อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1772 ตัวตนที่แท้จริงของหวู่เฉิน
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1772 ตัวตนที่แท้จริงของหวู่เฉิน
“ช่วยกีดกันพวกเขาออกไปสักครู่ ระหว่างนี้ฉันจะซึมซับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง” หลัวลั่วชิงพยักหน้าขณะปล่อยพลังงานอย่างดุเดือดเข้าสู่หนังสือที่อยู่ในมือของเธอ
หวู่เฉินพยักหน้ารับ เขาปล่อยกระแสกระบี่ฉีอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลังเลเพื่อยับยั้งเหล่านักปราชญ์โบราณ
บึ้มมมม!
ขณะที่การโจมตีของเหล่านักปราชญ์โบราณถาโถมเข้าใส่กระบี่ของหวู่เฉิน ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงเรื่อยๆ กระแสกระบี่ฉีที่เขาใช้รับมือพุ่งออกมาราวกับสายน้ำเชี่ยวกราก แม้หวู่เฉินจะถูกบีบให้ล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็น่าประหลาดใจที่ตัวเขาเพียงคนเดียวสามารถปัดป้องการโจมตีของอีกฝ่ายได้
ไม่มีคลื่นความสั่นสะเทือนเข้ารบกวนหรือทำอันตรายหลัวลั่วชิงแม้แต่น้อย
“แข็งแกร่งจริงๆ…” จางเซวียนถึงกับอึ้งเมื่อเห็นพละกำลังของหวู่เฉิน
การสู้รบในระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเข้าไปขัดขวางได้
ว่าแต่…หวู่เฉินเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธสำเร็จไม่ใช่หรือ?
ทำไมถึงปัดป้องการโจมตีของนักปราชญ์โบราณผู้ทรงพลังจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย ทำในสิ่งที่แม้แต่บรรพบุรุษเก่าแก่จางหงเทียนก็ยังทำไม่ได้?
ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดการปะทะ สีหน้าของเขาก็แค่ซีดเผือดไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรืออันตรายใดๆ
ถ้าอย่างนั้น แท้ที่จริงแล้วหวู่เฉินทรงพลังขนาดไหน?
เขาเป็นนักปราชญ์โบราณที่สำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดหรือเปล่า?
เท่านี้ก็น่าทึ่งพอแล้วที่หลัวลั่วชิงปัดป้องการโจมตีของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงได้ด้วยการโบกมือ ไม่นึกเลยว่าหวู่เฉินก็ทำได้เช่นกัน…
ในชั่วพริบตานั้น จางเซวียนรู้สึกราวกับเห็นอีกด้านหนึ่งของทั้งคู่ที่แตกต่างออกไป
เขารู้ดีว่าทั้งสองคนเก็บงำความลับบางอย่างไว้ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง
“ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัว ติดตั้งค่ายกล!”
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงดูจะไม่ประหลาดใจกับการกระทำของหวู่เฉิน เขาเลิกคิ้วขณะที่สั่งการหลายข้อ
วิ้งงงง!
ทันใดนั้น แสงสีน้ำเงินก็แผ่ซ่านออกไปโดยรอบ เกิดเป็นดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนที่ดารดาษล้อมรอบวิหารแห่งขงจื๊อไว้
หวู่เฉินหน้าตาเคร่งเครียดทันทีเมื่อเห็นค่ายกลนั้น “นี่คือทรัพย์สมบัติล้ำค่าสูงสุดที่หลอมขึ้นโดย 72 นักปราชญ์, พิมพ์เขียวกลุ่มดาวคูหาสวรรค์! พวกคุณนำมันมาที่นี่จริงๆหรือ?”
“วันนี้พวกเรานำพิมพ์เขียวกลุ่มดาวคูหาสวรรค์มาที่นี่เพื่อป้องกันไม่ให้คุณหลบหนี วางใจได้เลยว่าวันนี้คือวันตายของคุณ!” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงคำราม
ฟึ่บ!
ภายใต้แสงที่สาดส่องจากกลุ่มดาว รอยแยกของมิติที่อยู่ด้านหลังหลัวลั่วชิงเริ่มสมานตัวเข้าหากัน ไม่ช้าก็น่าจะกลับสู่สภาพปกติ
จางเซวียนก็รู้สึกได้ว่ามิติที่อยู่โดยรอบถูกสกัดกั้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงรีบชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและจ้วงแทงมิติโดยรอบนั้น ซึ่งก็พบว่ามันแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ด้วยพละกำลังที่เขามีอยู่ในตอนนี้ก็ยังทำลายมันไม่ได้
เมื่ออยู่ในมิติที่ถูกปิดกั้น ก็ดูเหมือนว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจะกลายร่างเป็นยักษ์ปักหลั่นที่มีอานุภาพควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขายกนิ้วขึ้นมาและกระดิกมันเบาๆ
ฟิ้วววว!
ดาวดวงหนึ่งร่วงลงจากท้องฟ้าและพุ่งเข้าใส่หวู่เฉิน
ดาวดวงนั้นมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ร่วงลงมาด้วยความเร็วสูง น่าตกใจที่มันแข็งแกร่งกว่าการโจมตีโดยใช้ง้าวของนักปราชญ์เหยียนชิงเสียอีก ยังไม่ทันจะถึงเป้าหมาย ผู้พบเห็นก็จะรู้สึกได้ถึงเจตนาของดวงดาวที่พร้อมสังหารทุกสิ่งที่ขวางทาง
“จัดการ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับพละกำลังมหาศาลของดวงดาวที่ร่วงลงมา หวู่เฉินมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาใช้กระบี่ในมือสร้างรอยแผลที่นิ้วและให้อาวุธดื่มเลือดของเขา
กระบี่นั้นเรืองแสงอันน่าหวาดหวั่นออกมาขณะที่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันเพิ่มสูงขึ้นมาก มันเป็นแค่การจ้วงแทงธรรมดาๆ แต่มิติที่อยู่โดยรอบก็พังทลายไปเพราะการเคลื่อนไหวนั้น
กระบี่ปะทะกับดวงดาวที่ร่วงลงมาและตัดมันขาดเป็น 2 ชิ้นโดยไม่ลังเล
ในเวลาเดียวกัน ผลกระทบจากแรงปะทะก็ทำให้หวู่เฉินต้องถอยไป 8 ก้าว เลือดซึมออกจากมุมปาก ใบหน้าของเขาซีดเผือด
เห็นได้ชัดว่าแม้เขาจะยับยั้งดวงดาวได้ แต่ก็ใช้พละกำลังมากเกินไปในการปฏิบัติภารกิจนั้น
เมื่อเห็นว่าหวู่เฉินต้านทานพลังของดวงดาวได้ นัยน์ตาของนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงฉายแววอัศจรรย์ใจ แต่เขาก็คำรามเยาะและยกนิ้วขึ้นอีก “ดูซิว่าคุณจะปกป้องตัวเองได้สักกี่ครั้ง!”
ฟิ้ววววว!
ดาวอีกดวงหนึ่งร่วงลงจากท้องฟ้า
รู้ดีว่าหลัวลั่วชิงกำลังอยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานของการซึมซับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง หวู่เฉินไม่กล้าปะทะ เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็ชักกระบี่กลับคืนและบินหนี
“ช่วงเวลาอย่างนี้ เรารับมือไม่ไหว…”
คราวนี้หวู่เฉินไม่ได้ใช้กระบี่ เขาสะบัดข้อมือและนำแขนที่เป็นโครงกระดูกออกมา 2 ข้าง ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ดวงดาวที่อยู่เหนือศีรษะของเขา
ทันทีที่โครงกระดูกรูปแขนปรากฏ รังสีทรงพลังก็ระเบิดออกไปโดยรอบ ยิ่งหวู่เฉินบินสูงขึ้นเท่าไหร่ โครงกระดูกรูปแขนนั้นก็ดูจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ในชั่วพริบตา พวกมันก็ขยายขนาดจนแทบจะครอบคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า ดูเหมือนว่าหากเขามีเวลามากพอ แขนทั้งคู่ก็คงจะครอบคลุมได้ทั่วทั้งโลก
ฟึ่บ!
โครงกระดูกรูปแขนตรงเข้าเล่นงานดวงดาวที่กำลังร่วงลงมา ทำลายมันจนกลายเป็นธุลี
จากนั้น โครงกระดูกรูปแขนก็ยังไม่หยุด มันพุ่งสูงขึ้นไปกลางอากาศ พละกำลังมหาศาลของพวกมันทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวถึงกับสั่นสะท้าน ดูเหมือนว่าแม้แต่ของล้ำค่าก็ไม่อาจต้านทานแรงกดดันที่มาจากโครงกระดูกรูปแขนทั้งสองข้างนั้นได้!
“น่าทึ่งจริงๆ…”
“ถ้าแม้แต่โครงกระดูกรูปแขนยังทรงพลังขนาดนี้ ผมก็นึกไม่ออกเลยว่าตอนที่เจ้าของโครงกระดูกยังมีชีวิตอยู่ เขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน”
จางหงเทียนกับคนอื่นๆงงงันกับประสิทธิภาพการต่อสู้อันน่าทึ่งที่หวู่เฉินปลดปล่อยออกมา
ในฐานะนักปราชญ์โบราณ พวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงอานุภาพของพิมพ์เขียว ต่อให้พวกเขาใช้พละกำลังเต็มพิกัด ก็คงไม่สามารถฉีกกระชากมิติและเวลาที่ถูกที่ถูกควบคุมโดยพิมพ์เขียวนั้นได้ นับประสาอะไรกับจะเล่นงานดวงดาวที่ร่วงลงมา
แต่โครงกระดูกที่เป็นรูปแขนสองข้างนั้นสามารถทำให้พิมพ์เขียวทั้งอันสั่นสะเทือนได้ นั่นจะไม่หมายความว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันเหนือชั้นกว่าวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดหรือ?
“รังสีแบบนี้…”
ตรงกันข้ามกับความงงงันของทุกคน จางเซวียนตัวสั่นเมื่อรับรู้ได้ถึงรังสีที่แผ่ออกมาจากโครงกระดูกรูปแขนทั้งสองข้าง
เขารู้สึกได้ถึงความคุ้นเคยจากโครงกระดูกนั้น
“มันเป็นของไอ้โหด…” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความอัศจรรย์ใจ
โครงกระดูกรูปแขนข้างขวาที่อยู่กลางอากาศนั้นปราศจากกระดูกนิ้วมือ ซึ่งรังสีอันคุ้นเคยที่เขารู้สึกได้ก็ช่วยยืนยันข้อสันนิษฐาน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…มันเป็นของไอ้โหด!
แล้วทำไมแขนของไอ้โหดถึงไปอยู่ในครอบครองของหวู่เฉิน?
ยิ่งไปกว่านั้น พละกำลังของพวกมันยังน่าทึ่งมาก ขนาดได้รวมร่างเข้ากับร่างกายท่อนบนแล้ว ไอ้โหดที่อยู่ในหนังสือเทียบฟ้าก็ยังมีพละกำลังไม่เท่านี้
ทันใดนั้น ความสงสัยแคลงใจมากมายก็ถาโถมเข้าสู่หัวสมองของจางเซวียน เขาไม่อาจทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงกระอักเลือดออกมากองใหญ่และตวาดก้อง “พวกคุณรีรออะไร? คิดจะถอยในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้หรือ?”
เขาใช้พลังงานของตัวเองในการหล่อเลี้ยงพิมพ์เขียวนั้น ด้วยเหตุนี้ ความพยายามในการทำลายพิมพ์เขียวจึงทำให้พลังปราณของเขาได้รับผลกระทบจากการตีกลับอย่างรุนแรง
“แน่นอนว่าไม่!”
ตาเฒ่าหยูซึ่งเฝ้าดูการสู้รบจากด้านข้างตรงเข้ามาพร้อมกับเหล่านักปราชญ์โบราณของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“เฮ้ย…” จางเซวียนถึงกับเซด้วยความตกใจ
เขาแทบไม่เชื่อสายตา
จากบทสนทนาของพวกนั้น เห็นชัดเลยว่านักปราชญ์โบราณเหยียนชิงจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีความสัมพันธ์อันดีกับตาเฒ่าหยู!
หรือพูดอีกอย่างก็คือ 100 สำนักแห่งนักปราญ์ร่วมมือกันกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!
มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่?
ไม่ใช่เฉพาะจางเซวียน จางหงเทียนกับคนอื่นๆก็มองหน้ากันอย่างตกตะลึง
ในแง่ของความรู้สึก ความจงเกลียดจงชังที่ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มีต่อเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นนั้นไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าความจงเกลียดจงชังของเหล่านักรบจากสภาปรมาจารย์ แล้วทำไมพวกเขาจึงไปร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ?
ฟึ่บ!
ตาเฒ่าหยูสะบัดข้อมือ แล้วเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่ทำจากฟางก็ปรากฏ โครงกระดูกรูปแขนที่กำลังฉีกกระชากพิมพ์เขียวถึงกับหยุดชะงัก ราวกับพละกำลังของมันถูกชุดฟางนั้นทำลาย
“เร็วเข้า รีบสังหารเขา!” ตาเฒ่าหยูตวาดก้อง
ส่วนหวู่เฉินก็หน้าดำคร่ำเครียด เขากัดนิ้ว แล้วเลือดหยดหนึ่งก็หยดลงบนโครงกระดูกรูปแขน แต่โครงกระดูกนั้นก็ยังคงไม่ไหวติง ราวกับพวกมันกำลังจำศีล
หวู่เฉินพยายามบังคับโครงกระดูก แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมขยับเขยื้อน เขากำหมัดแน่นและคำรามใส่ตาเฒ่าหยูที่อยู่กลางอากาศ “ตาเฒ่าหยู คุณมันทรยศ! ไปร่วมมือกับ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ได้อย่างไร? ไม่กลัวว่าผมจะเล่นงานคุณหรือ?”
“ฮ่า! คุณน่ะต้องหนีเอาชีวิตรอดไปให้ได้นะถ้าอยากจะฆ่าผม!” ตาเฒ่าหยูหัวเราะหึๆโดยปราศจากความหวาดกลัว “อีกอย่าง คุณควรจะรู้ว่าคนที่อยากเอาชีวิตคุณน่ะไม่ใช่ผม แต่คืออำมาตย์เฉินหลิง! ถูกต้องใช่ไหม, อำมาตย์เฉินหย่ง?”
“อำมาตย์เฉินหย่ง? หรือว่า…” จางเซวียนตัวแข็งเมื่อได้ยินคำนั้น นัยน์ตาของเขาพร่าเลือนด้วยความไม่อยากเชื่อขณะพึมพำ “แท้ที่จริงแล้ว หวู่เฉินคือ…อำมาตย์เฉินหย่งแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นหรือ?”