อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1790 หรือว่าหนังสือนี่คือ…
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1790 หรือว่าหนังสือนี่คือ…
ครืดดดด!
รอยร้าวระหว่างประตูบานใหญ่ทั้ง 2 บานค่อยๆขยายกว้างขึ้น จางเซวียนเพ่งสมาธิเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า
เขาอยากรู้มากว่าหอสมุดเทียบฟ้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างหลังจากการยกระดับตัวเองตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาคือชั้นหนังสือและหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนอยู่เต็มทั่วทั้งพื้นที่ ยาวไปจนสุดลูกหูลูกตาเหมือนอย่างที่เคย
ครั้งแรกที่เขาเข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้า ส่วนใหญ่หนังสือเหล่านี้จะเป็นภาพลวงตา เหมือนอะไรสักอย่างที่ถูกนำมาใส่ไว้เพื่อไม่ให้ชั้นหนังสือดูโล่งเกินไป แต่ตอนนี้ชั้นหนังสือเหล่านั้นเต็มไปด้วยหนังสือของจริงมากมายนับไม่ถ้วนที่สามารถถมทะเลสาบขนาดใหญ่ให้เต็มได้หากโยนมันลงไปทั้งหมด
ตลอด 1 ปีที่จางเซวียนใช้เวลาเดินทางตระเวนทั่วทั้งทวีปแห่งปรมาจารย์ ปริมาณหนังสือที่เขาได้อ่านนั้นมีมากกว่าที่ใครสักคนหนึ่งจะอ่านได้ในชั่วชีวิต ในแง่ของขอบเขตและความลึกซึ้งของความรู้ ไม่มีใครเทียบชั้นกับเขาได้อีกต่อไป
โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ผ่านภูเขาหนังสือ จางเซวียนไม่ได้ใช้เวลานานนักที่นั่น แต่หนังสือที่เขาได้อ่านนั้นครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงอันหลากหลายตั้งแต่ยุคสมัยดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน ทำให้ หัวสมองและภูมิปัญญาของเขาก้าวหน้าขึ้นมาก
“เอ๊ะ? ดูเหมือนจะมีบันไดมาเพิ่มตรงนั้น…” จางเซวียนเดินไปรอบๆหอสมุดเทียบฟ้า และรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เขาต้องเลิกคิ้ว
แม้หอสมุดเทียบฟ้าจะมีเพดานสูงมาก แต่ที่ผ่านมา ก็ดูเหมือนจะเป็นอาคารชั้นเดียวสำหรับเขา ใครจะไปคิดว่าบันไดช่วงหนึ่งจะปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันกลางหอสมุด หรือว่าบนนั้นจะมีของล้ำค่าอยู่?
จางเซวียนรีบขึ้นบันไดไป แต่หลังจากก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว ก็เซจนเกือบล้มลงกับพื้น
“บ้าจริง! บันไดนี่ของปลอมหรือ?” จางเซวียนมีสีหน้าไม่สู้ดี
ขั้นบันไดที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นภาพลวงตาอย่างแน่นอน เหมือนกับหนังสือจำนวนหนึ่งที่เขาได้เห็นในช่วงแรก อย่าว่าแต่จะก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเลย แค่แตะต้องมันยังไม่ได้!
สร้างขั้นบันไดขึ้นมาใหม่แต่ไม่อนุญาตให้เขาขึ้นไป หอสมุดเทียบฟ้าคิดอะไรอยู่?
“หรือเราต้องก้าวข้ามขั้นบันไดในชีวิตจริงให้ได้ก่อน เพื่อให้บันไดนี้มีจริง?” จางเซวียนสงสัย
ครั้งแรกที่เขาได้หอสมุดเทียบฟ้ามา หนังสือที่อยู่ในนั้นจับต้องไม่ได้ หยิบมาอ่านก็ไม่ได้ แต่หลังจากที่เขาได้อ่านหนังสือมากมาย ก็สามารถเติมชั้นหนังสือเหล่านั้นให้เต็มไปด้วยหนังสือที่จับต้องได้จริง หรือว่าขั้นบันไดนี้ก็เป็นทำนองเดียวกัน?
เพียงแต่…เขาพอเข้าใจแนวคิดเรื่องการอ่านหนังสือเพื่อเติมเต็มชั้นหนังสือ แต่เขาจะไปหาขั้นบันไดที่มีลักษณะเดียวกันเพื่อทำให้บันไดนี้จับต้องได้ขึ้นมาได้อย่างไร?
“ช่างมันเถอะ!” เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น จางเซวียนส่ายหัวก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป
ครู่ต่อมา เขาก็หยุด
นอกจากขั้นบันได จางเซวียนยังรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในโครงสร้างภายในของหอสมุดเทียบฟ้า ที่ส่วนลึกของหอสมุดเทียบฟ้า มีห้องขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นโดยที่เขาไม่รู้มาก่อน
เมื่อมองจากภายนอก ห้องนั้นมีรูปร่างคล้ายกับหนังสือเล่มใหญ่
“ห้องนักอ่าน?” จางเซวียนอ่านคำที่อยู่บนป้ายซึ่งแขวนไว้บริเวณทางเข้าห้อง
เป็นความจริงที่ว่าห้องสมุดส่วนใหญ่มีพื้นที่สำหรับให้ผู้มาเยือนได้อ่านหนังสืออย่างสงบ แต่หอสมุดเทียบฟ้าไม่เคยมีของแบบนั้น หรือนี่เป็นความก้าวหน้าใหม่ที่มาพร้อมกับการยกระดับที่ผ่านมา?
หรือว่าเมื่ออยู่ในห้องนักอ่านแล้วเขาจะอ่านหนังสือได้เร็วขึ้นกว่าเดิม?
จางเซวียนเก็บความสงสัยไว้ จากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป
ไม่เหมือนกับขั้นบันได ประตูนี้จับต้องได้และเขาก็ผลักมันได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่ก้าวเข้าไป จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีด้วยความอัศจรรย์ใจ
“กระแสของกาลเวลาที่นี่แตกต่างจากข้างนอก?”
ด้วยความเข้าใจเรื่องแก่นสารของกาลเวลา เขารู้สึกได้ทันทีถึงความแตกต่างของกระแสกาลเวลาภายในห้องนักอ่าน
“ความแตกต่างของกระแสกาลเวลาน่าจะอยู่ที่ราว 1 ใน 10” จางเซวียนวิเคราะห์
กระแสของกาลเวลาที่ 1 ใน 10 ก็หมายความว่า หากเขาฝึกฝนวรยุทธอยู่ในห้องนักอ่านเป็นเวลา 10 วัน เวลาของโลกภายนอกจะผ่านไปเพียง 1 วันเท่านั้น!
“แต่ในเมื่อมีแต่จิตใต้สำนึกของเราที่เข้าสู่หอสมุดเทียบฟ้าได้ เราก็คงทำได้แค่ขัดเกลาเทคนิคการต่อสู้เท่านั้น คงไม่เป็นประโยชน์กับวรยุทธหรอก”
หลังจากอัศจรรย์ใจอยู่ครู่หนึ่งกับการค้นพบ จุดด้อยของประสิทธิภาพของห้องนักอ่านก็ค่อยๆปรากฏ
มันเหมือนกับคลังตรวจสอบเลือดของตระกูลจางในแง่ที่ว่า มีแต่จิตใต้สำนึกของเขาเท่านั้นที่จะเข้าถึงห้องนักอ่านได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำได้แค่บ่มเพาะเจตจำนง ยกระดับความรู้และขัดเกลาเทคนิควรยุทธ ส่วนการจะยกระดับวรยุทธหรืออะไรทำนองนั้น ในเมื่อกายเนื้อของเขาเข้าสู่พื้นที่นี้ไม่ได้ ก็ไม่อาจใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของกระแสกาลเวลา
แต่นั่นแหละ มันก็ไม่แตกต่างอะไรมากนักตั้งแต่แรก เพราะเคล็ดวิชาเทียบฟ้าก็ทำให้เขาไม่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนวรยุทธนานอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าเขาจะสามารถฝึกฝนวรยุทธได้เร็วขึ้นจากเดิมเป็น 10 เท่าหรือไม่
ด้วยอายุขัยอันยาวนานของนักรบ ไม่ว่านักรบคนหนึ่งจะใช้เวลายกระดับวรยุทธหนึ่งขั้นเพียง 6 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง ก็ไม่ได้เกิดความแตกต่างอะไร
อย่างน้อยที่สุด นั่นก็คือวิธีที่จางเซวียนใช้ปลอบใจตัวเองเพื่อกลบเกลื่อนความผิดหวัง
จางเซวียนส่ายหน้าขณะกำลังครุ่นคิดถึงความไร้ประโยชน์ของประสิทธิภาพอันนี้ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงกระแสพลังปราณที่ไหลเวียนในกายเนื้อของเขาโดยเชื่อมโยงกับความคิดนั้น
เดี๋ยวก่อน…ถึงเราจะนำกายเนื้อเข้าสู่พื้นที่นี้ไม่ได้ แต่ถ้าเราสามารถขับเคลื่อนพลังปราณในกายเนื้อจากที่นี่ ก็น่าจะได้ประโยชน์จากการยกระดับวรยุทธเร็วขึ้นเป็น 10 เท่า! จางเซวียนคิดอย่างตื่นเต้น
กลับกลายเป็นว่าห้องนักอ่านไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่เขาเคยคิด!
รวมแล้ว จางเซวียนใช้เวลา 1 เดือนเต็มในการเยียวยาตัวเองจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากการจบชีวิตของเขาที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ซึ่งถ้าห้องนักอ่านเปิดให้เขาเข้าไปตั้งแต่ตอนนั้น ก็มีโอกาสที่เขาจะฟื้นคืนพละกำลังอย่างสมบูรณ์ได้ภายใน 3 วัน!
อันที่จริง ถ้าเขานำความสามารถนี้ไปใช้ในการสู้รบได้ ต่อให้ถูกตัดแขน แขนของเขาก็จะสามารถงอกใหม่ได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 หรือ 2 วินาทีด้วยอานุภาพของห้องนักอ่าน
“มันไม่ใช่แค่การเพิ่มความเร็วในการยกระดับวรยุทธแล้ว…ด้วยสิ่งนี้ เราจะสู้รบได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น!”
แม้แต่ผู้ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพอย่างจางเซวียนก็ไม่อาจตำหนิติติงเรื่องความเร็วในการฝ่าด่านวรยุทธด้วยการฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้ แต่เรื่องนี้ไม่อาจใช้ได้กับอาการบาดเจ็บ เพราะแม้พลังปราณเทียบฟ้าจะสามารถเยียวยาบาดแผลพื้นฐานโดยทั่วไป แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะรักษาอาการบอบช้ำภายในที่สั่นคลอนรากฐานวรยุทธของเขา อาการบาดเจ็บในรูปแบบนั้นทำให้เขาต้องใช้เวลาเยียวยาหลายวัน
ยกตัวอย่าง ในคราวนี้จางเซวียนต้องใช้เวลา 1 เดือนเต็มกว่าจะฟื้นคืนพละกำลังได้เต็มที่ ซึ่งหากใครสักคนใช้โอกาสนี้สังหารเขา ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะสามารถปกป้องตัวเอง
แต่การเกิดขึ้นของห้องนี้ช่วยบรรเทาความรุนแรงของภัยคุกคามนั้นได้มาก
คราวต่อไปที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก ก็จะสามารถฟื้นฟูสภาพของตัวเองได้อย่างรวดเร็วและตอบโต้ได้
ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนความคิดอ่านของเราจะกระจ่างกว่าเดิมเมื่อฝึกฝนวรยุทธที่นี่ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง บรรยากาศที่นี่ดูคล้ายกับที่วิหารแห่งขงจื๊อ จางเซวียนคิดพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ
แม้เขาเพิ่งเข้ามาที่นี่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็รู้สึกได้ถึงรังสีวิชาการปริมาณมหาศาลที่พุ่งเข้าสู่หัวสมอง ทำให้ความคิดอ่านว่องไวกว่าเดิม จางเซวียนรู้สึกสดชื่นและหัวสมองแจ่มใสกว่าเก่ามาก
เขาหลับตา จากนั้นก็เพ่งสมาธิเพื่อขัดเกลาวรยุทธขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณ ไม่ช้าก็รู้สึกได้ว่าตัวเองมาสะดุดเข้ากับด่านคอขวด ทำให้รู้ว่าใกล้จะฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นชั่วกัลปาวสานเต็มทีแล้ว
ไม่แปลกใจแล้วที่คราวนี้หอสมุดเทียบฟ้าใช้เวลายกระดับตัวเองนานกว่าเดิมมาก เพราะประสิทธิภาพใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นน่าอัศจรรย์จริงๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอานุภาพใหม่ของหอสมุดเทียบฟ้าจะมีส่วนช่วยเขาอย่างมากสำหรับการเดินทางในอนาคต
จางเซวียนผลักประตูห้องนักอ่านและเดินออกไป เขากำลังจะกลับเข้าสู่กายเนื้อ ก็พอดีกับที่เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ทำให้ตัวแข็งทื่อ
“เดี๋ยวก่อน…ห้องนักอ่านมีหน้าตาเหมือนหนังสือนี่ หรือว่ามันคือ…มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง?”
มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงถูกหลัวลั่วชิงทำให้ยอมจำนน นั่นคือสิ่งที่เขาเห็นกับตา แต่ไม่นานหลังจากที่หลัวลั่วชิงจากไป เขาก็เข้าสู่ภาวะโคม่า และหอสมุดเทียบฟ้าก็ทำการยกระดับตัวเอง
เป็นสิ่งที่รู้กันทั่วไปในหมู่ชนชั้นนำของทวีปแห่งปรมาจารย์ว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมีอานุภาพในการเบี่ยงเบนกฎเกณฑ์ของกาลเวลา และในเมื่อจู่ๆหอสมุดเทียบฟ้าก็มีประสิทธิภาพแบบใหม่เกิดขึ้น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องนั้น
จางเซวียนรีบหันกลับไปพิจารณาห้องนักอ่านที่เกิดขึ้นใหม่
เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ในตอนนี้ เมื่อเพ่งดูมันอย่างละเอียด ก็มีบางอย่างที่คล้ายคลึงกับมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงที่เขาได้เห็นในครั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ความคล้ายคลึงยังไม่ได้หยุดอยู่แค่รูปลักษณ์หน้าตา ยังรวมถึงรังสีที่มันแผ่ออกมาด้วย แต่รังสีของห้องนักอ่านเบาบางและอ่อนแรงกว่ามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมาก ทำให้เขายังไม่อาจแน่ใจในความเชื่อมโยงนั้น
จางเซวียนไม่เคยเข้าใกล้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงมาก่อน จึงไม่อาจระบุลงไปให้แน่ชัด
หรือว่า…ลั่วชิงนำมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงใส่เข้าไปในหอสมุดเทียบฟ้า ทำให้มันเกิดการยกระดับตัวเอง? จางเซวียนครุ่นคิด
เป็นวินาทีสุดท้ายที่จางเซวียนได้รู้ว่าหลัวลั่วชิงรู้เรื่องหอสมุดเทียบฟ้า ซึ่งทำให้เขางงมาก เป็นไปได้หรือไม่ว่าเธอตั้งใจใส่มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงเข้าไปในหอสมุดเทียบฟ้าและปล่อยให้ทั้งสองหลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างห้องนั้นขึ้น?
เรื่องแบบนี้ดูเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะเป็นความจริง
แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ ตัวตนที่แท้จริงของเธอคืออะไร?
ทั้งรับรู้การมีอยู่ของหอสมุดเทียบฟ้า และกระตุ้นให้มันเกิดการยกระดับตัวเองได้ด้วย…เธอกำลังปิดบังความลับอะไรจากเขา?
จางเซวียนจ้องมองไปข้างหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย