อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1751 ต้นแอปริคอต
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1751 ต้นแอปริคอต
“ปรมาจารย์จาง!”
ทันทีที่จางเซวียนไปถึง ปรมาจารย์เหรินจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ตรงเข้ามาทักทาย
จากนั้น หลัวกั้นเจินจากตระกูลหลัว, เจียงฟังโหย่วจากตระกูลเจียง และกลุ่มคนจากอีก 2-3 กลุ่มอำนาจในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็เข้ารุมล้อมเขา
ดูเหมือนคนเหล่านี้จะได้พบกับความโชคดีบางอย่างเช่นกัน พวกเขาสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเหมือนกับเซียนดาบชิงเหมิง
หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันครู่หนึ่ง จางเซวียนก็ได้รู้ว่านอกจาก 6 มิติรอบนอกและ 6 หอบริวารแล้ว ก็ยังมีอาณาเขตของมิติและเวลาอีก 2-3 แห่งในวิหารแห่งขงจื๊อ ซึ่งผู้ที่บังเอิญได้เข้าไปในนั้นจะพบว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วกว่าเดิมและสามารถข้ามผ่านด่านคอขวดที่ต้องเผชิญในการฝึกฝนวรยุทธได้ง่ายดายขึ้น
เท่าที่เห็น ก็ชัดเจนว่าคนเหล่านี้ได้รับประโยชน์อย่างมากจากวิหารแห่งขงจื๊อ และการเดินทางของพวกเขาก็ไม่สูญเปล่า
ในทางกลับกัน ดูเหมือนจะมีแต่จางเซวียนที่ต้องระเหเร่ร่อนไปทั่วและไม่มีเวลาฝึกฝนวรยุทธมากนัก เหลือแต่ตัวเขาที่ยังล้าหลังคนอื่น
“อย่างแรกและสำคัญที่สุด เราต้องช่วยหยวนเทา…”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน จางเซวียนก็เห็นร่างของหยวนเทาอยู่ท่ามกลางฝูงชน มีเหล่าทายาทของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ห้อมล้อม
หยวนเทาก็ไม่ต่างจากจ้าวหย่าและเว่ยหรูเหยียน การรับรู้ของเขาดูเหมือนจะถูกปิดกั้นไว้ จึงไม่เห็นว่าจางเซวียนอยู่ในบริเวณนั้น
เมื่อเห็นจางเซวียนกำลังจะเดินหน้า ปรมาจารย์เหรินพยายามหว่านล้อม “ปรมาจารย์จาง เหล่านักปราชญ์โบราณได้ประกาศแล้วว่ากลุ่มอำนาจต่างๆจะต้องไม่โจมตีซึ่งกันและกัน ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎจะถูกสังหารในทันที!”
“นั่นคือกฎที่เหล่านักปราชญ์โบราณตั้งขึ้นเพื่อรักษาความปลอดภัยของคนรุ่นหลัง ไม่อย่างนั้น หากเกิดการต่อสู้ และเหล่าอัจฉริยะที่มีโอกาสฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณถูกสังหาร การเดินทางครั้งนี้ก็จะสูญเปล่า” หลัวกั้นเจินเสริม
“ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ คงจะดีที่สุดหากไม่เกิดข้อพิพาทกับพวกเขา อีกอย่าง เหล่านักปราชญ์โบราณของเราก็อยู่แถวนี้ ผมไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะกล้าทำร้ายหยวนเทาหรอก”
“เอ่อ…” รู้ดีว่าหลัวกั้นเจินพูดถูก แต่จางเซวียนก็อดลังเลไม่ได้
“พวกเขาพูดถูกนะ” หลัวลั่วชิงออกความเห็นพร้อมกับยิ้มให้ “พวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่ทำร้ายหยวนเทาหรอก หากเราทำอะไรหุนหันพลันแล่นไป สถานการณ์อาจเลวร้ายกว่าเดิม น่าจะดีกว่าถ้าเราจะเข้าไปช่วยเขาหลังจากที่เข้าสู่โดมแอปริคอตแล้ว เพราะตอนนั้น เหล่านักปราชญ์โบราณจะเข้ามาขัดขวางไม่ได้อีก อีกอย่าง นี่น่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับหยวนเทาด้วย”
“โอกาสดี?” จางเซวียนขมวดคิ้ว
“ใช่ โดมแอปริคอตคือสถานที่ที่ปรมาจารย์ขงใช้ถ่ายทอดคำสอนของเขาให้กับคนอื่นๆ คำพูดของเขาจึงยังคงก้องอยู่ภายในอาคารนั้น ในเมื่อพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ลักพาตัวหยวนเทา ก็แน่นอนว่าพวกเขาคงต้องเตรียมการบางอย่างกับสายเลือดฮ่องเต้ของหยวนเทาแล้ว เรื่องนี้อาจเป็นโอกาสดีสำหรับเขาก็ได้ ซึ่งจะเกิดความเสียหายครั้งใหญ่หากเราเข้าไปช่วยหยวนเทาตอนนี้ ลองถอยออกมาก้าวหนึ่งนะ หากหยวนเทาตกอยู่ในอันตราย เราก็เข้าไปขัดขวางและช่วยเขาได้ทุกขณะอยู่แล้ว” หลัวลั่วชิงพูด
จางเซวียนพยักหน้ารับ
เขาไม่รู้ว่าโดมแอปริคอตคือสถานที่ที่ปรมาจารย์ขงใช้ถ่ายทอดคำสอนให้บรรดาลูกศิษย์
เมื่อครั้งที่จางเซวียนยังอยู่ในจักรวรรดิหงหย่วน เขาได้สร้างชื่อเสียงจากการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ที่นำไปสู่การฝ่าด่านวรยุทธของเหล่านักรบ สิงสาราสัตว์ และแม้กระทั่งพืชจำนวนมากมาย ในเมื่อปรมาจารย์ขงแข็งแกร่งกว่าเขามาก คำสอนของอีกฝ่ายก็น่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าเขาหลายเท่า
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่รากไม้อันหนึ่งสามารถเล่นงานนักรบผู้ทรงพลังได้มากมาย เป็นไปได้ว่ารากไม้นั้นได้ฟังคำสอนของปรมาจารย์ขงเช่นกัน ชีวิตจิตใจของมันจึงจึงเติบโตและมีความเก่งกาจผิดธรรมดา
“มันกำลังจะเปิดเร็วๆนี้แหละ!”
ขณะที่พวกเขายังพูดคุยกันอยู่ เสียงดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาดก็ดังมาจากใต้พื้นดิน จากนั้น ฉนวนที่โอบล้อมโดมแอปริคอตไว้ก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา
ด้วยประสบการณ์ที่ได้จากหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ จางเซวียนรู้ว่านี่คือสัญญาณว่าหอบริวารกำลังจะเปิดออก สองมือของเขาสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
แอ๊ดดด!
ไม่ช้า ประตูบานใหญ่ก็ส่งเสียงลั่น
“เข้าไปกันเถอะ!” ใครคนหนึ่งในหมู่ฝูงชนตะโกนก้อง
จากนั้น หยวนเทาก็บีบเลือดหยดหนึ่งออกจากปลายนิ้วของเขา พลังงานภายในหยดเลือดนั้นเข้าโอบล้อมกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์อย่างรวดเร็ว ทั้งกลุ่มรีบเดินตรงเข้าสู่ฉนวนและผ่านมันเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ
เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากมุ่งหน้าไปยังฉนวนเช่นกัน ไม่รู้ว่าพวกมันใช้ศาสตร์ลับชนิดไหน แต่ก็น่าตกใจที่พวกมันสามารถผ่านฉนวนเข้าสู่โดมแอปริคอตได้
เห็นสีหน้าฉงนสนเท่ห์ของจางเซวียน หลัวลั่วชิงส่งโทรจิตอธิบาย “มีเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนหนึ่งที่มีสภาวะพิเศษแบบเดียวกันกับหยวนเทา”
จางเซวียนพยักหน้าเมื่อได้ยินคำนั้น
สภาวะพิเศษไม่ใช่สิ่งที่จำกัดอยู่เฉพาะกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ จึงไม่แปลกอะไรที่เผ่าพันธุ์ปีศาจบางส่วนจะมีสภาวะพิเศษแบบเดียวกันกับที่มนุษย์มี
หลังจากที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเดินเข้าไป เผ่าพันธุ์อสูรก็มุ่งหน้าตามไปเช่นกัน
ไม่เหมือนกับ 2 กลุ่มก่อนหน้า พวกมันโยนเครื่องรางชิ้นหนึ่งขึ้นสู่กลางอากาศ จากนั้นเครื่องรางก็แผ่ชั้นพลังงานเข้าโอบล้อมพวกมันไว้ มันคือเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานชิ้นสุดท้าย!
เป็นอย่างที่หลายคนคาดเดา เครื่องรางฟ้าประทานในตำนานชิ้นสุดท้ายอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์อสูรจริงๆ
“เข้าไปกันเถอะ” เห็นคนส่วนใหญ่เข้าสู่หอบริวารแล้ว จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำเครื่องรางน้อยออกมา เขากำลังจะใช้รังสีของมันโอบล้อมทุกคนไว้ ก็พอดีกับที่หวู่เฉินประสานมือและพูดว่า “นายหญิงกับปรมาจารย์จาง ผมจะรอคุณทั้งสองอยู่ข้างนอกนะ”
เมื่อพูดจบ เขาก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่งและออกจากรัศมีของเครื่องรางน้อยไป
ราวกับรู้อยู่แล้วว่าหวู่เฉินจะตัดสินใจแบบนี้ หลัวลั่วชิงพยักหน้ารับอย่างสุขุม “ได้ เราไปกันเถอะ”
“เขา…” จางเซวียนงุนงง
“หวู่เฉินเป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว ต่อให้มีอำนาจของเครื่องรางน้อย เขาก็เข้าสู่หอบริวารไม่ได้หรอก” หลัวลั่วชิงอธิบาย
“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย…” เมื่อหลัวลั่วชิงยอมรับ จางเซวียนพยักหน้า
ก่อนหน้านี้เขาคาดเดาไว้แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นความจริง!
ดูเหมือนนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่อยู่ในหอความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จะไม่ใช่หนทางเดียวของวิหารแห่งขงจื๊อในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณ เป็นไปได้ว่าหวู่เฉินน่าจะพบกับความโชคดีบางอย่างเช่นกัน
ฟึ่บ!
จางเซวียนปล่อยอสูรบางส่วนออกจากรังนางพญามด และพาหลัวกั้นเจิน เจียงฟังโหย่ว กับคนอื่นๆเข้าสู่พระราชวังยิ่งใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
ไม่เหมือนกับหอบริวารอื่นๆ ที่อยู่ถัดจากทางเข้าไม่ใช่ห้องโถงขนาดใหญ่ แต่เป็นสวนที่กินอาณาบริเวณหลายร้อยตารางเมตร ที่ใจกลางสวนมีแท่นสูงตระหง่านซึ่งมีฉนวนบางอย่างล็อกไว้ แต่รังสีคุกคามก็ยังแผ่ออกมาจากแท่นนั้น ทำให้ทุกคนชะงักงัน
บริเวณสองข้างของแท่นสูงตระหง่านคือต้นแอปริคอตหลายต้นที่ถูกปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบสองแถว พวกมันอยู่ในช่วงฤดูหนาวของโดมแอปริคอต ดังนั้นจึงพากันผลัดใบ เหลือไว้แต่กิ่งก้านโกร๋นๆ
พื้นที่ที่อยู่ตรงหน้าแท่นสูงตระหง่านเต็มไปด้วยเบาะรองนั่งมากมาย แค่มองแวบเดียว จางเซวียนก็เห็นว่ามีอยู่อย่างน้อยสามพันอัน น่าจะเกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ทั้งสามพันคนของปรมาจารย์ขง
“นี่คือโดมแอปริคอต” จางเซวียนขมวดคิ้ว
เขาเคยคิดว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะมหัศจรรย์และศักดิ์สิทธิ์กว่าที่เห็น แต่กลับตรงกันข้าม มันดูธรรมดาสามัญมาก
“เวลาปรมาจารย์ขงถ่ายทอดคำสอนของเขา บรรดาลูกศิษย์จะนั่งฟังอยู่ด้านล่าง” หลัวลั่วชิงอธิบายพร้อมกับพยักหน้า “อย่าประเมินที่นี่ต่ำไปนะ ถึงจะดูไม่งดงามนัก แต่ก็เป็นสถานที่สำคัญที่สุดในวิหารแห่งขงจื๊อรองจากหอลำดับแรก”
“เป็นสถานที่สำคัญที่สุดรองจากหอลำดับแรก?” จางเซวียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
นอกจากแท่นสูงตระหง่านและต้นไม้อีกจำนวนหนึ่ง ก็ไม่มีอะไรที่ดูสลักสำคัญอยู่ภายในสวนนั้น มันดูไม่เหมือนสถานที่ที่จะมีทรัพย์สมบัติถูกเก็บรักษาไว้ เขาไม่รู้สึกจริงๆว่าที่นี่มีความสำคัญ
“การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ของปรมาจารย์ขงอยู่ในระดับที่ลึกซึ้งมาก ทั้งเบาะและต้นแอปริคอตเหล่านี้มีชีวิตจิตใจของตัวเอง ไม่อย่างนั้น กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์คงพุ่งตรงมาที่แท่นนี้แล้ว พวกเขาคงไม่ยืนนิ่งแบบนั้นหรอก เห็นชัดว่าพยายามถ่วงเวลา” หลัวลั่วชิงส่งโทรจิตบอกจางเซวียน
จางเซวียนเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
เมื่อครั้งที่เขาใช้การถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน เขาได้ปลุกจิตวิญญาณให้มีขึ้นแม้แต่กับอาวุธทั่วไป ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ปรมาจารย์ขงจะมอบชีวิตจิตใจให้กับเบาะรองนั่งและต้นไม้ได้
เห็นกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงหน้า ไม่ยอมออกเดินไปไหน อสูรตัวหนึ่งคำรามอย่างหมดความอดทน “พวกคุณจะเดินหน้าหรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไปก่อนนะ…”
“ถ้าคุณไม่เข้าไป พวกเราก็จะเข้าไปก่อน อย่าได้ฝันเลยว่าจะฉกฉวยทรัพย์สมบัติที่พวกเราครอบครองได้ หรือไม่อย่างนั้น พวกคุณก็จะต้องชดใช้อย่างสาสม!” อสูรอีกตัวหนึ่งคำราม
ชายหนุ่มคนหนึ่งจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มหัวเราะหึๆและพูดว่า “ถ้าพวกคุณอยากเข้าไปก็ตามสบายเลย พวกเราจะรออีกหน่อย”
เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดที่จางเซวียนเคยพบที่ภูเขาห้วยขาว, ทายาทของนักปราชญ์จื่อหยวน, เหยียนเฉว่
“ก็แค่นั้นแหละ!” เห็นพวก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ไม่คิดจะออกเดิน เหล่าอสูรคำราม “พวกคุณก็แค่ไอ้ขี้ขลาดไร้ค่ากลุ่มหนึ่ง ถึงได้ไม่กล้าเข้าไป พวกเราไปกันเถอะ!”
จากนั้น เผ่าพันธุ์อสูรก็พุ่งเข้าใส่เบาะที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พวกมันรู้ดีว่าต่อให้สิ่งที่ดูธรรมดาสามัญที่สุดในวิหารแห่งขงจื๊อก็อาจเป็นทรัพย์สมบัติที่ประเมินค่ามิได้ ในเมื่อเบาะรองนั่งเหล่านี้ดูจะยังมีสภาพดีอยู่แม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายหมื่นปีแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องมีความพิเศษบางอย่างแน่
แต่ยังไม่ทันที่เหล่าอสูรจะเข้าถึงเบาะที่เรียงรายอยู่ เสียงหนึ่งก็กรีดก้องขึ้นกลางอากาศ เหล่าอสูรหันขวับและเห็นกิ่งไม้กิ่งหนึ่งพุ่งฉิวเข้ามา การเคลื่อนไหวของกิ่งไม้นั้นทรงพลังจนทำให้เกิดรอยแยกสีดำขึ้นกลางอากาศ
ฟึ่บ!
ในเวลาเดียวกัน ต้นแอปริคอตจำนวนหนึ่งก็เดินแถวเข้ามาตีวงล้อมเหล่าอสูร