อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1814 ผมจะติดตั้งค่ายกล
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1814 ผมจะติดตั้งค่ายกล
“ท่านประธาน ผมไม่อยากพูดแบบนี้เลย แต่คุณคงต้องทิ้งพวกมันไว้ เพราะอีกไม่นาน บรรดานักปราชญ์โบราณในเมืองหลวงก็จะมาถึงวังแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้น เราสองคนแย่แน่!” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงแนะนำอย่างร้อนรน
ในบรรดานักปราชญ์โบราณที่อยู่เคียงข้างอำมาตย์เฉินหลิง ยังมีอีก 5 คนซึ่งยังมาไม่ถึง ซึ่งเหตุผลเดียวที่พวกเขายังมาไม่ถึงก็เพราะค่ายกลที่อยู่รอบหอนอนได้ปกปิดคลื่นพลังงานต่างๆไว้ไม่ให้หลุดรอดออกไปได้ แต่เมื่อค่ายกลพังทลายแล้ว ก็แน่นอนว่านักปราชญ์โบราณทุกคนจะต้องมุ่งหน้ามาที่นี่
และเมื่อพวกนั้นมาถึง พวกเขาก็ไม่มีทางหนีรอด!
ถึงนักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับไอ้โหดจะทรงพลัง แต่ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะเอาชีวิตรอดจากการถูกผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมายรุมล้อม ต่อให้เป็นอำมาตย์เฉินหย่งก็คงแทบเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน นับประสาอะไรกับพวกเขา!
จางเซวียนระบายลมหายใจยาวเพื่อระงับสติอารมณ์ ก่อนจะพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์อีกครั้ง “ถ้าผมหนีไปตอนนี้ ผมจะตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบอำมาตย์เฉินหลิงมากกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อไม่มีไอ้โหดกับหอกสวรรค์กระดูกมังกร อีกอย่าง เมื่อพวกมันรู้แล้วว่าผมมาถึงเมืองหลวง มันคงตามล่าผมอย่างไม่ลดละแน่ และนั่นจะทำลายแผนการที่ผมเตรียมไว้ทั้งหมด เหตุผลเดียวที่อำมาตย์เฉินหลิงยังไม่มีพิษสงมากนักในตอนนี้ก็เพราะเขายังไม่หายดี ถ้าหายดีเมื่อไหร่ล่ะก็ หายนะจะต้องเกิดกับเผ่าพันธุ์มนุษย์แน่ เราไม่มีเวลาเหลือแล้ว…”
มีกลไกป้องกันตัวอยู่มากมายภายในเมืองหลวง อย่างเช่นค่ายกลที่อยู่บนกำแพงเมือง แต่แน่นอนว่าด้วยวิถีทางของจางเซวียน เขาย่อมผ่านพวกมันไปได้อย่างง่ายดาย และถ้าเขาต้องการ จะปลอมตัวเป็นพลเมืองคนหนึ่งก็ได้ ยากที่ใครจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเขา
แต่เรื่องใหญ่ก็คือไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ แน่นอนว่าอำมาตย์เฉินหลิงจะต้องสั่งการให้สืบเสาะเรื่องราวอย่างละเอียด และนั่นอาจหมายถึงการสาวไปถึงอำมาตย์เฉินหย่งกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินด้วย ซึ่งหลิวหยางก็คงติดร่างแหไปกับอำมาตย์เฉินหย่ง
เมื่อเข้าใจเหตุผลของจางเซวียน นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตั้งคำถาม “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อ?”
จางเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยับยั้งพวกเขาไว้ให้ได้สักสิบอึดใจ จากนั้นปล่อยเป็นธุระของผม”
“สิบอึดใจ?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถึงกับผงะ แต่ลงท้ายก็พยักหน้า “ผมจัดการเอง!”
ฟิ้วววว!
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงขับเคลื่อนพลังจิตวิญญาณ เขาดึงพลังจิตวิญญาณจากบริเวณโดยรอบมาห่อหุ้มตัวเองราวกับน้ำวนขนาดใหญ่ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่นักปราชญ์โบราณสองคนนั้น เมื่อพลังของทั้งสามปะทะกัน มิติโดยรอบก็แตกสลายไปทีละชั้น
ขณะที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกำลังต่อสู้ ก็ชำเลืองมองจางเซวียนเป็นระยะ อยากรู้ว่าอีกฝ่ายมีแผนการอะไร สิ่งที่เขาเห็นก็คือจางเซวียนลอยตัวอยู่กลางอากาศและนำธงค่ายกลหลายพันอันออกมา
พวกมันคือของล้ำค่าบางส่วนที่จางเซวียนได้จากวิหารแห่งขงจื๊อ ธงค่ายกลแต่ละอันเป็นธงค่ายกลเกรด 9 ขั้นสูงสุด
เห็นการกระทำของอีกฝ่าย นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเกือบร่วงลงจากกลางอากาศ “เขาคิดจะติดตั้งค่ายกลตอนนี้หรือ? แน่ใจได้อย่างไรว่าจะเสร็จทัน? อีกอย่าง…”
จริงอยู่ว่าความเก่งกาจเรื่องค่ายกลของจางเซวียนนั้นไร้เทียมทาน เขาได้เห็นมาแล้วกับตา แต่นี่ไม่ใช่สถานที่ทั่วๆไป…
พวกเขาอยู่ในวังของอำมาตย์เฉินหลิง!
ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยค่ายกลและอักษรจารึก พวกมันล้วนแต่เป็นปัจจัยกีดขวาง ถ้าจางเซวียนต้องการติดตั้งค่ายกลที่นี่ เขาจะต้องคำนึงถึงค่ายกลพวกนั้นและหาหนทางที่จะติดตั้งค่ายกลของตัวเองให้ได้อย่างเหมาะสมที่สุด
อย่าว่าแต่สิบอึดใจ ต่อให้มีผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลระดับ 9 ดาวเป็นร้อยคนก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้หากไม่ใช้เวลาเป็นปี!
การคำนวณเพื่อติดตั้งค่ายกลนั้นยากเย็นมาก เหนือความสามารถของมนุษย์!
ฟิ้ววววว!
ยังไม่ทันที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจะหายตกตะลึง ชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศก็โบกมือ แล้วธงค่ายกลทั้งหมดก็ปลิวไปตามทิศทางของมัน
ภายในเวลาไม่ถึงสามอึดใจ ธงค่ายกลจำนวนหลายพันอันก็ถูกปักไว้โดยรอบหอนอนของอำมาตย์เฉินหลิงและหายวับไปจากสายตา
หลังจากเสร็จสิ้น จางเซวียนหันกลับมาบอกนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “ผมทำเสร็จแล้ว ถอยได้!”
“ได้สิ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบบินตรงไปหาจางเซวียน
แต่แน่นอนว่านักปราชญ์โบราณอีก 2 คนที่สู้กับเขาย่อมไม่ปล่อยให้เขาจากไปตามใจ พวกนั้นจึงรีบตามไปติดๆพร้อมกับปล่อยการโจมตีอีกชุดใหญ่ พยายามจะเล่นงานนักปราชญ์โบราณโม่หลิงให้หมอบให้ได้
ในตอนนั้นเอง เสียงตวาดก้องก็ดังขึ้นกลางอากาศ
“อ้าว? อำมาตย์เฉินหลิง คนพวกนี้เป็นใครน่ะ? ดูเหมือนพวกเขาจะเก่งกาจเสียจนทำให้คุณจนมุมได้นะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ผมเชื่อว่าคุณจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้หากพวกเราช่วยเหลือคุณ เพราะถึงอย่างไร คนระดับคุณก็คงไม่ผิดสัญญาหรอก ใช่ไหม?”
จากนั้น เจตจำนงมากมายก็แผ่ซ่านไปทั่วหอนอน แรงกดดันมหาศาลถาโถมลงมาจากด้านบน
นักปราชญ์โบราณที่เหลืออีก 5 คนมาถึงแล้ว!
“หยุดพล่ามเถอะ ผมต้องการตัวพวกนั้นแบบเป็นๆ อย่าให้ใครหนีรอดไปได้นะ…ถ้าพวกคุณทำได้ ผมจะทำตามที่ให้สัญญาไว้ แต่ถ้าพวกมันแม้แต่คนเดียวหลุดรอดไปได้ล่ะก็ ข้อตกลงของเราก่อนหน้านี้เป็นอันยกเลิก!” อำมาตย์เฉินหลิงคำราม
เขาอาจต้านทานพละกำลังจากโครงกระดูกของไอ้โหดได้ระหว่างที่มีค่ายกลในหอนอนคอยช่วยเหลือ แต่อาการบาดเจ็บของเขาเริ่มจะกลายเป็นอุปสรรคแล้ว ตอนนี้เขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป คงได้เสียชีวิตแน่!
ดังนั้น เขาจึงพร้อมยอมทำทุกอย่างเพื่อสกัดกั้นจางเซวียนกับพรรคพวกไม่ให้ไปไหน ถ้าเขาทำไม่ได้ คงต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่!
ถ้าเขาไม่ได้เลือดมังกรที่ลงทุนขัดเกลามันด้วยความลำบากยากเย็นกลับมา ใครจะไปรู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะฟื้นคืนพละกำลังดังเดิม?
“ไม่มีปัญหา!” เหล่านักปราชญ์โบราณก้มหน้าลงมองไอ้โหดกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิงพร้อมกับยิ้มเยาะ
เห็นภาพนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา เขาพึมพำอย่างสิ้นหวัง “ช้าไปแล้ว เราไม่มีทางหนีรอดได้แล้วล่ะ…”
กับสองนักปราชญ์โบราณก่อนหน้านี้ เขายังพอมีหนทางหลบหนี แต่ถ้าเจอกับนักปราชญ์โบราณมากมายพร้อมกันในคราวเดียว…เขาคงตายแน่
จางเซวียนหน้าซีดและยิ้มเจื่อนๆ เขาตั้งคำถาม “คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ? ผมน่ะตั้งหน้าตั้งตารอให้พวกเขามาถึงเลยนะ ไม่อย่างนั้นเราคงหนีไปไหนไม่ได้หรอก…”
จากการปักธงค่ายกลมากมายพร้อมกันในคราวเดียว ถึงจางเซวียนจะมีหอสมุดเทียบฟ้าและพลังปราณที่แทบจะไร้ขีดจำกัด เขาก็ยังอดรู้สึกหมดเรี่ยวแรงจากการใช้พลังครั้งนี้ไม่ได้
“คุณตั้งหน้าตั้งตารอพวกเขา?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงชะงัก
นี่มันใช่เวลาเล่นไหม?
ชีวิตของพวกเราอยู่บนเส้นด้ายนะ!
จางเซวียนไม่ใส่ใจนักปราชญ์โบราณโม่หลิงที่กำลังตื่นตระหนก เขาเงยหน้าขึ้นแล้วทักทายเหล่านักปราชญ์โบราณที่อยู่กลางอากาศ “คุณคือเหล่านักปราชญ์โบราณที่เป็นผู้ช่วยอำมาตย์เฉินหลิงใช่ไหม? ผมเป็นสหายของอำมาตย์เฉินหย่ง และบอกพวกคุณได้เลยว่าเขายังไม่ตาย อำมาตย์เฉินหลิงร่วมมือกับมนุษย์เพื่อลอบสังหารเขา แต่ลงท้ายแผนการก็ล้มเหลว ส่วนอำมาตย์เฉินหลิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส…”
มันอาจเป็นความพยายามที่สูญเปล่า แต่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำได้เพื่อดึงคนเหล่านี้ให้มาเป็นพรรคพวก
“อย่าไปฟังคำพูดพล่อยๆของหมอนั่น เขาเป็นปรมาจารย์ เป็นสายลับของเผ่าพันธุ์มนุษย์ รีบฆ่ามันเสีย!” อำมาตย์เฉินหลิงตวาดก้อง ตัดบทคำพูดของจางเซวียน
เขาตั้งใจจะจับจางเซวียนให้ได้ตัวเป็นๆเพื่อสอบสวน แต่ตอนนี้เขาไม่ใส่ใจแล้ว
นักปราชญ์โบราณเหล่านั้นอาจจงรักภักดีกับเขาก็จริง แต่ความจงรักภักดีของคนพวกนั้นอยู่บนความสัมพันธ์ของการได้ประโยชน์ร่วมกัน ถ้าอำมาตย์เฉินหย่งรับปากจะให้ผลตอบแทนกับพวกเขามากกว่า ก็แน่นอนว่าคนพวกนี้จะต้องตีจากเขาแน่
“เขาเป็นปรมาจารย์หรือ?” เหล่านักปราชญ์โบราณมองหน้ากันด้วยความสงสัย ไม่คิดว่าปรมาจารย์คนหนึ่งจะเข้ามาถึงเมืองหลวงและลักลอบเข้ามาที่วังของอำมาตย์เฉินหลิงซึ่งมีมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดได้
“ผมเป็นปรมาจารย์? อำมาตย์เฉินหลิง, คุณพูดออกมาน่ะ เชื่อคำพูดของตัวเองหรือเปล่า? ดูจากปราณสังหารและสายเลือดอันสูงส่งของผม กล้าดีอย่างไรถึงมาบอกว่าผมเป็นปรมาจารย์ ระมัดระวังคำพูดด้วย!” จางเซวียนคำรามขณะขับเคลื่อนพลังปราณอย่างดุเดือด
ในตอนนั้น เขาแผ่เจตนาสังหารที่เข้มข้นเทียบเท่ากับสามอำมาตย์ใหญ่ออกมา
“เอ่อ…”
“เป็นปราณสังหารที่เข้มข้นอะไรอย่างนี้! มนุษย์จะมีของแบบนี้ด้วยหรือ?”
“ถ้ามนุษย์ปลอมตัวได้ขนาดนี้ล่ะก็ เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราคงล่มสลายไปนานแล้ว”
นักปราชญ์โบราณคนอื่นๆขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ปัจจัยหลักที่ใช้แยกแยะเผ่าพันธุ์ปีศาจก็คือปราณสังหาร ยิ่งมีปราณสังหารเข้มข้นมากเท่าไหร่ ก็แปลว่าสายเลือดบริสุทธิ์มากขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปราณสังหารที่บุคคลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาแผ่ออกมานั้นเข้มข้นกว่าของพวกเขาเองเสียอีก แล้วคนแบบนี้จะเป็นปรมาจารย์ได้อย่างไร?
เห็นความลังเลของเหล่านักปราชญ์โบราณ อำมาตย์เฉินหลิงกัดฟันและตวาดก้อง “ฆ่ามัน แล้วผมจะเพิ่มเดิมพันที่สัญญาไว้กับพวกคุณให้เป็น 2 เท่า!”
“คุณแน่ใจนะ?” ได้ยินคำนั้น นักปราชญ์โบราณทั้ง 5 ตาโตด้วยความอัศจรรย์ใจ “ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ไม่มีอะไรที่พวกเราต้องลังเลแล้ว ฆ่าเขาเลย!”
สังคมเผ่าพันธุ์ปีศาจแตกต่างจากทวีปแห่งปรมาจารย์มาก กฎเกณฑ์และหลักการใดๆ ที่ยึดถือกันในทวีปแห่งปรมาจารย์นั้น สำหรับเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เป็นแค่สิ่งที่ใช้กันในสังคม ซึ่งจะถูกนำมาปฏิบัติก็ต่อเมื่อมันเอื้อประโยชน์ต่อพวกเขา
สุดท้าย สิ่งเดียวที่จะผลักดันพวกเขาได้ก็คือผลประโยชน์
ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นสหายของอำมาตย์เฉินหย่งหรือเป็นปรมาจารย์ ก็ไม่ได้แตกต่าง
สิ่งที่อำมาตย์เฉินหลิงให้สัญญากับพวกเขาคือบางอย่างที่อำมาตย์เฉินหย่งจะไม่มีวันมอบให้ได้
ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น จะมัวรีรออะไร?
เส้นทางที่พวกเขาควรเลือกเดินก็ชัดเจนอยู่แล้ว