อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1806 ถูกจับได้
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1806 ถูกจับได้
ไม่ช้า ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับอู๋เทาก็ถูกส่งถึงมือนักปราชญ์โบราณโม่หลิง
ตลอดทั้ง 10 หน้ากระดาษนั้นคือประวัติการตรวจสอบสมบัติโดยย่อของอู๋เทา
ครู่ต่อมา นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็เลื่อนกระดาษกองนั้นไปด้านข้างพร้อมกับหรี่ตา
เท่าที่เขาได้อ่าน แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าอู๋เทาเป็นนักตรวจสอบสมบัติที่มีความสามารถคนหนึ่ง แต่ความเชี่ยวชาญของเขาก็ไม่ได้สูงส่งถึงขั้นจะทำการทดสอบและได้ผลลัพธ์อย่างที่ผ่านมา การประเมินถูกต้องครั้งเดียวอาจอธิบายได้ว่าเป็นโชค แต่สำหรับความถูกต้องที่เกิดขึ้นกับของล้ำค่ามากมายหลายชิ้น คงโง่เง่าเต็มทีหากจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่ความบังเอิญ
“ผมพาเขาไปสอบสวนดีไหม?” ชายวัยกลางคนรีบอ่านรายละเอียดในกระดาษกองนั้น หน้าผากของเขาปรากฏรอยย่น
“ไม่ต้องหรอก ผมจัดการเอง” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบอย่างวางมาด
เขาคือผู้ที่ได้รับมรดกตกทอดที่สมบูรณ์ที่สุดของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ถ้าจะบอกว่าตัวเขามีความเก่งกาจเป็นที่สองในหมู่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณล่ะก็ จะต้องไม่มีใครที่กล้าอวดอ้างว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง
แต่ในวันนั้น เขาพบว่าความมั่นใจในตัวเองเริ่มสั่นคลอน
ผู้บุกรุกเป็นแค่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน แต่เขาก็เกือบจะมองข้ามอีกฝ่ายไปตอนที่หมอนี่อยู่ใต้จมูกของเขาแล้ว อีกอย่าง แม้จะได้เผชิญหน้ากัน อีกฝ่ายก็ยังหนีรอดไปจากเขาได้ นี่เป็นวีรกรรมที่ตัวเขาไม่อาจทำได้เมื่อครั้งที่ยังมีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน
ถ้าเป็นอย่างนั้น จะไม่หมายความว่าหมอนั่นคือผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่มีทักษะเก่งกาจยิ่งกว่าเขาอีกหรือ?
เรื่องนี้ทำให้นักปราชญ์โบราณโม่หลิงสงสัยมาก
เขารีบมุ่งหน้าไปยังห้องโถงที่การตรวจสอบสมบัติกำลังดำเนินอยู่ เมื่อกวาดสายตาในหมู่ฝูงชน ก็พบตัวนักตรวจสอบสมบัติอู๋เทาอย่างรวดเร็ว จากรูปลักษณ์หน้าตาของเขา นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทาดูไม่มีอะไรผิดแปลก ในตอนนั้น เขากำลังถือสมุนไพรชนิดหนึ่งไว้ในมือขณะพลิกหนังสือเพื่อค้นคว้าข้อมูลด้วยมืออีกข้าง
ในแง่ของการเคลื่อนไหว ดูอย่างไรเขาก็เหมือนนักตรวจสอบสมบัติ ไม่มีอะไรที่น่าจะผิดพลาดไปได้
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงซ่อนสีหน้าไว้อย่างแนบเนียนก่อนจะเดินเข้าไปยิ้มให้ “นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา กรุณารอสักครู่ ผมบังเอิญมีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ไม่แน่ใจในมูลค่าของมัน ไม่ทราบว่าจะรบกวนคุณให้ช่วยดูให้ผมหน่อยได้ไหม?”
อันที่จริง จางเซวียนเห็นนักปราชญ์โบราณโม่หลิงตั้งแต่แรกที่เขาเข้ามาที่ห้องโถง และรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายจับจ้องเขาอยู่ แต่เมื่ออีกฝ่ายมาถึงตัว เขาก็อดอ้าปากค้างเล็กน้อยไม่ได้
การปลอมตัวของเขาไม่น่าจะมีข้อบกพร่องใดๆ ทำไมนักปราชญ์โบราณโม่หลิงจึงยังสนใจเขานัก?
หรือเขาได้ทำอะไรบางอย่างที่เป็นการเปิดโปงตัวเองโดยไม่จงใจ?
แม้จางเซวียนจะสงสัย แต่ก็ไม่แสดงออกนอกหน้า เขาปั้นหน้าให้ดูปั่นป่วนเล็กน้อยตามแบบของใครสักคนที่มีผู้ทรงเกียรติเดินเข้ามาหาอย่างปุบปับ จากนั้นก็รีบพยักหน้าและตอบรับ “ดะ-ได้! เป็นความยินดีของผมที่ได้รับใช้คุณ!”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงสะบัดข้อมือและนำบางอย่างที่ดูเหมือนไม้บรรทัดสีทองออกมา
มองเพียงแวบแรก จางเซวียนก็รู้แล้วว่ามันเป็นของล้ำค่าที่ทรงพลัง แต่หากอานุภาพของไม้บรรทัดยังไม่ปรากฏ เขาก็ไม่อาจประเมินระดับขั้นของมันได้
จางเซวียนหยิบไม้บรรทัดขึ้นมา แล้วทันใดนั้น หนังสือเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้า
“ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณ ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ สามารถพุ่งตรงเข้าสู่จิตวิญญาณ ของนักรบและทำให้ผู้นั้นหมดหนทางหลบหนี…”
มันเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณหรือ? แต่…ทำไมถึงเบานัก? จางเซวียนชะงัก
ก็เหมือนกับนักปราชญ์โบราณ ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณควบคุมกฎเกณฑ์ของโลกไว้ สำหรับของล้ำค่าที่ผ่านการบ่มเพาะจากสวรรค์นั้น ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กแค่ไหน แต่น้ำหนักของมันก็จะหนักอึ้งอย่างน่าสะพรึง แม้ด้วยระดับวรยุทธของจางเซวียนในตอนนี้ เขาก็ยังต้องลำบากเอาการหากจะต้องยกของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณขึ้นสักชิ้น
ชัดเจนว่าไม้บรรทัดของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเข้าถึงระดับนั้นแล้ว แต่ก็น่าแปลกที่จางเซวียนยังรู้สึกว่ามันเบาเหมือนกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่โดยทั่วไปที่อยู่ที่นั่น เขาอดงุนงงไม่ได้กับความแปลกประหลาดนี้
เมื่อพิจารณาดูใกล้ๆ จางเซวียนหัวใจกระตุก ไม่ใช่แล้ว หมอนั่นแอบใช้พลังจิตวิญญาณของเขา พยุงน้ำหนักของมัน…
ไม่ใช่ว่าไม้บรรทัดปะทะวิญญาณไม่หนัก แต่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงแอบใช้พลังจิตวิญญาณของเขาพยุงมันไว้ ทำให้ดูเหมือนกับว่ามันแทบจะไร้น้ำหนัก
มาเชื้อเชิญเขาให้ตรวจสอบของล้ำค่า แต่ปิดบังคุณสมบัติที่แท้จริงของมันเอาไว้…หรือว่านักปราชญ์โบราณโม่หลิงมีแผนอะไรบางอย่าง?
สมกับที่เป็นนักปราชญ์โบราณ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะรับมือด้วยได้ง่ายๆเลย!
หัวสมองของจางเซวียนวิ่งพล่านเพื่อหาหนทางหลบหนีที่พอทำได้ แต่ไม่ช้าก็รู้สึกได้ว่าเพราะเขายืนอยู่ใกล้กับอีกฝ่ายมาก หากไม่ใช้กระบี่เปลวเพลิงสีดำและไอ้โหด ก็ไม่มีทางหนีเอาตัวรอดได้เลยหากอีกฝ่ายเปิดการโจมตี
เห็นจางเซวียนพิจารณาไม้บรรทัดปะทะวิญญาณอย่างตั้งใจ นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถามยิ้มๆ “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ผมเกรงว่าผมคงไม่สามารถประเมินไม้บรรทัดอันนี้ได้ ในแง่ของวัสดุและพลังงาน ไม้บรรทัดอันนี้เหนือชั้นกว่าวิถีทางของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่โดยทั่วไป แต่น้ำหนักของมันก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ…”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงขัดขึ้นหลังจากจางเซวียนอธิบายไปได้ครึ่งทาง “หมายความว่าคุณเคยเห็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณของจริงมาแล้วใช่ไหม, นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา?”
จางเซวียนใจเต้นตึกตัก
แต่ถึงจะปั่นป่วนแค่ไหน เขาก็ตอบออกไป “ผมไม่เคยเห็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณของจริงมาก่อน แต่เคยอ่านเรื่องของมันจากหนังสือ ว่ากันว่าของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณนั้นมีน้ำหนักมากอย่างน่าทึ่ง ถึงขนาดที่ของล้ำค่าขนาดเพียงเท่านี้อาจมีน้ำหนักได้พอๆกับภูเขาสูงตระหง่านเลยทีเดียว…”
ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะพูดจบ เสียงคำรามเยือกเย็นก็ดังขึ้นกลางอากาศ จากนั้นมิติรอบตัวเขาก็บิดเบี้ยว จางเซวียนถูกฉุดเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง
“เลิกปลอมตัวได้แล้ว คุณไม่ใช่นักตรวจสอบสมบัติอู๋เทา!”
“ผู้อาวุโส…” ด้วยความตื่นตระหนก จางเซวียนถอยกรูดไป 2 ก้าว ดูพรั่นพรึงอย่างหนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“มรดกตกทอดของเหล่านักตรวจสอบสมบัติในเผ่าพันธุ์ปีศาจนั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบตั้งแต่แรก ภายใต้สถานการณ์ปกติ พวกเขาไม่อาจประเมินได้แม้แต่ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ แต่คุณประเมินของล้ำค่าทุกชิ้นได้อย่างถูกต้อง และระบุระดับขั้นที่แท้จริงของไม้บรรทัดปะทะวิญญาณได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว…ถ้าอู๋เทามีความสามารถขนาดนี้ ชื่อของเขาคงลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจแล้ว!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเอาสองมือไพล่หลังขณะชี้ข้อบกพร่องในการปลอมตัวของจางเซวียนอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
ถ้าก่อนหน้านี้เขามีความสงสัยอยู่บ้าง ตอนนี้ก็แน่ใจชัดเจนแล้วว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่หนีรอดจากเงื้อมมือของเขาไปได้
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา แต่เป็นเพราะเขาเยือกเย็นและสุขุมเกินไป
แม้สายตาและภาษากายของอีกฝ่ายจะบ่งบอกถึงความสงสัยและหวาดกลัว แต่สิ่งที่เขาแสดงออกนั้นไม่บ่งบอกถึงความปั่นป่วนของสภาวะจิตและจิตวิญญาณเลยแม้แต่น้อย เว้นเสียแต่ว่าจะกำลังแสร้งทำ ว่าแต่…หมอนี่จะหวาดกลัวโดยที่ควบคุมสมองและจิตวิญญาณให้สงบขนาดนั้นได้อย่างไร?
หากเขาดูไม่ออกขนาดนี้ ก็คงเป็นนักปราชญ์โบราณไม่ได้!
นักปราชญ์โบราณคือสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดในโลก ไม่มีนักรบคนไหนที่ไม่ยำเกรงพวกเขา แต่อีกฝ่ายยังมีอารมณ์จะตรวจสอบและตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับน้ำหนักของไม้บรรทัด…จะไม่รู้สึกได้อย่างไรว่านั่นคือปัญหา?
“ผู้อาวุโส ผมไม่เข้าใจว่าคุณกำลังพูดอะไร…” จางเซวียนร้องออกมาด้วยความปั่นป่วน
ในเวลาเดียวกัน เขาก็รีบเรียกไอ้โหดที่อยู่ในหนังสือเทียบฟ้าให้เตรียมตัวให้พร้อม
แม้เขาจะยังไม่พบเลือดมังกร แต่ก็ดูเหมือนว่าภารกิจครั้งนี้ล้มเหลวแล้ว ในเวลานี้ เขาต้องพยายามหลบหนีให้ได้ก่อน
“เราอย่าเสียเวลากันอีกเลย!”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงไม่ใส่ใจ ‘ความปั่นป่วน’ ของจางเซวียน เขาประสานมือเข้าด้วยกัน แล้ว ทั่วทั้งพื้นที่ก็เรืองแสงขึ้นทันที พลังจิตวิญญาณถาโถมลงมาจากด้านบน ดูเหมือนพยายามจะกักขังจางเซวียนไว้
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคงมีบทเรียนจากครั้งก่อน จึงทุ่มสุดตัว ตั้งใจจะเล่นงานจางเซวียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“จัดการมัน!”
รู้ดีว่าปลอมตัวต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จางเซวียนสะบัดข้อมือและชักกระบี่เปลวเพลิงสีดำออกมา เขารวบรวมพลังปราณ จากนั้นก็กวัดแกว่งกระบี่อย่างดุเดือดเข้าใส่พลังจิตวิญญาณที่ถาโถมลงมา
ฟึ่บ!
พลังจิตวิญญาณและมิติที่อยู่โดยรอบถูกกระแสกระบี่ฉีกกระชากทันที เกิดรอยร้าวยาวไปจนถึงร่างของนักปราชญ์โบราณโม่หลิง
“แกเป็นสายลับ!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคำรามขณะพุ่งเข้าใส่จางเซวียนพร้อมกับไม้บรรทัดปะทะวิญญาณ
เคร้งงงง! เคร้งงงง!
ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณฟาดฟันกับกระบี่เปลวเพลิงสีดำหลายครั้ง ก่อนที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำจะกระตุกและหลุดจากมือของจางเซวียน
แม้จะเป็นของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ แต่กระบี่เปลวเพลิงสีดำก็อ่อนแอกว่าไม้บรรทัดปะทะวิญญาณมาก
ฟึ่บ!
ขณะที่กระบี่เปลวเพลิงสีดำถูกสอยกระเด็นไป นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็รีบใช้โอกาสนี้รุกเข้าโจมตี เขาใช้ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณเล่นงานจางเซวียนอีกครั้ง ในชั่วพริบตา จางเซวียนก็รู้สึกราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาถูกตรึงอยู่กับที่ โดยมีพละกำลังมหาศาลพยายามฉีกกระชากมัน
ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณเป็นของล้ำค่าที่สามารถเล่นงานได้แม้แต่จิตวิญญาณของนักปราชญ์โบราณ นับประสาอะไรกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานอย่างจางเซวียน
“หยุดเขาไว้!”
รู้ดีว่าต้องตายแน่หากยังไม่ยอมนำไม้ตายออกมาใช้ จางเซวียนรีบนำหนังสือออกมาและเปิดออก แขนคู่หนึ่งพุ่งออกมาจากหนังสือ แล้วตวัดกรงเล็บเข้าใส่ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณ
ด้วยพละกำลังของแขนคู่นั้น ไม้บรรทัดปะทะวิญญาณที่กำลังเดือดพล่านก็ดูจะกลายเป็นลูกแกะเชื่องๆ แรงปะทะอย่างน่าทึ่งเมื่อครู่นี้ของมันดูจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย และก่อนที่มันจะทันได้หลบหนี ก็ถูกมือคู่นั้นจับไว้แน่น