อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1802 ตระเวนทั่ววังอำมาตย์เฉินหลิง
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1802 ตระเวนทั่ววังอำมาตย์เฉินหลิง
เมื่อเห็นชายวัยกลางคน จางเซวียนเลิกคิ้ว
อีกฝ่ายเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเหมือนกับเขา
“ได้เวลาพักเสียที…”
“ผมจะใช้เวลาพักปัดฝุ่นความรู้ของผมเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้!”
“ของล้ำค่าพวกนี้ประเมินได้ยากจริงๆ…”
…..
เมื่อได้ยินว่าถึงเวลาพัก บรรดานักตรวจสอบสมบัติต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก เกิดเสียงกระซิบกระซาบไปทั่ว
บรรดาของล้ำค่าที่จัดวางอยู่ในห้องนี้ล้วนแต่ประเมินได้ยากขึ้นเรื่อยๆ แม้ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่จะล้วงแต่เป็นนักตรวจสอบสมบัติชั้นยอดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ก็เริ่มจะรู้สึกว่าความรู้ของพวกเขาถึงทางตัน
เวลาพักมาถึงทันการณ์พอดี แม้จะถูกเรียกว่า ‘เวลาพัก’ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือบรรดานักตรวจสอบสมบัติจะใช้โอกาสนี้อ่านหนังสือเพื่อหาข้อมูลอ้างอิงที่ทำให้การตรวจสอบสมบัติของพวกเขาแม่นยำขึ้น ไม่อย่างนั้น คงได้หัวหลุดจากบ่าแน่หากประเมินของล้ำค่าชิ้นใดชิ้นหนึ่งผิดพลาด
“ทุกท่าน เชิญทางนี้!”
จากนั้น องครักษ์หลายสิบคนในชุดเกราะสีดำที่ดูเหมือนกันไปหมดก็ก้าวเข้ามา แต่ละคนได้รับมอบหมายให้พานักตรวจสอบสมบัติคนหนึ่งกลับไปส่งยังที่พัก รวมถึงจางเซวียนด้วย
แม้จางเซวียนจะมีข้อสงสัยอยู่ในใจมากมาย แต่ก็รู้ดีว่าการตั้งคำถามออกมาตอนนี้มีแต่จะทำให้ตัวเขากลายเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็น จึงตัดสินใจเงียบไว้ เขาเดินตามองครักษ์ไปอย่างเงียบๆ ผ่านทางเดินทางแล้วทางเล่า
ไม่ช้าก็มาถึงห้องหนึ่ง ดูเหมือนนักตรวจสอบสมบัติแต่ละคนจะมีห้องส่วนตัวคนละห้อง
“คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เยี่ยมเยียนหรือพูดคุยกับนักตรวจสอบสมบัติคนอื่นๆ หากต้องการ หนังสือก็บอกผมได้ ถ้าทางวังมีหนังสือหรือข้อมูลที่คุณต้องการ ผมจะนำมาให้คุณที่ห้อง ส่วนถ้าคุณอยากฝึกฝนวรยุทธหรือฟื้นฟูสภาพร่างกายจากความเหนื่อยล้า ก็สามารถร้องขอสมุนไพรหรือยาเม็ดจากผมได้เช่นกัน” องครักษ์สั่งการขณะเปิดประตูห้องให้จางเซวียน
“รับทราบ” จางเซวียนพยักหน้าขณะเข้าไปในห้อง
มีค่ายกลสกัดกั้นอยู่ภายในห้องที่ทำให้เขาไม่อาจใช้ตราหยกสื่อสารได้ ดูเหมือนทางวังตั้งใจจะระงับการสื่อสารทุกรูปแบบในหมู่นักตรวจสอบสมบัติ
เพราะทันทีที่พวกเขาเริ่มแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองกัน ราคาที่แต่ละคนประเมินออกมาก็จะเริ่มใกล้เคียงกันทันที ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ยากที่จะตัดสินได้ว่าราคาที่แท้จริงของของล้ำค่าแต่ละชิ้นคือเท่าไหร่
ปัง!
ประตูปิดสนิททันทีที่จางเซวียนทรุดตัวลงนั่ง
ห้องนั้นมีขนาดไม่ใหญ่นัก กินพื้นที่ราว 40 ตารางเมตร มีทุกอย่างที่ใครสักคนจะต้องการอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำ โต๊ะ เก้าอี้ หรือเตียง มีค่ายกลรวบรวมพลังจิตวิญญาณที่ใช้หินวิเศษขั้นสูงสุดเป็นเชื้อเพลิงติดตั้งไว้ภายในห้อง มอบพลังจิตวิญญาณขั้นสูงสุดให้กับผู้ที่พักอาศัยอยู่ ต่อให้ผู้นั้นจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ก็จะฟื้นตัวกลับคืนสู่พละกำลังสูงสุดได้อย่างรวดเร็วด้วยการใช้เวลาเพียงไม่นานภายในห้องนี้
นี่เป็นโอกาสดีที่เราจะได้ตามหาเลือดมังกร! จางเซวียนคิดขณะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
เขาสูดหายใจลึก แล้วจิตวิญญาณต้นกำเนิดก็หลุดลอยออกจากกายเนื้อของเขาผ่านทางหว่างคิ้ว
เหตุผลที่จางเซวียนลงทุนมาถึงที่นี่ไม่ใช่เพื่อมาเป็นนักตรวจสอบสมบัติให้อำมาตย์เฉินหลิง แต่เพื่อค้นหาเลือดมังกรที่จะนำไปใช้ปลดฉนวนบนหอกสวรรค์กระดูกมังกร ในเมื่อตอนนี้เขามีเวลาว่าง ก็แน่นอนว่าย่อมเป็นโอกาสดีที่จะได้ลาดตระเวนสักหน่อย
จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาลอยอยู่ในห้องอย่างเงียบเชียบครู่หนึ่งก่อนจะผลุบออกไป ขณะที่ กำลังจะผ่านประตู จางเซวียนก็พลันรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่ผลักเขากลับมา
ค่ายกลนี้ขวางเส้นทางของจิตวิญญาณจริงๆด้วย! จางเซวียนตาโตด้วยความประหลาดใจ
เหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณหายสาบสูญไปจากทวีปแห่งปรมาจารย์นานแล้ว ทำให้สภาปรมาจารย์และกลุ่มอำนาจหลักต่างๆละเลยที่จะสร้างปราการป้องกันผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ แต่สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจ อาชีพผู้พยากรณ์จิตวิญญาณยังคงมีอยู่จำนวนไม่น้อย
ดังนั้น กลุ่มอำนาจหลักๆส่วนใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจจึงยังคงติดตั้งมาตรการต่อต้านผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามาวุ่นวายกับกิจธุระของพวกเขา
ถ้าจางเซวียนพยายามใช้กำลังทำลายปราการนี้ เขาจะต้องพบปัญหาใหญ่แน่
ดวงตาหยั่งรู้!
ด้วยสายตาอันเฉียบคมของเขา จางเซวียนพบจุดอ่อนในค่ายกลอย่างรวดเร็วและเล็ดลอดออกไปได้อย่างง่ายดาย
ฟึ่บ!
ประตูเปิดออกขณะที่เขาแอบออกไปอย่างเงียบๆ
“นี่คือที่พักของคุณในคืนนี้…”
ที่บริเวณทางเดิน เหล่าองครักษ์ในชุดเสื้อเกราะสีดำยังคงจัดการให้บรรดานักตรวจสอบสมบัติเข้าสู่ที่พักของพวกเขา
จางเซวียนแนบตัวติดกับกำแพงขณะลอยออกจากพื้นที่นั้นไปอย่างรวดเร็ว
เพราะจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกแล้ว การซ่อนตัวจากองครักษ์เหล่านี้จึงเป็นเรื่องง่าย
เมื่อออกจากที่พัก จางเซวียนเริ่มตระเวนไปทั่ว เพราะอยู่ในวังของอำมาตย์เฉินหลิง จึงไม่กล้าบินให้สูงนัก ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวค่ายกลป้องกันตัวที่มีอยู่โดยรอบ แต่จางเซวียนรู้ดีว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะมีเหล่านักปราชญ์โบราณคอยลาดตระเวนอยู่ หากเขาถูกนักปราชญ์โบราณสักคนจับได้ ก็ย่อมเจอปัญหาใหญ่
วังของเผ่าพันธุ์ปีศาจนี่ไม่เหมือนกับสภาปรมาจารย์เลย บางทีการวางผังเมืองคงไม่ได้เป็นอาชีพหนึ่งของที่นี่ พวกเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องสภาพภูมิศาสตร์ โชคลาง หรืออะไรทำนองนั้น ด้วยจารึกอักษรโบราณและค่ายกล วังของพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการที่ไม่อาจเจาะทะลุเข้าไปได้ ต่อให้อำมาตย์เฉินหลิงได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้าเขาเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในวัง ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่อำมาตย์เฉินหย่งกับคนอื่นๆจะเข้ามาทำให้เขาจนมุมและคร่าชีวิตเขาได้ จางเซวียนคิดขณะรีบจดจำแผนผังของพระราชวังไว้ในหัวสมอง
ในสภาปรมาจารย์ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมองหาดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติเหลือเฟือ ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมโดยรอบเพื่อรวบรวมพลังจิตวิญญาณในพื้นที่
แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่เผ่าพันธุ์ปีศาจทำกัน สิ่งที่พวกมันทำคือการจารึกอักษรโบราณลงบนกำแพงและพื้น แม้จะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสภาพภูมิศาสตร์ แต่พวกมันก็นำพลังจิตวิญญาณเข้าสู่ที่พักอาศัยได้มากมาย ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการฝึกฝนวรยุทธ
แม้จะมีความเหมือนระหว่างทั้งคู่ แต่ผลที่ได้นั้นแตกต่างกันมาก ทวีปแห่งปรมาจารย์รวบรวมพลังจิตวิญญาณได้โดยไม่ต้องทำลายสภาพแวดล้อม ทำให้การพัฒนาของพวกเขาเป็นไปอย่างยั่งยืน แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจกลืนกินพลังจิตวิญญาณจากดินแดนที่พวกมันอาศัยอยู่ โดยให้ความสนใจน้อยนิด ต่อชีวิตและความตายของสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ใช้สภาพแวดล้อมร่วมกัน
บางที นี่อาจเป็นความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์
“เราไม่รู้สึกว่ามีเลือดมังกรอยู่ที่ไหนเลย…”
ตอนนี้ จางเซวียนตระเวนไปทั่วพระราชวังกว่าหลายชั่วโมงแล้ว ค้นหาจนแทบทุกซอกทุกมุมของวังอำมาตย์เฉินหลิง แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของเลือดมังกร อันที่จริง แม้แต่หญ้าเกล็ดมังกรที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเคยพูดถึง เขาก็หาไม่พบ
แต่เมื่อลองคิดดู เรื่องราวที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินรู้ก็ผ่านมา 3 พันปีแล้ว จึงเป็นไปได้ว่าบางทีทะเลสาบเลือดที่มีเลือดมังกรอยู่อาจจะไม่มีอยู่อีกต่อไป
ที่เหลืออยู่ก็คือสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น…
หลังจากบินมาแล้วครู่ใหญ่ จางเซวียนก็มาถึงเป้าหมายสุดท้าย-หอนอนของอำมาตย์เฉินหลิง
ด้วยรังสีของนักปราชญ์โบราณที่อบอวลอยู่ทั่วบริเวณ เขาจึงไม่กล้าเข้าไปข้างใน
ในเมื่อเขาไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของเลือดมังกรจากที่ไหนเลย ถ้าทะเลสาบเลือดยังคงมีอยู่จริง ที่นั่นก็คงจะเป็นสถานที่เดียวที่ยังพอเป็นไปได้
ไม่ว่าจะมีนักปราชญ์โบราณอยู่ที่นั่นหรือไม่ เราก็ต้องแวะไปดูสักหน่อย…จางเซวียนสูดหายใจลึกและบอกตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว
นับจากวินาทีที่เขาเลือกจะแทรกซึมเข้ามาในวังของอำมาตย์เฉินหลิง เขาก็รู้แล้วว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวง แน่นอนว่าการลักลอบเข้าไปในหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิงถือเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ แต่เขาไม่อาจล้มเลิกความตั้งใจได้โดยไม่พยายามสักหน่อย
ดังนั้น จางเซวียนจึงลดขนาดจิตวิญญาณต้นกำเนิดของเขาให้เหลือเล็กที่สุด ก่อนจะเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้เพื่อตรวจสอบหอนอนที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก
สิ่งปลูกสร้างทั้งหลังถูกโอบล้อมด้วยฉนวนพิเศษที่สามารถตรวจจับผู้บุกรุกได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงผู้พยากรณ์จิตวิญญาณด้วย
รู้ดีว่ามีอันตราย จางเซวียนจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบาม เขาถ่วงเวลาไว้เพื่อหาโอกาสเข้าไป โดยซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้ใหญ่รวมทั้งปกปิดรังสีของเขาไว้
ระดับความล้ำลึกของจิตวิญญาณของจางเซวียนเทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณแล้ว เขาจึงยังคงนิ่งเฉยอยู่ได้ไม่ว่ารอบข้างจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อมีโอกาสสูงที่เขาจะถูกจับได้หากพยายามทำลายฉนวน จางเซวียนจึงเลือกที่จะตัดความกังวลใจออกไปและบอกตัวเองให้รอคอยอย่างอดทน
ขอแค่มีใครสักคนอยู่ในหอนอน ก็มีความเป็นไปได้ที่จะต้องมีผู้คนเข้าออก ซึ่งนั่นจะเป็นโอกาสให้เขาได้เข้าไปและออกมาเช่นกัน
หลังจากรออยู่เกือบ 1 ชั่วโมง ในที่สุดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “บรรดานักตรวจสอบสมบัติที่เราได้มาคราวนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
จางเซวียนหันไปช้าๆ และเห็นชายวัยกลางคนที่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกที่เขาได้พบในห้องโถงก่อนหน้านี้กำลังเดินตามหลังผู้อาวุโสคนหนึ่ง ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังทิศทางของหอนอน
ผู้อาวุโสปกปิดรังสีในร่างกายของเขาไว้ ทำให้ยากที่จะประเมินพละกำลัง แต่แรงกดดันมหาศาลที่เขาแผ่ออกมาทางดวงตาก็ทำให้รู้สึกราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุการปกปิดและการปลอมตัวต่างๆได้ด้วยการชำเลืองเพียงแวบเดียว
“นักปราชญ์โบราณ?” จางเซวียนหรี่ตา
ไม่ต้องสงสัยแล้ว ผู้อาวุโสจะต้องเป็นนักปราชญ์โบราณแน่
สมกับที่เป็นหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิง มันได้รับการอารักขาจากนักรบชั้นยอด
เมื่อรับรู้ถึงประสิทธิภาพการต่อสู้ของผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้า จางเซวียนก็ไม่กล้าขยับตัว เขาซ่อนอยู่ ในต้นไม้ใหญ่และกลั้นหายใจ รวมทั้งบังคับตัวเองให้อยู่นิ่งที่สุด เกรงว่าจะเปิดเผยเงื่อนงำบางอย่างออกไปโดยไม่จงใจซึ่งจะทำให้ถูกจับได้
“มีนักตรวจสอบสมบัติบางคนที่เกือบจะประเมินของล้ำค่าได้หมดทุกชิ้นแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจในมูลค่าของของล้ำค่าบางชิ้นอยู่ดี” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “น่าเสียดาย แต่เหล่านักตรวจสอบสมบัติของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราดูจะอ่อนด้อยกว่านักตรวจสอบสมบัติที่มาจากทวีปแห่งปรมาจารย์!”