อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1783 ฉากสุดท้ายที่สภาปรมาจารย์
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1783 ฉากสุดท้ายที่สภาปรมาจารย์
จ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และหลัวฉีฉีเข้าสู่หอลำดับแรกพร้อมกับเขา แต่เพราะคนเหล่านั้นไม่ผ่านบททดสอบ จึงถูกส่งทะลุมิติออกไป แม้จางเซวียนจะไม่รู้ว่าพวกเธอถูกส่งทะลุมิติออกไปที่ไหน แต่ก็มั่นใจว่าไม่น่าจะเจออันตราย จึงไม่ได้กังวลมากนัก
ส่วนเจิ้งหยาง เขาไม่ได้พบชายหนุ่มตั้งแต่เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ แต่ตามที่จ้าวหย่าบอกไว้ ดูเหมือนเจิ้งหยางจะได้พบกับความโชคดีบางอย่าง
ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตาและการที่ทุกคนมารวมตัวกันหมด ก็บ่งบอกชัดเจนว่าพวกเขาได้ออกจากวิหารแห่งขงจื๊อมายังสถานที่อีกแห่งแล้ว
หวังหยิ่งก้าวออกมาและอธิบายด้วยสีหน้ากังวลใจ “ใช่ พวกเรากลับมาที่สภาปรมาจารย์พร้อมกับปรมาจารย์คนอื่นๆ ท่านอาจารย์…คุณสลบไปถึง 3 วันนะ”
“3 วัน?” จางเซวียนผงะ
เขาพลันนึกถึงบทสนทนาอันรางเลือนระหว่างตัวเขากับหลัวลั่วชิง จึงรีบส่งจิตใต้สำนึกเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า แล้วก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าประตูบานมหึมาปิดอยู่ จางเซวียนพยายามผลักประตู แต่ประตูก็ไม่ขยับเขยื้อน
เป็นไปได้ว่ามันน่าจะอยู่ระหว่างการยกระดับตัวเอง…จางเซวียนครุ่นคิด
คราวที่แล้วเขาก็สลบไปเมื่อหอสมุดเทียบฟ้าเข้าสู่กระบวนการยกระดับ จางเซวียนจึงไม่กังวลใจมากนัก
เมื่อครั้งก่อน การยกระดับสิ้นสุดลงก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวตื่น จึงสามารถเข้าถึงมันได้ทันทีที่ต้องการ แต่คราวนี้ ดูเหมือนเขาถูกปลุกให้ฟื้นจากการหลับไหลก่อนเวลาอันควร จึงไม่อาจเข้าถึงหอสมุดเทียบฟ้าได้จนกว่าการยกระดับจะเสร็จสิ้น
รู้ดีว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะ จางเซวียนจึงตัดสินใจว่าตอนนี้จะยังไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เขาหันมามองกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่เลวนะ ดูเหมือนพวกคุณจะพัฒนาขึ้นระหว่างการเดินทางสู่วิหารแห่งขงจื๊อ” จางเซวียนชมเชย
ลูกศิษย์ทุกคนของจางเซวียนสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกแล้ว พลังงานมหาศาลพลุ่งพล่านทั่วร่างของพวกเขา และดูเหมือนทุกคนพร้อมจะฝ่าด่านวรยุทธได้ทุกขณะ
ลงท้าย ตัวเขาก็ล้าหลังและมีวรยุทธอ่อนด้อยที่สุดในกลุ่ม
แค่คิดก็ท้อใจแล้ว
จางเซวียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปมองท่านพ่อกับท่านแม่ ไม่ช้านัยน์ตาของเขาก็เบิกโพลง
เขาเก็บผลโพธิ์ไว้ 2 ผล ตั้งใจจะให้เซียนดาบชิงเหมิงได้กินเพื่อผลักดันการยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะได้พบกับความโชคดีบางอย่างอีกครั้ง ทำให้ยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้สำเร็จ
เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ดูเหมือนทั้งคู่จะอยู่ไม่ไกลจากวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ
“ผมมีศิลปะเพลงดาบที่ท่านพ่อท่านแม่ควรฝึกฝน ผมเชื่อว่ามันน่าจะช่วยให้ท่านพ่อท่านแม่ก้าวข้ามด่านคอขวดได้” จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระดิกนิ้วเบาๆ
ฟิ้วววว!
หนังสือเทคนิควรยุทธถูกถ่ายทอดเข้าสู่หัวสมองของเซียนดาบชิงเหมิง
เมื่อตอนอยู่ที่ภูเขาหนังสือ จางเซวียนได้อ่านหนังสือมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้เขามีความรู้มากพอที่จะแก้ไขปรับปรุงศิลปะเพลงดาบที่เซียนดาบชิงเหมิงฝึกฝนร่วมกันได้ แม้จะยังห่างไกลกับการเหนือชั้นกว่าสวรรค์ แต่ก็แน่นอนว่าสิ่งนี้จะทำให้เซียนดาบชิงเหมิงมีความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบในระดับที่เข้าใกล้การฝ่าด่านวรยุทธมากขึ้นอีก
ขอแค่พวกเขาหมั่นเพียรฝึกฝน ก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะมาถึงวันที่ทั้งคู่ก้าวข้ามขีดจำกัดได้และกลายเป็นนักปราชญ์โบราณเต็มตัว มีพละกำลังมากพอจะควบคุมทั้งโลก
“เจิ้งหยางกับหวังหยิ่ง ผมจะมอบผลโพธิ์สองผลนี้ให้พวกคุณพร้อมกับเทคนิควรยุทธการบ่มเพาะหัวใจ ตั้งใจฝึกฝนนะ” จางเซวียนหันไปมองลูกศิษย์ของเขาและมอบผลโพธิ์สองผลสุดท้ายให้
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนสูงกว่าเงื่อนไขของการฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณแล้ว ผลโพธิ์จึงไม่มีประโยชน์กับเขาอีกต่อไป แทนที่จะหวงไว้ ก็ควรมอบให้ลูกศิษย์ได้ใช้ประโยชน์จะดีกว่า
“รากไม้อันนี้คือหัวใจอันหนึ่งในบรรดาหัวใจของ 6 มิติรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อ มันมีอานุภาพน่าทึ่งในการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ หวังหยิ่ง, ผมอยากให้คุณพยายามจัดการให้มันยอมจำนน มันจะมีประโยชน์มากในการพัฒนาศักยภาพของคุณในฐานะผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ”
“เจิ้งหยาง ผมได้หอกเล่มนี้มาจากผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น ถึงมันจะมีอานุภาพด้อยกว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรของผม แต่ก็ยังเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสูงสุด มันจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของคุณขึ้นอีกมาก…”
เพราะจางเซวียนสามารถทำให้หัวใจของทั้ง 6 มิติรอบนอกยอมจำนน นักรบคนอื่นจึงไม่มีสิทธิ์ครอบครองของล้ำค่าเหล่านั้น ทันทีที่เขาออกจากหอลำดับแรก หัวใจทุกอันก็เข้าไปอยู่ในแหวนเก็บสมบัติของเขา
“ลู่ชง ผมไม่อยากให้คุณคิดว่าผมลำเอียงนะ เพราะจิตวิญญาณอันทรงพลังของคุณ คุณสามารถยกระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณได้รวดเร็วอยู่แล้ว ผลโพธิ์จึงไม่มีประโยชน์กับคุณมากนัก ผมจะมอบฉนวนแห่งจิตวิญญาณอันนี้ให้คุณแทน มันสามารถกลืนกินจิตวิญญาณของผู้อื่นและแปรสภาพมันให้กลายเป็นพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเพื่อบ่มเพาะร่างกายของคุณได้ และผมไว้ใจว่าคุณจะไม่ใช้อานุภาพของมันไปในทางชั่วร้าย หยวนเทาเป็นคนแรกที่เข้าสู่การทดสอบนักปราชญ์โบราณก็จริง แต่ผมก็เชื่อว่าคุณยังคงมีโอกาสมากที่สุดที่จะฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักปราชญ์โบราณได้คนแรก!”
จางเซวียนมอบฉนวนแห่งจิตวิญญาณซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของผู้นำสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณให้ลู่ชง
หากใช้มันให้ดี ฉนวนแห่งจิตวิญญาณจะทำให้ลู่ชงมีพลังจิตวิญญาณอันเข้มข้นและไร้ขอบเขต ซึ่งสำหรับเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ไม่มีทรัพย์สมบัติใดที่จะล้ำค่ากว่านี้
ส่วนคริสตัลเยือกแข็ง ถึงมันจะไม่มีพลังงานเย็นเยือกแล้ว แต่ก็ยังเข้ากันได้ดีกับสภาวะปราณหยินบริสุทธิ์ของจ้าวหย่า จางเซวียนจึงมอบมันให้เธอ
ปลาคาร์พตกเป็นของเว่ยหรูเหยียน และอสูรผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 ตกเป็นของหยวนเทา
…..
หลังจากแบ่งสรรปันส่วนของล้ำค่าที่เขาได้มาจากวิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนก็เข้าสู่ภาพวาดผืนผ้าใบสี่ฤดู และไม่ช้าก็กลับออกมาด้วยสีหน้าที่ซีดเผือดไปเล็กน้อย
“ผมเพิ่งแบ่งนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณบางส่วนเข้าสู่ภาพวาดแต่ละภาพโดยใช้ศาสตร์แห่งมิติของผม พวกคุณรับมันไปคนละภาพนะ” จางเซวียนพูดขณะแจกจ่ายภาพวาดให้ฝูงชน
ปรมาจารย์ขงได้แบ่งเศษเสี้ยวหนึ่งของโลกมาเก็บไว้ในภาพวาด ทำให้มันอยู่ยืนนานได้หลายหมื่นปีโดยปราศจากการสึกหรอ หลังจากได้อ่านหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนที่เกี่ยวกับภาพวาดเมื่อตอนอยู่ที่ภูเขาหนังสือ ความเข้าใจในศิลปะการวาดภาพของจางเซวียนก็เข้าถึงระดับเดียวกันกับปรมาจารย์ขง สำหรับความเชี่ยวชาญของเขาในตอนนี้ การแบ่งมิติที่อยู่ภายในผืนผ้าใบสี่ฤดูและแจกจ่ายมันออกไปไม่ใช่เรื่องยากอีกแล้ว
ด้วยภาพวาดพวกนี้ ถึงเขาจะไม่ได้อยู่ข้างคนเหล่านั้น แต่ท่านพ่อท่านแม่และบรรดาลูกศิษย์ของเขาก็จะยังสามารถฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณได้
“เซวียนเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น? แม่ไม่รู้ว่าแม่คิดมากไปหรือเปล่า แต่ดูเหมือนลูกจะมีความหนักใจบางอย่างอยู่นะ”
เห็นลูกชายของเธอแจกจ่ายทรัพย์สมบัติล้ำค่าโดยไม่ลังเลและไม่เสียดาย ทั้งที่ได้แต่ละอย่างมาด้วยความยากลำบาก เซียนดาบเหมิงอดกังวลไม่ได้
เธออาจจะคิดไปเอง แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม
เป็นความจริงที่ว่าตระกูลจางสูญเสียนักปราชญ์โบราณคนสุดท้ายไปแล้ว แต่ปรมาจารย์หยางก็ให้คำมั่นสัญญาว่าใครก็ตามที่บังอาจสร้างปัญหาให้ตระกูลจางจะต้องเผชิญหน้ากับเขา
อีกอย่าง อาวุธของลูกชายของเธอก็ฝ่าด่านวรยุทธไปถึงขั้นนักปราชญ์โบราณแล้ว หยวนเทาก็มีพละกำลังเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณมือใหม่
ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ พูดได้เลยว่าตระกูลจางแข็งแกร่งกว่าที่เคย
แน่นอนว่าการสูญเสียจางหงเทียนซึ่งเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของตระกูลจาง แต่ปรมาจารย์หยางและกระบี่เปลวเพลิงสีดำก็เป็นนักปราชญ์โบราณที่ไม่ได้เข้าสู่การจำศีลและทำทุกอย่างได้อย่างอิสระ จึงเป็นธรรมดาที่ทั้งคู่จะมีอำนาจและแข็งแกร่งกว่าจางหงเทียนมากแม้จะมีระดับวรยุทธต่ำกว่า
แน่นอนว่าตระกูลจางคือผู้ชนะและได้ประโยชน์สูงสุดในการเดินทางเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อครั้งนี้ อนาคตอันรุ่งเรืองของพวกเขานั้นเป็นอันรับประกันได้ แต่เธอกลับรู้สึกว่าลูกชายรีบร้อนที่จะแจกจ่ายทรัพย์สมบัติ ราวกับเวลาของเขาเหลือน้อยเต็มที…
“ไม่มีอะไรหรอก” จางเซวียนตอบยิ้มๆ เขาลุกขึ้นและยืดหลังบิดขี้เกียจก่อนจะถามว่า “สามวันที่ผ่านมานี่ มีคนจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่มาบ้างไหม?”
“รองประธานเหรินจากสภาปรมาจารย์บอกไว้ว่าให้ลูกไปพบเขาหลังจากที่ฟื้น” เซียนดาบชิงพูด
“ผมเข้าใจแล้วล่ะ…ตอนนี้ผมจะปล่อยให้ทุกคนฝึกฝนวรยุทธนะ ตั้งใจฝึกและพยายามฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระหว่างนี้ผมจะไปที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่” จางเซวียนพูดก่อนจะโบกมืออย่างไม่รู้สึกอะไรและเดินออกจากห้อง
“ท่านอาจารย์ พวกเราจะไปด้วย” จ้าวหย่าพูด
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เธอเองก็ไม่สบายใจ มีลางสังหรณ์ว่าเรื่องเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น
“ไม่ต้องตามผมไป ไม่ว่าใครทั้งนั้น!” จางเซวียนสั่งการเฉียบขาด “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมอยากให้พวกคุณทำตามคำสั่งของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ห้ามก่อเรื่องยุ่งยากโดยเด็ดขาด!”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ทุกคนมองหน้ากันอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างคนได้แต่สบตากัน ขณะที่ร่างของจางเซวียนหายลับไปสู่ทางเดินแห่งมิติ
ตอนที่หลัวลั่วชิงฉกฉวยเอามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไปและเปิดเผยตัวเองว่าเป็นเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ พวกเขาออกจากหอลำดับแรกมาแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้แต่เป็นห่วงจางเซวียน เพราะแทบไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดด้วยความสงสัย เสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องขึ้นกลางอากาศ มันดังไปทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์
“หัวหน้าตระกูลจาง, จางเซวียน มีความผิดฐานที่เป็นผู้ชักนำเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นให้เข้าสู่หอลำดับแรกเพื่อฉกฉวยเอามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไป แม้จะเป็นการกระทำโดยไม่จงใจ แต่พฤติกรรมนั้นก็ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์หมิ่นเหม่ เพราะความรู้สึกผิดครั้งนี้ เขาเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเองที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ขอให้เหล่าปรมาจารย์และมวลมนุษย์ถือเอาสิ่งนี้เป็นบทเรียนว่าอย่าได้หูหนวกตาบอดไปกับความหลงระเริงใดๆ ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจผลักดันเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราให้ต้องเดือดร้อน…”
“ท่านอาจารย์!”
“เซวียนเอ๋อ!”
ในตอนนั้นเองที่ทุกคนพลันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาไม่อาจทำใจให้เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ต่างคนต่างพุ่งออกจากห้อง