อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1775 อำลา
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1775 อำลา
ฟึ่บ!
ทันทีที่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงยอมจำนน มันก็หายวับไปจากมือของสาวน้อย ราวกับถูกขโมยไป
ครืดดดดด!
ด้วยกระแสพลังงานเกรี้ยวกราดที่อยู่ในพละกำลังของหลัวลั่วชิง พิมพ์เขียวที่เคยปิดกั้นพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมดได้รับแรงกดดันอย่างหนัก เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่แพร่กระจายไปทั่ว
รอยร้าวเหล่านั้นปรากฏอยู่ทุกที่ เผยให้เห็นรอยแยกสีดำที่เหมือนประตูสู่โลกบาดาล
ขณะที่รอยร้าวเหล่านั้นเริ่มปรากฏ แรงดึงดูดมหาศาลก็พุ่งเข้าใส่หลัวลั่วชิง ดูเหมือนพยายามจะลากเธอออกไป
สาวน้อยขมวดคิ้ว ด้วยการโบกมือของเธอ แท่นที่อยู่กลางอากาศก็ลอยเข้ามาและหยุดนิ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้า เธอยืนอยู่เหนือแท่นนั้น แรงดึงดูดที่กำลังฉุดเธอออกไปค่อยๆเบาลง จนทำให้เธอยืนได้อย่างมั่นคง
“จางเซวียน…”
เมื่อตั้งตัวได้ สาวน้อยก็มองไปรอบๆห้อง ก่อนในที่สุดสายตาของเธอจะหยุดอยู่ที่จางเซวียน
จางเซวียนตัวแข็งทื่อเมื่อมองร่างที่อยู่บนแท่น ร่างของเธอค่อยๆหลอมรวมเข้ากับอีกร่างหนึ่งในความทรงจำของเขา เขารู้สึกได้ถึงอาการปวดหัวอย่างหนักที่เข้าจู่โจม
“คุณคือ…คุณคือเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นหรือ?”
ร่างที่เขาเคยเห็นในพระราชวังชิวอู๋กับมิติแห่งฤดูกาลทั้ง 4 ดูจะคุ้นตาด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แต่จางเซวียนก็ไม่เคยรู้ว่าทำไม ไม่น่าเชื่อเลยว่าแท้ที่จริงแล้วคือหลัวลั่วชิง!
เธอไม่ใช่ทั้งผู้เชี่ยวชาญของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์หรือร่างแปลงของผู้เชี่ยวชาญจากเผ่าพันธุ์อสูร แต่เธอคือ…เทพเจ้าสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
ในตอนนั้น จางเซวียนรู้สึกถึงแรงกดดันหนักหน่วงที่ถาโถมเข้าสู่หัวใจของเขา แทบจะบีบลมหายใจสุดท้ายให้หลุดลอยจากร่าง
จางเซวียนส่ายหน้าอย่างไม่อยากเชื่อและตั้งคำถาม “คุณบอกผมไม่ใช่หรือว่าคุณไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ?”
เขาไม่เข้าใจความปรารถนาของหลัวลั่วชิงที่จะปกปิดตัวตนของเธอ แต่ก็ยินดีจะรอคอยจนถึงวันที่เธอพร้อมเปิดเผย และไม่เคยหวาดกลัวว่าสุดท้ายทั้งคู่จะต้องยืนอยู่คนละฝั่งกัน เขาจึงถามเธอว่าเธอเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นหรือเปล่าและมีเจตนาทำร้ายมวลมนุษย์หรือไม่
ในครั้งนั้น เธอตอบว่าเธอไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจและไม่มีเจตนาร้ายต่อมวลมนุษย์…
ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหกหรือ?
เขาไม่ได้ใส่ใจอะไร ไม่ว่าหลัวลั่วชิงจะเป็นใครหรืออยู่ในสังกัดของกลุ่มอำนาจไหน แต่ก็ไม่อาจทนให้ตัวเองถูกหลอกและใช้เป็นเครื่องแสวงหาผลประโยชน์โดยคนที่เขารัก
เห็นอาการคลุ้มคลั่งของจางเซวียน หลัวลั่วชิงนัยน์ตาแดงก่ำ
น้ำเสียงของเธอบ่งบอกความตื่นตระหนกขณะละล่ำละลักอธิบาย “ฉันไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ และมันก็มีเหตุผลว่าทำไมฉันถึงเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น”
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ รอยแยกของมิติก็เปิดกว้างขึ้นมาทันที แรงดึงดูดที่เคยพยายามฉุดเธอออกไปเมื่อครู่ดูจะรุนแรงขึ้น เธอเริ่มสูญเสียการทรงตัว
ขณะที่พลังงานจากความมืดมิดคำรามอย่างเกรี้ยวกราด วิหารแห่งขงจื๊อทั้งหลังก็เริ่มสั่นสะท้านไม่หยุด แม้แต่ทวีปแห่งปรมาจารย์ก็สั่นไปด้วย
ราวกับเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของโลก
“พละกำลังของฉันในตอนนี้เหนือกว่าที่โลกจะแบกรับไหว ฉันจึงอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้น ทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งทวีปจะต้องพังพินาศ…” เมื่อเห็นความวอดวายที่เกิดขึ้นรอบตัว หลัวลั่วชิงส่ายหน้า เธอก้มศีรษะลงเล็กน้อยและพึมพำ “ลาก่อน…จางเซวียน ฉันมีความสุขที่ได้พบคุณ มีความสุขมาก…มีความสุขจริงๆ…”
ความมืดมิดถาโถมเข้าใส่แท่นนั้นและเริ่มกลืนกินร่างของหญิงสาว
ราวกับตกลงไปในบ่อน้ำหมึก ดูเหมือนหลัวลั่วชิงพร้อมจะหายตัวไปได้ทุกขณะ
“ลั่วชิง…เพราะอะไร? คุณยังไม่ได้อธิบายให้ผมฟังเลยนะ มันเกิดอะไรขึ้น?”
เห็นความมืดมิดกำลังจะพรากหลัวลั่วชิงไป จางเซวียนรีบชักกระบี่เปลวเพลิงสีดำออกมา จากนั้นก็พุ่งเข้าไปอยู่ข้างๆเธอ
เขายื่นมือออกไปคว้ามือเธอไว้ ตั้งใจจะฉุดเธอออกจากความมืดมิด แต่ไม่ว่าจะออกแรงดึงแค่ไหน หลัวลั่วชิงก็ไม่ขยับเขยื้อน
ความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนหลุมดำที่ปราศจากขอบเขต ใครก็ตามที่ตกลงไป ต่อให้เป็นนักปราชญ์โบราณก็ไม่มีทางหนีรอด
“จางเซวียน ไม่เป็นไรหรอก อย่าสิ้นเปลืองพละกำลังของคุณเลย โลกทุกใบมีกฎเกณฑ์ของมัน หากฉันยังดื้อดึงอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะนำหายนะมาสู่โลกใบนี้” หลัวลั่วชิงพูดขณะบีบมือจางเซวียนแน่น “ได้โปรดไว้ใจฉันเถอะ ฉันไม่เคยโกหกคุณแม้แต่คำเดียว…”
สัมผัสอันอ่อนโยนและน้ำเสียงนุ่มนวลของเธอเปรียบเสมือนความอบอุ่นที่เข้าปลอบประโลม ร่างกายเย็นเยือกของจางเซวียน มีข้อสงสัยมากมายอยู่ในใจของเขา แต่เขาก็อยากไว้ใจสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า ทุกช่วงเวลาและทุกอย่างที่ทั้งคู่ได้เผชิญมาด้วยกัน…เขาไม่เชื่อว่าเรื่องเหล่านั้นจะเป็นเรื่องโกหก
จางเซวียนถามด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้านเล็กน้อย “ในอนาคต ผมจะพบตัวคุณได้อย่างไร?”
เขารู้ดีว่าปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเธอกำลังจะจากไป ซึ่งการต้องแยกจากเธอชั่วนิรันดร์นั้นเป็นเรื่องเจ็บปวดเกินกว่าที่เขาจะทนได้
ถ้าเธอต้องจากไป เขาจะอุทิศเวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาเธอ!
“เราจะพบกันอีกครั้งเมื่อวาสนานำพาให้เรามาพบกัน อีกอย่าง การมีฉันอยู่ก็มีแต่จะทำร้ายคุณ…” หลัวลั่วชิงมองชายหนุ่มที่ยืนตรงหน้าเธอด้วยนัยน์ตาที่มีน้ำตารื้นและพึมพำ “ลาก่อน…ชายที่ฉันรัก!”
ฟึ่บ!
ในชั่วพริบตา ร่างของเธอก็ถูกความมืดกลืนกินและหายวับไป
“ไม่!” จางเซวียนร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวังขณะรีบพุ่งเข้าไป
เขาตั้งใจจะบุกเข้าไปในรอยแยกแห่งมิติด้วย แต่ก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อพบว่าเขากำลังพุ่งเข้าใส่กำแพงและถูกผลักกระเด็นออกมา
“เป็นอย่างนี้ไม่ได้! ผมจะไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น!” จางเซวียนคำรามขณะสะบัดกระบี่เปลวเพลิงสีดำเข้าใส่รอยแยกเหล่านั้น
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เกิดเปลวไฟกระเด็นไปทั่ว
แม้หลัวลั่วชิงจะถูกฉุดเข้าไปในรอยแยกสีดำนั้นอย่างง่ายดาย แต่จางเซวียนก็พบว่ามันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณเสียอีก ไม่ว่าเขาจะออกแรงแค่ไหน มันก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
ราวกับว่ากระบี่เปลวเพลิงสีดำคือปุยฝ้ายกองหนึ่งที่พุ่งเข้าปะทะกำแพงโลหะ มันไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้สักนิดเดียว
หลังจากหลัวลั่วชิงเข้าไปได้ไม่นาน รอยแยกนั้นก็หดเล็กลงเรื่อยๆก่อนจะหายวับไปในที่สุด
“ไม่!”
จางเซวียนเหมือนคนเสียสติ เขากวัดแกว่งดาบอย่างบ้าคลั่ง แต่ต่อให้กระบี่เปลวเพลิงสีดำจะทรงพลังสักแค่ไหนก็ไม่อาจเปิดรอยแยกได้อีก ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตา
“นายท่าน กวัดแกว่งดาบไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก” เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของจางเซวียน “คนรักของคุณน่าจะมาจากโลกที่สูงส่งกว่านี้ จนกว่าพละกำลังของคุณจะถึงขั้น คุณจะไม่มีทางข้ามผ่านปราการแห่งมิติได้!”
จางเซวียนสูดหายใจลึกและขับเคลื่อนพลังจิตวิญญาณเพื่อระงับสติอารมณ์ เขากำหมัดแน่นและตั้งคำถาม “คุณบอกว่าหลัวลั่วชิงมาจากโลกที่สูงส่งกว่านี้หรือ?”
ผู้ที่พูดขึ้นมาเมื่อครู่นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากไอ้โหด
ในแง่ของความเข้าใจในทวีปแห่งปรมาจารย์ แน่นอนว่าไอ้โหดมีความรอบรู้เหนือกว่าเขามาก
“ใช่แล้ว ตอนที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมรู้ว่ามีอีกมิติหนึ่งที่มั่นคงเสียยิ่งกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์ และสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นั่นก็แข็งแกร่งกว่าพวกเรา มีความเป็นไปได้ว่าเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเรามีต้นกำเนิดจากหนึ่งในโลกเหล่านั้น แต่มาปรากฏตัวอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์” ไอ้โหดตอบ
ดูเหมือนมันจะรื้อฟื้นความทรงจำมาได้บางส่วน
“แต่ปราการที่ปิดกั้นระหว่างโลกทั้ง 2 ใบก็ทรงพลังมาก มีแต่ผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งพอเท่านั้นจึงจะทำลายมันได้ ในช่วงเวลานั้น แม้ด้วยระดับความแข็งแกร่งของผมที่วรยุทธขั้นการทำลายล้างความว่างเปล่าของนักปราชญ์โบราณ ผมก็ยังฉีกกระชากปราการนั้นไม่ได้”
“แม้แต่นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการทำลายล้างความว่างเปล่าก็ฉีกกระชากปราการไม่ได้หรือ? นั่นหมายความว่าจะไม่มีใครทำได้เลยใช่ไหม?”จางเซวียนกัดฟันด้วยความอัศจรรย์ใจ
วรยุทธขั้นการทำลายล้างความว่างเปล่าคือขั้นสูงสุดที่นักปราชญ์โบราณจะเข้าถึง หากแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นยังปฏิบัติภารกิจนี้ไม่ได้ แล้วใครกันที่จะทำสำเร็จ?
“แม้ผมจะทำไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครทำได้ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะเคยทำสำเร็จมาแล้ว” ไอ้โหดพูด
“ปรมาจารย์ขง?”
“ใช่ ตามประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ที่สภาปรมาจารย์ ปรมาจารย์ขงหายตัวไปก่อนจะสิ้นอายุขัย ด้วยระดับความแข็งแกร่งของเขา แน่นอนว่าไม่มีใครทำร้ายเขาได้ ถ้าเขาต้องการ เขาก็สามารถเข้าสู่การจำศีลหรือใช้วิธีการต่างๆเพื่อยืดอายุขัย ทำไมถึงต้องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนั้น?”
“เอ่อ…” จางเซวียนเงียบไป
เขาไม่เคยพิจารณาเรื่องการหายตัวของปรมาจารย์ขงมาก่อน แต่การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของรอยแยกแห่งมิติสีดำที่กลืนกินหลัวลั่วชิงเข้าไป รวมทั้งความรู้ที่ว่ายังมีโลกที่สูงส่งกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์ได้ก่อเกิดเป็นความคิดบางอย่างขึ้นในหัวสมองของเขา
บางที หลัวลั่วชิงอาจเหมือนปรมาจารย์ขง คือมีพละกำลังที่เหนือกว่าขีดจำกัดของโลกใบนี้ เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากถูกบีบให้ต้องจากทวีปแห่งปรมาจารย์ไป
ด้วยเหตุนี้ การหายตัวไปของปรมาจารย์ขงจึงเกิดขึ้นอย่างปุบปับและเงียบเชียบ จนถึงขนาดที่ไม่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
“ถ้าปรมาจารย์ขงมีพละกำลังระดับนั้นจริงๆ เราก็น่าจะทำได้เหมือนกัน” จางเซวียนพึมพำทั้งที่ยังกัดฟันแน่น
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ตั้งใจว่าจะต้องพบหลัวลั่วชิงอีกครั้งให้ได้ ในเมื่อปรมาจารย์ขงสามารถทำลายปราการแห่งมิติและก้าวเข้าสู่โลกที่สูงกว่า เขาก็จะต้องทำแบบนั้นได้เหมือนกัน!
“ในเมื่อนายหญิงจากไปแล้ว ผมก็ขอตัว!”
ความเงียบงันถูกทำลายด้วยเสียงหัวเราะลั่นของฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลขหนึ่ง
การระเบิดพละกำลังของหลัวลั่วชิงเมื่อครู่นี้ได้ทำลายพิมพ์เขียวจนสิ้นซาก เปิดช่องให้อำมาตย์เฉินหย่งหลบหนีได้