อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1805 ผมถูกสงสัย
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1805 ผมถูกสงสัย
จางเซวียนหามาตรการตอบโต้ไว้มากมายเพื่อให้แน่ใจว่านักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะไม่อาจล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่เขาลืมปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งไป – ช่วงเวลาที่มาถึง!
ในเมื่อปัญหาเพิ่งเกิดเมื่อครู่ ก็มีโอกาสสูงที่ตัวการจะเป็นนักตรวจสอบสมบัติที่เพิ่งมาถึงวันนั้น
“วันนี้มีนักตรวจสอบสมบัติเข้ามา 4 คน คืออู๋เทาจากเมืองไคหย่ง, โม่เฟยจากเมืองหูไห่…” ชายวัยกลางคนรีบนำรายการออกมาและร่ายยาวรายชื่อเหล่านั้น จากนั้นก็หันไปสั่งการกับฝูงชน “พวกคุณทั้ง 4 คน, ก้าวออกมา!”
จางเซวียนก้าวออกไปโดยไม่ลังเล
ยิ่งเขาชักช้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสจะถูกเปิดโปงมากขึ้นเท่านั้น จึงฉลาดกว่าหากจะเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างอาจหาญ เพราะถึงอย่างไร ตัวตนของเขาในตอนนี้ก็คืออู๋เทาซึ่งมีประวัติขาวสะอาด ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องหวาดกลัวอะไร
“ผมพูดถูกไหมว่าคุณทั้งสี่เพิ่งมาถึงวังในวันนี้?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเดินเข้าหาคนทั้งสี่อย่างช้าๆ และกวาดสายตามอง
สายตาของเขาจับจ้องที่จางเซวียนครู่หนึ่ง แต่ก็ดูจะไม่พบอะไรผิดปกติ
รอยย่นปรากฏบนหน้าผากของเขา
ในตอนนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้สึกได้ถึงความหวาดระแวงของเหล่านักตรวจสอบสมบัติที่อยู่ในห้อง จึงอธิบายอย่างสุขุม “ไม่ต้องตื่นตระหนกไป พวกเรากำลังหาตัวผู้บุกรุกที่ลักลอบเข้ามาในพระราชวัง ไม่มีเจตนาจะทำร้ายพวกคุณ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกคุณต้องกังวล”
เมื่อได้ยินว่านี่คือกระบวนการค้นหาผู้บุกรุก ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
แม้บางครั้งพวกเขาจะละโมบโลภมากไปบ้าง แต่ก็เป็นแค่นักตรวจสอบสมบัติ ไม่มีเหตุอะไรที่จะทำให้ต้องบุกรุกเข้าไปในพระราชวัง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวล
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงสำรวจตรวจสอบสีหน้าของเหล่านักตรวจสอบสมบัติในห้องอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ยังไม่พบความเปลี่ยนแปลงจากสีหน้าและอารมณ์ของพวกเขา รอยย่นบนหน้าผากของเขาลึกขึ้นอีกขณะพูดต่อ “ผู้บุกรุกคนนี้เป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จิตวิญญาณของเขาจะไม่สามารถเข้ากันได้ดีกับกายเนื้อเหมือนกับนักรบทั่วไป ผมมีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่สามารถตรวจสอบความเข้ากันได้ระหว่างจิตวิญญาณกับกายเนื้อ และอยากให้พวกคุณออกมาทีละคน ด้วยสิ่งนี้ ผมจะตัดสินได้ว่าใครคือผู้บุกรุกที่ซ่อนอยู่”
ขณะที่พูด เขาก็ดีดนิ้ว แล้ววัตถุทรงกลมก้อนหนึ่งก็ปรากฏ มันหมุนคว้างอยู่กลางอากาศอย่างเงียบเชียบ เปล่งแสงสีขาวออกมา
“ทำไมเราไม่เริ่มจากแขกทั้ง 4 ที่เพิ่งมาถึงวันนี้ล่ะ?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงหันไปมองจางเซวียนกับนักตรวจสอบสมบัติอีก 3 คน
“ก็ดี!” นักตรวจสอบสมบัติคนหนึ่งในกลุ่มคนทั้ง 4 ก้าวออกมา
ตามชื่อที่ชายวัยกลางคนเรียกไว้ก่อนหน้านี้ เขาคือโม่เฟย
โม่เฟยเดินเข้าหาวัตถุทรงกลมนั้น ลำแสงสีขาวโอบล้อมร่างของเขาไว้
วิ้ง!
ตัวเลขปรากฏบนผิวหน้าของวัตถุทรงกลม
94!
“ความเข้ากันได้ใดๆที่เหนือกว่า 90 บ่งบอกว่าผู้นั้นไม่ใช่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ…คุณไปได้ คนต่อไป!” ชายวัยกลางคนพูด
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ความเข้ากันได้ระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณของนักรบคนหนึ่งจะอยู่ในระดับสูงสุดตั้งแต่เกิด โดยแตะ 100 เกือบตลอดเวลา แต่เมื่อจิตวิญญาณของผู้นั้นพัฒนาไปผ่านทางการฝึกฝนวรยุทธ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกิดความเข้ากันไม่ได้ระดับหนึ่งระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณ
ด้วยเหตุนี้ ตราบใดที่ผู้นั้นไม่ใช่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ระดับของความเข้ากันได้ก็จะสูงกว่า 90
แน่นอนว่าโม่เฟยไม่ได้ประหลาดใจที่เห็นผลลัพธ์แบบนั้น เขาหันหลังกลับและเข้าไปรวมกับฝูงชน
จากนั้น นักตรวจสอบสมบัติคนที่สองก็ก้าวออกมา เขายืนอยู่ใต้วัตถุทรงกลมนั้น
92!
เขาบรรลุเงื่อนไขเช่นกัน
ส่วนผลลัพธ์ของนักตรวจสอบสมบัติคนที่ 3 ก็อยู่ที่ 96
สุดท้ายก็ถึงตาของจางเซวียน
เขาสูดหายใจลึกและเดินไปยังใจกลางห้อง
เพราะไม่มีผู้พยากรณ์จิตวิญญาณอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ จางเซวียนจึงไม่เคยเห็นของล้ำค่าชิ้นนี้มาก่อน ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าระดับความเข้ากันได้ระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณของเขาจะเป็นอย่างไร แต่ด้วยการที่เทคนิควรยุทธของจิตวิญญาณของเขาคือศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า ต่อให้เขาสามารถถอดจิตวิญญาณออกจากร่างได้ แต่ความเข้ากันได้ระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณก็ไม่น่าจะต่ำกว่านักรบทั่วไปมากนัก
จางเซวียนอยู่ใต้วัตถุทรงกลม ร่างของเขาถูกแสงสว่างเรืองโอบล้อมไว้
ตัวเลขปรากฏบนผิวหน้าวัตถุทรงกลมนั้น
100!
“ฮะ? เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือ?”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับชายวัยกลางคนถึงกับผงะ
การได้ 100 คะแนนเต็มก็หมายความว่ากายเนื้อกับจิตวิญญาณของผู้นั้นเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยทั่วไป มันจะปรากฏกับนักรบที่ยังไม่ได้สำเร็จวรยุทธระดับเซียนขั้น 5 การละทิ้งช่องว่างเท่านั้น ในเมื่อชายหนุ่มเป็นถึงนักรบระดับเซียนขั้น 7 ก็ยากที่จะเชื่อว่ากายเนื้อกับจิตวิญญาณของเขายังคงเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบอยู่
“ในอีกแง่หนึ่ง ข้อเท็จจริงที่ว่าจิตวิญญาณของเขาเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์กับกายเนื้อ ก็หมายความว่าไม่มีทางที่เขาจะแยกจิตวิญญาณออกจากร่างได้ เขาจึงไม่น่าจะเป็นผู้บุกรุก…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงส่ายหน้า
เขางุนงงกับผลลัพธ์อันแปลกประหลาดนี้ แต่ในโลกนี้ก็มีอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องอยู่ทุกรูปแบบ ไม่น่าประหลาดใจเกินไปนักที่จะได้เห็นใครสักคนที่ผิดแผกแตกต่างจากธรรมดา
สิ่งที่เขาควรให้ความสนใจในตอนนี้คือการควานหาตัวผู้บุกรุก ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณตัวจริง และไม่มีทางแน่นอนที่จิตวิญญาณของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับกายเนื้อของเขา
“ดำเนินการต่อ!”
เขาได้ตรวจสอบนักตรวจสอบสมบัติทั้ง 4 คนที่เพิ่งมาถึงในวันนั้นแล้ว แต่ไม่เกิดผลอะไร นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจึงได้แต่โบกมือและสั่งการให้ดำเนินการตรวจสอบต่อไป
ไม่ช้า นักตรวจสอบสมบัติกว่า 200 คนในห้องก็ผ่านการตรวจสอบทั้งหมด แต่ไม่มีใครเลยที่ระดับความเข้ากันได้ของกายเนื้อกับจิตวิญญาณต่ำกว่า 90
พูดอีกอย่างก็คือ มันเป็นไปตามรายงานที่เขาได้รับก่อนหน้านี้ ไม่มีนักตรวจสอบสมบัติคนไหนที่เป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ
“ผมเดาผิดหรือ?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเริ่มจะสงสัยความคิดของตัวเอง
สถานการณ์ตอนนี้ช่างน่างุนงงนัก
นับตั้งแต่อำมาตย์เฉินหลิงกลับมาจากทวีปแห่งปรมาจารย์ ทั่วทั้งพระราชวังก็แทบจะถูกพลิกแผ่นดินเพื่อควานหาผู้ที่อาจเป็นสายลับและหอกข้างแคร่ที่ซ่อนตัวอยู่ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้บุกรุกจะเป็นคนใน ถ้าไม่มีนักตรวจสอบสมบัติคนไหนเป็นตัวการ…แล้วผู้พยากรณ์จิตวิญญาณนั่นโผล่มาจากไหน?
เมื่อเห็นว่าผลลัพธ์ที่ได้ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา ชายวัยกลางคนตั้งคำถามนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ?”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ดำเนินกระบวนการตรวจสอบสมบัติตามที่เราวางแผนไว้เหมือนเดิม แต่ดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่ออกจากวังไปได้…อ้อใช่! ส่งผลการตรวจสอบสมบัติมาให้ผมด้วย”
“รับทราบ” ชายวัยกลางคนรีบพาองครักษ์จำนวนหนึ่งออกจากห้องโถงใหญ่เพื่อไปนำกล่องที่ บรรจุเอาผลการประเมินของล้ำค่าของเหล่านักตรวจสอบสมบัติกลับมา
“นักตรวจสอบสมบัติส่วนใหญ่ประเมินออกมาใกล้เคียงกัน มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่มีความผันผวนในความแม่นยำของการประเมินของพวกเขา” ชายวัยกลางคนรายงานขณะยื่นกล่องให้
ผู้ที่ผ่านการทดสอบและได้รับเลือกให้เข้าสู่พระราชวังล้วนแต่เป็นนักตรวจสอบสมบัติระดับหัวกะทิ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะประเมินมูลค่าที่แท้จริงของสินแร่และสมุนไพรทั่วไป
“สำหรับหินดาวตก ค่าประเมินเฉลี่ยที่เราได้รับคือหินวิเศษขั้นสูงสุด 120 ก้อน ส่วนหินวารีเย็นเยือกอยู่ที่หินวิเศษขั้นสูงสุด 250 ก้อน…” ชายวัยกลางคนรายงานราคาของล้ำค่าชิ้นแล้วชิ้นเล่า
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพยักหน้าขณะกวาดสายตาดูคำตอบอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นร่างของเขาก็แข็งทื่อ เขาหันกลับไปถามชายวัยกลางคนว่า “อู๋เทาคนนี้คือใคร? ทำไมคำตอบของเขาถึงถูกต้องทั้งหมด?”
แม้แต่สินแร่ชนิดเดียวกัน 2 ก้อนก็ยังมีราคาต่างกัน ขึ้นอยู่กับขนาด สี และตำแหน่งที่พบสินแร่นั้น ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะประเมินราคาของล้ำค่าแต่ละชิ้นให้ออกมาถูกต้อง ซึ่งราคาที่ชายวัยกลางคนรายงานออกมาก็อยู่บนฐานของค่าเฉลี่ยที่เป็นผลจากการประเมินของนักตรวจสอบสมบัติ กว่า 200 คน
ซึ่งน่าประหลาดที่การประเมินของอู๋เทาใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยมาก
นักตรวจสอบสมบัติส่วนใหญ่ก็มีการกะประมาณที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย แต่สำหรับสินแร่ 2-3 ก้อนและสมุนไพรจำนวนหนึ่งที่ถูกรายงานไป การประเมินของอู๋เทาคลาดเคลื่อนจากค่าเฉลี่ยเป็นจำนวนแค่หินวิเศษขั้นสูงสุดก้อนหนึ่งหรือ 2 ก้อนเท่านั้น นั่นทำให้นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเกิดความสงสัยขึ้นมา
“ผมเองก็งง” ชายวัยกลางคนตอบ “ผมเชื่อว่าเขาน่าจะมีทักษะชั้นยอดในการตรวจสอบสมบัติ”
“ผมก็ปฏิเสธข้อนั้นไม่ได้ แต่ถ้าผมจำไม่ผิด อู๋เทาคือผู้ที่มีความเข้ากันได้ระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณเต็มร้อยใช่ไหม?” นัยน์ตาของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเป็นประกายวาบ
เป็นความจริงที่ว่านักตรวจสอบสมบัติมีความเชี่ยวชาญในด้านการประเมินมูลค่าของข้าวของ แต่ การจะประเมินได้แม่นยำทุกครั้งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เมื่อผนวกกับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายมีความเข้ากันได้ระหว่างกายเนื้อกับจิตวิญญาณถึงระดับ 100 เต็มอย่างน่าประหลาด ก็ดูเหมือนว่าน่าจะมีบางอย่างผิดปกติ
“ใช่!” ชายวัยกลางคนพยักหน้า
เขาเองก็รู้สึกแปลกๆ
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงขมวดคิ้วขณะสั่งการ “นำข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับนักตรวจสอบสมบัติอู๋เทาคนนี้มาให้ผม!”