อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1767 ด่านสุดท้าย
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1767 ด่านสุดท้าย
เห็นทั้งกลุ่มหายตัวไป นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงหันขวับไปมองเหล่าปรมาจารย์ที่อยู่ด้านหลังและสั่งการผ่านโทรจิต “พร้อมรบ!”
“ได้”
เหล่าปรมาจารย์ต่างพยักหน้ารับ ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด
ทันทีที่ทายาทของพวกเขาออกจากหอลำดับแรก ศึกหนักจะต้องตกอยู่ที่พวกเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นนักปราชญ์โบราณของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ผนึกกำลังกัน ดูพร้อมรบได้ทุกขณะ บรรดานักปราชญ์โบราณของอีก 3 กลุ่มอำนาจต่างก็รีบรวมตัว พร้อมเผชิญการสู้รบเช่นกัน
“ปรมาจารย์หยาง ผมอยากให้คุณจัดการพาพวกที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณออกจากพื้นที่นี้ก่อน” จางหงเทียนสั่งการ
“ได้” รู้ดีว่านักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนไหนก็ตามที่ยังอยู่ในพื้นที่จะต้องสังเวยชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ไปกับการสู้รบปรมาจารย์หยางจึงรีบเดินไปหากลุ่มของเหรินชิงหยวนและสั่งการบางอย่าง
นับจากตอนนี้ ที่นี่จะเป็นสนามรบของนักปราชญ์โบราณ
ดังนั้น นักรบของสภาปรมาจารย์และ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์จึงเริ่มล่าถอย ในเวลาเดียวกัน นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์อสูรก็เริ่มถอนกำลังออกเช่นกัน
ไม่ช้าก็เหลือนักปราชญ์โบราณราว 20 คนอยู่ในจัตุรัสขนาดมหึมานั้น ต่างคนต่างมองหน้ากันอย่างเคร่งเครียด
ช่วงเวลานี้คือชั่วขณะของความสงบสุขอันแสนเปราะบางที่พวกเขายังพอรักษาไว้ได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงปรากฏ ความสงบสุขนี้ก็จะแหลกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย การสู้รบหนักหน่วงจะต้องปะทุขึ้นทันที
ดูเหมือนยังมีนักปราชญ์โบราณอยู่จำนวนมากในจัตุรัสนั้น แต่พวกเขาก็เป็นกลุ่มอำนาจสุดท้ายของโลกใบนี้แล้ว ใครจะไปรู้ว่าจะมีพวกเขาสักกี่คนที่จะเอาชีวิตรอดได้หลังจากสิ้นสุดการต่อสู้?
“ปรมาจารย์จาง นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่ของผมได้ฝากฝังไว้ก่อนหน้านี้เขากำชับให้ผมบอกคุณให้ได้”
ขณะที่เหล่านักปราชญ์โบราณกำลังจับตากันเองอย่างเคร่งเครียดปรมาจารย์หยางก็เดินไปหาจางหงเทียนและยื่นตราหยกสัญลักษณ์ให้
“จางเซวียนบอกคุณให้มอบสิ่งนี้ให้ผมหรือ?” รู้ดีว่า ‘ศิษย์พี่’ ที่ปรมาจารย์หยางพูดถึงคือทายาทของเขาที่ชื่อจางเซวียน จางหงเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง เขารับตราสัญลักษณ์ไว้และใช้นิ้วเคาะลงไปอย่างแผ่วเบา
จากนั้น จางหงเทียนก็รู้สึกได้ถึงกระแสข้อมูลที่ไหลเข้าสู่จิตใต้สำนึก
“นี่มัน…ข้อบกพร่องในวรยุทธของตาเฒ่าหยูนี่?”จางหงเทียนหรี่ตาด้วยความตกตะลึง
ข้อมูลที่เขาเพิ่งได้รับคือรายละเอียดเกี่ยวกับจุดอ่อนและช่องโหว่มากมายที่ปรากฏในเทคนิคการต่อสู้ที่ตาเฒ่าหยูใช้ รวมแล้วก็ตกราว 30 ข้อ หากเขาสามารถเล่นงานแต่ละข้อได้อย่างถูกจุด ก็ย่อมปราบเฒ่าหยูได้อย่างราบคาบ
“ขะ-เขารวบรวมข้อมูลสำคัญขนาดนี้มาได้อย่างไร?”
ตอนแรกจางหงเทียนคิดว่าข้อมูลพวกนี้ไม่สลักสำคัญนัก เพราะถึงอย่างไร ถ้าการหาข้อบกพร่องในเทคนิคการต่อสู้ของนักปราชญ์โบราณมันง่ายดายขนาดนั้น พวกเขาก็คงไม่ต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบากอย่างที่เป็นอยู่
แต่เขาก็ได้เผชิญกับข้อบกพร่องเหล่านี้มาด้วยตัวเองระหว่างการปะทะที่ผ่านมากับตาเฒ่าหยู ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วเป็นร้อยครั้ง จึงรู้ทันทีว่าทั้งหมดเป็นความจริง!
ไม่มีอาวุธใดที่จะแข็งแกร่งไปกว่านี้อีกแล้วในการรับมือกับตาเฒ่าหยู
เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันทั่วไปว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเล่นงานนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด เว้นเแต่นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอีกคนหนึ่งจะวางกับดักเพื่อต้อนเขาให้จนมุม แต่เรื่องนี้ก็พูดง่ายกว่าทำมาก
ด้วยข้อบกพร่องมากมายที่เห็นอยู่ จางหงเทียนมั่นใจว่าจะสามารถเล่นงานและสังหารตาเฒ่าหยูได้ เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าข้อมูลนั้นล้ำค่าขนาดไหน
“เจ้าหนุ่มคนนั้นทำให้ผมประหลาดใจได้ตลอดเวลา” จางหงเทียนตั้งข้อสังเกต
ความอยากรู้อยากเห็นในตัวทายาทของเขาดูจะเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาที่ผ่านไป
เจ้าหนุ่มนั่นได้หัวใจของ 5 มิติรอบนอกมาโดยลำพัง ทั้งยังมีเครื่องรางลำดับแรกด้วย เขาได้โควต้า 4 ที่ ซึ่งทั้งสี่กลุ่มอำนาจแทบจะยอมตายเพื่อให้ได้มันมา ที่สำคัญกว่านั้น ยังปราศจากความกลัวอย่างสิ้นเชิงแม้เมื่อเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญระดับตาเฒ่าหยู แถมยังเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องของหมอนั่นมาอีกด้วย…
ปรมาจารย์หยางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “อันที่จริง เมื่อ 20 ปีก่อน ตอนที่คุณได้รับบาดเจ็บสาหัสและต้องการสายเลือดบริสุทธิ์ของตระกูลจางเพื่อเยียวยา ศิษย์พี่ของผมคือผู้ที่มอบสายเลือดให้คุณเพื่อให้คุณได้มีชีวิตรอด”
ในครั้งนั้น บรรพบุรุษเก่าแก่จางหงเทียนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนโคม่า ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็เข้าสู่ภาวะจำศีลทันทีและรักษาสภาพร่างกายไว้ได้ จึงไม่ได้รับรู้รายละเอียดของการเยียวยารักษา
เพราะปรมาจารย์หยางคือผู้ทำการรักษา จึงรู้รายละเอียดเรื่องนี้เป็นอย่างดี
“คุณกำลังบอกว่า…เลือดของเขาไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของผมหรือ?” จางหงเทียนผงะ
“ใช่” ปรมาจารย์หยางพยักหน้า
“ไม่แปลกใจเลยที่ผมรู้สึกถึงความใกล้ชิดผูกพันกับเขา…” จางหงเทียนนัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อนึกได้
ก่อนหน้านี้ เขาพบว่ามันออกจะประหลาดที่เขารู้สึกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมอย่างไม่น่าเชื่อกับทายาทคนนี้ แต่เรื่องราวที่ได้ฟังก็อธิบายทุกอย่างได้กระจ่าง
สายเลือดของเขาบริสุทธิ์พอที่จะช่วยชีวิตเรา แต่ทั้งๆที่ถูกถอดสายเลือดออกไปแล้ว ก็ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอด ยังมีความปราดเปรื่องเหนือชั้นกว่าคนธรรมดาสามัญด้วย ดูเหมือนว่าต่อไปเราคงไม่ต้องกังวลถึงอนาคตของตระกูลจางอีกแล้ว! จางหงเทียนคิด
เพราะมีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน จึงต้องใช้เวลากว่าที่อะไรสักอย่างจะดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้ แต่ตอนนี้ เขารู้สึกอยากรู้จักชายหนุ่มที่ชื่อจางเซวียนให้ลึกซึ้งกว่าเดิม
…..
ฟึ่บ!
เมื่อเข้าสู่หอลำดับแรก จางเซวียนก็ไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอก ไม่รู้ว่าจางหงเทียนคิดอย่างไรกับตราหยกที่เขาตั้งใจมอบให้ ด้วยการกระตุกอย่างแรง จางเซวียนพบว่าตัวเองยืนอยู่ที่ใจกลางห้องโถงขนาดใหญ่
ห้องโถงนั้นใหญ่โตกว่าบริเวณอื่นๆมาก และพลังจิตวิญญาณที่อบอวลอยู่ในพื้นที่ก็เข้มข้นกว่า ภาพวาดต่างๆที่อยู่บนผนังมีแนวคิดทางศิลปะในระดับสูง สิ่งต่างๆในภาพวาดดูเหมือนพร้อมจะมีชีวิตขึ้นมาได้ทุกขณะ
ภาพวาดพวกนี้ยังมีระดับขั้นต่ำกว่าพื้นผ้าใบสี่ฤดู ดูเหมือนว่าจะไม่มีนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณอยู่ที่นี่! จางเซวียนส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
แม้ภาพวาดพวกนี้จะเป็นงานฝีมือชั้นเลิศ แต่ก็ไม่มีเศษเสี้ยวของโลกถูกบรรจุไว้ จึงปราศจากนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณอยู่ภายในนั้น ต่อให้มันล้ำค่าแค่ไหนก็ไม่ดึงดูดใจเขาอีกต่อไป
เผ่าพันธุ์ปีศาจ 3 ตัวกำลังจะเข้าไปเก็บภาพวาด ก็พอดีกับที่หอกเล่มหนึ่งพุ่งเข้าขวางพวกมันไว้
“ท่านสุภาพบุรุษ กรุณาหยุดก่อน ผมมีเรื่องสำคัญต้องหารือกับคุณ…” จางเซวียนมองไปพร้อมกับยิ้มให้
เขากล้าขายโควต้าให้เผ่าพันธุ์ปีศาจ เพราะวางแผนว่าจะกำจัดพวกมันทันทีที่เข้าสู่หอลำดับแรก ไม่อย่างนั้น พวกมันก็จะเป็นหอกข้างแคร่อยู่ตลอดเวลา
ถึงทั้ง 3 ตัวจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่ตัวเขา จ้าวหย่า หลัวลั่วชิงและคนอื่นๆจะกำจัดมันได้
“คุณ…” นึกไม่ถึงว่าจางเซวียนจะเล่นงานพวกมันทันทีที่เข้าสู่หอลำดับแรก เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 3 หน้าดำคร่ำเครียด พวกมันมองหน้ากันและคำราม “เผ่น!”
1 ใน 3 ตัวนั้นนำตราหยกออกมาแล้วหักมัน
ฟิ้วววว!
แสงเจิดจ้าระเบิดออก แสงนั้นโอบล้อมทั้งสามไว้ก่อนที่จะพุ่งออกไป
“หยุดนะ!”
เห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังเตรียมหลบหนี จางเซวียนยกนิ้วขึ้นและสกัดกั้นมิติรอบตัวไว้ทั้งหมด
แต่การระเบิดของลำแสงนั้นฉีกกระชากมิติที่ถูกสกัดกั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 3 ตัวหายวับไปในชั่วพริบตา
“มันเป็นของล้ำค่าของนักปราชญ์โบราณ!” จางเซวียนหรี่ตา
ดูเหมือนตาเฒ่าหยูจะรู้ว่าเขาจะเล่นงานเผ่าพันธุ์ปีศาจ จึงเตรียมของล้ำค่าที่มีอานุภาพช่วยชีวิตไว้ เพื่อทั้งสามจะได้ปกป้องตัวเองได้
หากจางเซวียนนำกระบี่เปลวเพลิงสีดำออกมา ก็คงจะปราบพวกมันได้อย่างง่ายดาย แม้เขาจะนำกระบี่เปลวเพลิงสีดำเข้าสู่หอลำดับแรกด้วย แต่ก็ยังกังวลใจว่าอาจจะกระตุ้นให้เกิดกลไกป้องกันตัวบางอย่างหากพยายามใช้มัน จึงตั้งใจเก็บไว้ใช้เป็นไม้ตายในสถานการณ์ที่คับขันที่สุดเท่านั้น
“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องรีบกำจัดพวกมันหรอก!”
ในเมื่อทุกฝ่ายพร้อมรบ การที่จางเซวียนจะกำจัดพวกมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าสิ่งนี้จะเป็นปัญหา เพราะเมื่อมีเครื่องรางน้อยในมือ ก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไป
เมื่อคิดได้ จางเซวียนหันไปพูดกับเหยียนเฉว่ “พวกนั้นหนีไปแล้วคุณอยากคุยกับผมแทนไหม?”
ฟิ้วววว!ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ รังสีเจิดจ้าแบบเดิมก็ระเบิดขึ้น โอบล้อมร่างของเหยียนเฉว่กับพรรคพวกไว้ พวกเขาหายวับไปจากจุดนั้นทันที
จางเซวียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองอสูรอีก 2 ตัวที่เหลือ ยังไม่ทันที่สายตาของเขาจะได้สบกับสายตาของอสูร 2 ตัวนั้น พวกมันก็คำรามโหยหวนและละล่ำละลัก “อย่ามองพวกเรา! เราจะออกไปแล้ว ตกลงไหม?”
ฟึ่บ!
แล้วอสูรทั้ง 2 ตัวก็หายวับไป
“….” จางเซวียน
“….” คนอื่นๆที่เหลือ