อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1768 บททดสอบสุดท้ายของปรมาจารย์ขง
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1768 บททดสอบสุดท้ายของปรมาจารย์ขง
“ช่างมันเถอะ!”
จางเซวียนพูดไม่ออกกับปฏิกิริยาของพวกนั้น เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรีบเผ่นหนีราวกับเขาเป็นปีศาจอันน่าสะพรึง
จริงอยู่ว่าเขาตั้งใจจะกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพราะมันอาจหมายถึงจุดจบของเผ่าพันธุ์มนุษย์หากพวกมันเข้ายึดครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงได้สำเร็จ แต่ส่วนเหยียนเฉว่กับเผ่าพันธุ์อสูรนั้น เขาตั้งใจจะพูดด้วยจริงๆ!
ส่วนจ้าวหย่ากับคนอื่นๆก็ได้แต่คาดเดาว่าจางเซวียนกำลังคิดอะไรโดยมองจากสีหน้าคับข้องใจของเขา แต่ละคนได้แต่ยิ้มน้อยๆ
“ไม่ใช่เพราะพวกนั้นหวาดกลัวหรอก พวกเขาแค่อยากหลีกเลี่ยงความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ในฐานะผู้ได้รับเลือกให้เข้าสู่หอลำดับแรก พวกเขามีภารกิจเดียวเท่านั้นคือเข้ายึดครองมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง” หลัวลั่วชิงอธิบาย
จางเซวียนพยักหน้ารับ เขาหันไปพูดกับคนอื่นๆที่อยู่ด้านหลัง“จ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียน ภาพวาดพวกนี้น่ะเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า เก็บพวกมันไว้”
“ได้” จ้าวหย่ากับเว่ยหรูเหยียนพยักหน้าก่อนจะรีบเดินไปรอบๆห้องเพื่อเก็บภาพวาด
“แค่ก แค่ก…ปรมาจารย์จาง ภาพเหล่านี้เป็นทรัพย์สมบัติที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้นะ กวาดพวกมันไปแบบนั้น จะเป็นการไม่เคารพไปสักหน่อยไหม?”
ปรมาจารย์ 2 คนที่ติดตามจางเซวียนมามองหน้าเขาด้วยสีหน้าปั้นยาก
ปล้นหอลำดับแรกทันทีที่มาถึง…จะไม่ถือเป็นการแสดงความกระด้างกระเดื่องต่อปรมาจารย์ขงหรือ?
“ถ้าอย่างนั้น เจตนาของพวกคุณคือให้เรา…” จางเซวียนมองหน้าปรมาจารย์ทั้งคู่และตั้งคำถาม
“อย่างน้อยที่สุด พวกเราก็ควรจะคารวะปรมาจารย์ขงก่อนนำภาพวาดเหล่านั้นไปไหม?” ปรมาจารย์คนหนึ่งออกความเห็นด้วยใบหน้าแดงก่ำ
คราวนี้กลับกลายเป็นจางเซวียนที่พูดไม่ออก
ลงท้าย สิ่งที่ปรมาจารย์มองว่าไม่ถูกต้องก็คือพวกเขาไม่ได้คารวะปรมาจารย์ขงก่อนนำภาพวาดไป
จางเซวียนส่ายหน้าและสั่งการ “ช่างมันเถอะ จัดการต่อ!”
จ้าวหย่ากับพรรคพวกทำงานอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็เก็บภาพวาดในห้องเอาไว้ทั้งหมด
“เดินหน้ากันเถอะ” หลังจากกวาดภาพวาดจนหมดเกลี้ยงแล้ว จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำเครื่องรางลำดับแรกออกมา “เครื่องรางน้อย มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงอยู่ที่ไหน?”
“มันอยู่ที่ใจกลางหอใน” เครื่องรางน้อยตอบ
“นำทางไปสิ” จางเซวียนสั่งการ
เครื่องรางน้อยพยักหน้าก่อนจะรีบบินนำไป
หอลำดับแรกนั้นเกือบเหมือนเขาวงกต มีทางแยกมากมายที่ทำให้การรับรู้ทิศทางของนักรบสับสนไป แต่ภายใต้การนำทางของเครื่องรางน้อย จางเซวียนกับพรรคพวกก็รุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
พวกเขาพบของล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่งระหว่างทาง ซึ่งจางเซวียนก็ไม่ลังเลที่จะโยนพวกมันเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติ ลงท้าย ก็ดูเหมือนว่าหอลำดับแรกจะเผชิญหน้ากับการถูกกวาดล้างครั้งใหญ่แม้แต่รูปปั้นธรรมดาสามัญก็ไม่อาจรอดพ้นจากการปล้นสะดมของเขา
ปรมาจารย์ทั้งสองได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พวกเขาไม่คาดคิดว่าทายาทน้อยจะละโมบโลภมากขนาดนี้ และนึกกังขาอยู่ว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่มากับเขา
ถ้าปรมาจารย์ขงรู้ว่าคนรุ่นหลังเป็นแบบนี้ คงโมโหจนขาดใจตายแน่!
“ทำไมที่นี่ถึงไม่มีทรัพย์สมบัติเจ๋งๆเลย? ปรมาจารย์ขงยากจนข้นแค้นขนาดนั้นเลยหรือ?”
ขณะที่คนอื่นๆต่างยำเกรงกับหอลำดับแรก จางเซวียนก็กวาดทรัพย์สมบัติที่อยู่รอบตัวด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจนัก
ไม่ใช่ว่าข้าวของที่เขาเก็บมาได้นั้นไม่ล้ำค่า ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดพิณ พู่กันหรืออื่นๆที่เขาได้มาก็ล้วนแต่ขายได้ราคางามในทวีปแห่งปรมาจารย์ แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะเทียบได้กับของล้ำค่าที่เขาได้จากหอบริวาร
ปรมาจารย์ทั้งสองยกมือทาบอก ราวกับพยายามจะห้ามหัวใจไม่ให้หยุดเต้น
คำพูดเหล่านั้นหยาบคายมากจนถึงขั้นที่พวกเขาทําได้เพียงแค่บอกตัวเองว่าไม่เคยได้ยินคำพูดเหล่านั้นมาก่อน
ทั้งกลุ่มรุดหน้าไป ไม่ช้าก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่
“ที่นี่แหละ” เครื่องรางน้อยพูดขณะร่อนลงสู่แผ่นหินแผ่นหนึ่งที่อยู่บริเวณทางเข้า
วิ้งงงง!
ราวกับมีบางอย่างถูกปลุกขึ้นเพราะการกระทำนั้น รูปปั้นสูงตระหง่านที่ยืนอยู่บริเวณใจกลางห้องค่อยๆหันร่างกลับมา
เมื่อใบหน้าของรูปปั้นนั้นปรากฎชัด เสียงถอนหายใจอย่างไม่อยากเชื่อก็ดังขึ้นทั่วทั้งห้อง
นั่นคือปรมาจารย์ขง!
“ผู้ที่ผ่านการทดสอบเบื้องต้นมาแล้ว ผมขอต้อนรับพวกคุณเข้าสู่หอลำดับแรก แต่ถ้าคุณอยากได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงล่ะก็ ยังมีบททดสอบสุดท้ายที่พวกคุณต้องผ่านไปให้ได้”
เสียของรูปปั้นนั้นแผ่วเบา แต่เหมือนจะพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณของผู้ฟัง ราวกับสายลมที่โลมไล้ในฤดูใบไม้ผลิ
การตามหาเครื่องรางลำดับแรกและหัวใจชิ้นต่างๆของมิติรอบนอกจนได้เข้าสู่หอลำดับแรกนั้นคือบททดสอบทั้งหมดของนักรบแต่ละคน ผู้ที่ผ่านมาได้ถึงขั้นนี้ย่อมเป็นอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาก็ยังต้องพิสูจน์ว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการถ่ายทอดมรดกของปรมาจารย์ขงหรือไม่โดยการผ่านบททดสอบครั้งสุดท้ายไปให้ได้
“ที่อยู่ตรงหน้าผมคือทางเดินซึ่งเต็มไปด้วยค่ายกลภาพลวงตาค่ายกลสังหาร และปีศาจใต้สำนึกทุกประเภท ถ้าคุณผ่านมันไปได้และเดินไปจนถึงสุดทางเดิน ก็จะได้พบมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง และมีโอกาสจะได้ซึมซับมัน ต่อให้คุณไม่ประสบความสำเร็จ ก็วางใจได้ว่าจะไม่เผชิญกับอันตรายใดๆ แต่ถ้าคุณผ่านมันไปไม่ได้ ก็จะถูกส่งทะลุมิติออกจากหอลำดับแรกโดยไม่มีโอกาสกลับเข้าไปหามรดกตกทอดของผมอีก”
รูปปั้นพูดพร้อมกับยกนิ้วขึ้นและชี้ไปข้างหน้า
จางเซวียนมองตาม และเห็นว่ามีทางเดินที่มุ่งตรงสู่ใจกลางห้อง ดูเหมือนจะทอดตัวยาวออกไปไกลแสนไกล ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
“ทุกคนจะพยายามได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จะเดินไปคนเดียวหรือไปกันหลายคนก็ได้ ไม่มีข้อจำกัดว่าในครั้งหนึ่งจะมีผู้เข้าท้าทายทางเดินได้กี่คน” รูปปั้นอธิบาย
จางเซวียนหันไปตั้งคำถามกับเครื่องรางน้อย “ทางเดินนี้ทำงานอย่างไร?”
เท่าที่เขามองผ่านๆ ทุกอย่างดูจะไม่มีอะไรแปลกประหลาด เขาไม่พบร่องรอยของค่ายกลหรืออะไรทำนองนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าบททดสอบนี้จะเป็นคนละระดับกับสิ่งที่เขาเคยพบเจอมา
“สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ขงตั้งใจทิ้งไว้เพื่อทดสอบคนรุ่นหลัง ผมเองก็ไม่แน่ใจในรายละเอียดเหมือนกัน” เครื่องรางน้อยตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“…ก็ได้” รู้ดีว่าเป็นนิสัยของเครื่องรางน้อยที่จะสมองตีบตันขึ้นมาทันทีเมื่อถึงเวลาคับขัน จางเซวียนจึงได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่
เขาเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้และจ้องมองทางเดินอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พบอะไร ไม่มีคลื่นรบกวนของพลังงานอยู่ภายในทางเดินเลย
“ท่านอาจารย์ ฉันจะลองดูก่อน” จ้าวหย่าพูดขณะก้าวออกมา
“ระวังตัวด้วยนะ!” แม้รูปปั้นปรมาจารย์ขงจะบอกไว้แล้วว่าไม่มีอันตราย แต่จางเซวียนก็อดกังวลไม่ได้
จ้าวหย่าพยักหน้า เธอเดินตรงไปยังทางเดินและก้าวเข้าไปโดยไม่ลังเล
วิ้งงงง!
ลำแสงสีขาวพุ่งลงมาที่ตัวจ้าวหย่า ทำให้เธอแข็งทื่อไปทันที ดูเหมือนเธอจะตกอยู่ภายใต้อำนาจของภาพลวงตาบางอย่าง ทำให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้
ครู่ต่อมา พลังงานเย็นเยือกก็ระเบิดออกจากร่างของเธอ ในชั่วพริบตานั้น จ้าวหย่าดูเหมือนจะกลายร่างเป็นนางพญาน้ำแข็งพลังงานพลุ่งพล่านโอบล้อมร่างของเธอไว้ พร้อมจะฉีกกระชากทางเดินให้เป็นชิ้นๆ
แต่โชคไม่ดีที่แม้จ้าวหย่าจะทรงพลังแค่ไหน ทางเดินก็ยังทรงพลังกว่า ไม่ว่าเธอจะพยายามโจมตีทางเดินอย่างไร มันก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
หลัวลั่วชิงตั้งข้อสังเกตหลังจากเฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่ง “ดูเหมือนสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์ของจ้าวหย่าจะถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งแล้ว…”
จางเซวียนรีบพินิจพิจารณาจ้าวหย่า เขาพบว่าอีกฝ่ายดูจะแข็งแกร่งขึ้นมาทันที ในตอนนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะอยู่ห่างจากการเป็นนักปราชญ์โบราณเพียงก้าวเดียว และพร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกเมื่อ
เมื่อถูกรังสีเย็นเยือกของสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์โอบล้อมไว้ จ้าวหย่าดูเหมือนเทพธิดาที่มีท่วงท่างามสง่า ทั้งยังงดงามจับตา
ทุกท่วงท่าของเธอดูจะกลมกลืนกับโลกใบนี้ ทำให้เกิดความสวยงามอย่างยากที่จะพรรณนา
ขณะที่เวลาเดินไป สภาวะพิเศษของเธอก็ถูกปลุกขึ้นทีละน้อย และดูจะสมบูรณ์แบบกว่าที่ผ่านมา
ฟึ่บ!
ขณะที่จางเซวียนกำลังตรวจสอบการปลุกสภาวะพิเศษของจ้าวหย่าอย่างใกล้ชิด ลำแสงอีกลำหนึ่งก็เข้าโอบล้อมตัวเธอไว้ จากนั้นจ้าวหย่าก็หายวับไปทันที ราวกับมีใครสักคนส่งเธอทะลุมิติออกไป
“ล้มเหลว!” เสียงของปรมาจารย์ขงดังก้องไปทั่วทั้งห้องนั้น
“เธอทำไม่สำเร็จหรือ?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
เมื่อครู่นี้รูปปั้นบอกไว้แล้วว่าผู้ที่ไม่ผ่านบททดสอบจะถูกส่งทะลุมิติออกไปนอกหอลำดับแรก เท่าที่เห็น ดูเหมือนจ้าวหย่าจะถูกส่งทะลุมิติออกไปแล้ว
“ท่านอาจารย์ ให้ฉันทดลองเป็นคนถัดไปนะ”
เห็นศิษย์พี่ของเธอถูกส่งทะลุมิติออกไป เว่ยหรูเหยียนก้าวออกมาและขันอาสา
ก็เหมือนกับจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียนก้าวเข้าสู่ภาพลวงตาอย่างรวดเร็ว และขณะที่เวลาเดินไป สภาวะพิเศษของเธอก็ถูกปลุกขึ้นมาทีละน้อย รังสีพิษเข้มข้นโอบล้อมร่างของเธอไว้ ในเวลาเดียวกัน ระดับวรยุทธของเธอก็เพิ่มสูงขึ้นอีกมาก
แม้จะยังฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณไม่ได้ แต่พลังปราณของเธอก็ได้รับการยกระดับคุณภาพขึ้นอีกหลายเท่า ดูเหมือนว่าอีกก้าวเดียวเว่ยหรูเหยียนก็จะฝ่าด่านคอขวดได้
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทำอย่างนั้น ก็ถูกส่งทะลุมิติออกไปนอกหอลำดับแรกเช่นกัน
จากนั้น หลัวฉีฉีกับปรมาจารย์อีก 2 คนก็ขันอาสา
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “พวกเราเข้าไปพร้อมกันเถอะ!”