเครื่องรางน้อย “พวกมันทำอะไรอยู่?”
เป็นไปได้ว่าโขดหินรูปทรงกลมที่อยู่บริเวณใจกลางน่าจะเป็นก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่เครื่องรางน้อยพูดถึง แล้วทำไมเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนี้ถึงเลือกที่จะวนเวียนอยู่รอบๆแทนที่จะเข้ายึดครองมัน
“ไม่ใช่ว่าพวกมันไม่อยากเข้าสู่พงไพรโขดหินนะ แต่เพราะมันทำไม่ได้ อาจดูเหมือนง่ายที่จะเดินเข้าไปในพงไพรโขดหินและยึดครองก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์มา แต่เรื่องจริงก็คือมีเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นที่จะนำไปสู่พงไพรโขดหิน ผู้ที่เลือกเส้นทางผิดจะถูกกระแสดาบฉีเล่นงาน” เครื่องรางน้อยพึมพำ
“กระแสดาบฉี?” จางเซวียนชะงัก
เขาจ้องมองอีกครั้ง และพบเผ่าพันธุ์ปีศาจ 2 ตัวนอนแน่นิ่งอยู่ข้างๆด้วยนัยน์ตาปิดสนิท พวกมันกำลังใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย
“คุณรู้เส้นทางที่ถูกต้องที่นำไปสู่พงไพรโขดหินหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
“ผมไม่รู้!” เครื่องรางน้อยตอบพร้อมกับส่ายหน้า “นี่เป็นบททดสอบที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้เพื่อทดสอบคนรุ่นหลัง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เขาจะอนุญาตให้ผมรู้คำตอบ แต่มันน่าจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณได้พบในมิติก่อนหน้านี้ ลองมองดูให้ดี โขดหินแต่ละก้อนมีกระบวนท่าและเทคนิคของตัวเอง ขอแค่คุณจัดลำดับกระบวนท่าเหล่านี้ได้ถูกต้อง ก็จะเข้าสู่พงไพรโขดหินได้โดยปราศจากปัญหาใดๆ”
“ผมเข้าใจแล้ว” จางเซวียนตอบหนักแน่น
เขาจ้องมองโขดหินที่อยู่โดยรอบพงไพรโขดหินอีกครั้ง และพบว่าพวกมันเป็นแบบเดียวกันกับโขดหินอื่นๆที่อยู่ในมิติรอบนอก ดูเหมือนจะมีกระบวนท่าบางอย่างถูกถ่ายทอดไว้ในนั้น
ข้อบกพร่อง!
เพราะมีประสบการณ์ในการไขปริศนามาก่อน จางเซวียนจึงรวบรวมกระบวนท่าที่อยู่ในโขดหินเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ประมวลขึ้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในหอสมุดเทียบฟ้า
แต่เพราะไม่มีอะไรให้เขาใช้อ้างอิง จึงเกิดความผิดพลาดขึ้นมากมาย
จางเซวียนปรับเปลี่ยนหนังสือที่ประมวลขึ้นโดยยึดเอากระบวนท่าของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ในพงไพรโขดหิน ซึ่งจำนวนข้อบกพร่องก็ลดลงทันที
เขาดำเนินการปรับเปลี่ยนแบบเดิมอีกกว่าร้อยครั้ง ลงท้าย การจัดลำดับของเขาก็อยู่ในรูปแบบที่ไร้ที่ติ
“เอาล่ะ ผมเสร็จสิ้นการสันนิษฐานการจัดลำดับแล้ว แล้วผมจะผ่านพงไพรโขดหินนี้ไปได้หรือเปล่าด้วยการใช้ลำดับของผม?” จางเซวียนถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
“ขอแค่ลำดับนั้นถูกต้อง คุณก็จะผ่านเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหา แต่ห้ามมีข้อผิดพลาดเลยนะ เพราะไม่อย่างนั้น คุณจะต้องเผชิญหน้ากับกระแสดาบฉีของปรมาจารย์ขง” เครื่องรางน้อยตั้งข้อสังเกตอย่างกังวล
จางเซวียนพยักหน้ารับ
เขาตรวจสอบลำดับนั้นอีกครั้งและกำลังจะเข้าสู่พงไพรโขดหิน ก็พอดีกับที่ต้องหยุดชะงัก
กระบวนท่าต่างๆที่อยู่ในโขดหินนั้นรวมตัวกันกลายเป็นเทคนิคที่ซับซ้อน…แต่ถ้าเทคนิคที่อยู่ในพงไพรโขดหินแห่งนี้มีข้อบกพร่องล่ะ?
เขาแน่ใจในความสามารถของหอสมุดเทียบฟ้า เทคนิคใดๆก็ตามที่ผ่านการตรวจสอบจากหอสมุดเทียบฟ้าแล้วจะอยู่ในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าบุคคลที่สร้างพงไพรโขดหินขึ้นมาจะทำทุกอย่างได้ถูกต้อง
สถานการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในมิติพงไพรโขดหิน ข้อบกพร่องของร่างบนโขดหินนั้นยังพอแก้ไขได้ แต่ข้อบกพร่องที่นี่อาจส่งผลให้เขาถึงแก่ความตาย!
“กระบี่เปลวเพลิงสีดำ!”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ชักกระบี่เปลวเพลิงสีดำออกมา
แม้จะอยู่ภายใต้ปราการกระแสดาบฉี แต่กระบี่เปลวเพลิงสีดำที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณก็สามารถต้านทานมันได้
จากนั้น จางเซวียนเรียกหม้อต้นกำเนิดทองคำและ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่ออกมา “ผมจะเข้าไปละนะ พวกคุณที่เหลือตามผมมา ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวไหนวุ่นวายล่ะก็ ฆ่ามันโดยไม่ต้องลังเล อย่าปล่อยให้มันหลุดรอดไปได้แม้แต่ตัวเดียว”
จากนั้น เขาก็ทำตามลำดับที่ได้คิดค้นไว้โดยใช้หอสมุดเทียบฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะมุ่งหน้าไป
ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง จางเซวียนก็ยังไม่พบทางออกของมิติพงไพรโขดหิน แต่ตามกฎเกณฑ์ของมิติอื่นๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าทางออกจะอยู่ท่ามกลางโขดหินที่บรรจุเอาเทคนิคที่เขาเพิ่งประมวลได้เอาไว้
หัวใจของแต่ละมิติคือกุญแจที่กุมความลับของทรัพย์สมบัติล้ำค่าที่อยู่ในหอบริวาร หากเขาได้หัวใจของมิติมา ก็จะได้รู้ลำดับที่ถูกต้องสำหรับการฝ่ามิติพงไพรโขดหินและยึดครองก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งในเมื่อเขาอยู่ที่นี่แล้ว ก็สายเกินกว่าที่จะย้อนกลับไปยังมิติพงไพรโขดหินและทำการทดลอง ดังนั้น จางเซวียนจึงได้แต่รุดหน้าและภาวนาให้เทคนิคที่ปรมาจารย์ขงคิดค้นขึ้นนั้นปราศจากข้อบกพร่อง
จางเซวียนเดินเข้าหาโขดหินก้อนแรกและสัมผัสมัน แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการโจมตีจากพงไพรโขดหิน เขาจึงรีบเดินหน้าลึกเข้าไป
“คุณ…”
หลังจากเดินไปได้อีก 2-3 ก้าว ก็สะดุดเข้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเกาหัวแกรกๆเพื่อหาทางแก้ไขอะไรบางอย่าง จางเซวียนเกียจคร้านเกินกว่าจะโจมตีพวกมัน จึงเดินผ่านไปและรุดหน้าต่อ
“ดูนั่น! ไอ้งั่งตัวหนึ่งกำลังรีบไปตาย…”
เห็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งโผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้มุ่งหน้าเข้าไปโดยปราศจากความลังเล เผ่าพันธุ์ปีศาจพากันคำรามเยาะ
มิตรสหายของพวกมันต้องตายไปมากมายกว่าจะทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ของพงไพรโขดหินได้ เผ่าพันธุ์ปีศาจรู้ดีว่าไม่อาจก่อเรื่องในสถานที่แห่งนี้ เพราะไม่อย่างนั้น อาจต้องตายอย่างน่าสมเพชก่อนที่จะทันรู้ตัว
แต่หมอนั่นเดินดุ่มเข้าไปทันทีที่มาถึง เรื่องนี้เป็นประโยชน์กับพวกมัน เพราะมันสามารถใช้เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นเหยื่อทดลองเพื่อช่วยพวกมันสำรวจเส้นทาง
เมื่อเกิดความคิดนั้น เผ่าพันธุ์ปีศาจก็จับจ้องที่ชายหนุ่มพร้อมกับผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่กลับตรงกันข้ามกับที่พวกมันคาดไว้ ชายหนุ่มเดินหน้าเข้าไปในพงไพรโขดหินลึกขึ้นเรื่อยๆ และไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ไม่ช้ารอยยิ้มบนใบหน้าของพวกมันก็จางหายไป
“แบบนี้ไม่ถูกแล้ว…ดูเหมือนเขาจะรู้เส้นทางที่ถูกต้อง เร็วเข้า! รีบตามไป”
ถึงพวกมันจะโง่เง่าแค่ไหน แต่เรื่องจริงก็เห็นๆกันอยู่หลังจากที่เห็นภาพนี้ เห็นได้ชัดว่าหมอนี่รู้เส้นทางที่ถูกต้อง ดังนั้นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นผู้นำจึงสั่งการให้พรรคพวกที่เหลือรีบแกะรอยตามเส้นทางของจางเซวียนไป
แต่หลังจากออกเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว พวกมันก็พลันรู้สึกถึงเจตนาสังหารเข้มข้นที่ถาโถมเข้าใส่ เมื่อหันกลับไป ก็เห็นทั้งอสูรและของล้ำค่าจำนวนหนึ่งพุ่งเข้าใส่พวกมัน
“เล่นงานมันเลย!” ติงติงคำรามก้อง จากนั้นฝูงอสูรและของล้ำค่าก็พากันรุมสกรัม
2-3 นาทีต่อมา เผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านั้นก็นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น นัยน์ตาของพวกมันถลนด้วยความไม่อยากเชื่อแม้จะสูญเสียลมหายใจเฮือกสุดท้ายไปแล้ว