อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1818 ตามหานักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1818 ตามหานักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง
จางเซวียนพยักหน้าขณะเอื้อมมือคว้าหอกสวรรค์กระดูกมังกร
ในชั่วพริบตานั้น เขารู้สึกได้ถึงพลังอันไร้ขีดจำกัดจากหอกที่พุ่งเข้าสู่ร่าง มันให้ความรู้สึกราวกับว่าการสะบัดข้อมือของเขาเพียงครั้งเดียวจะทำให้เขาสามารถจ้วงแทงทะลุมิติลงไปจนถึงโลกที่อยู่เบื้องล่าง
เหล่านักปราชญ์โบราณที่เคยอยู่เหนือกว่าที่เขาจะเอื้อมถึงในอดีตกลับกลายเป็นบุคคลที่เขาสามารถสังหารได้ด้วยการฟาดฟันเพียงครั้งเดียว อย่าว่าแต่จะเข้าท้าทายเลย
จางเซวียนหันไปตั้งคำถามกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “คุณรู้หรือเปล่าว่านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอยู่ที่ไหน?”
“นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง? คุณตามหาเขาทำไม? เขาคือหนึ่งในบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูร เมื่อหลายปีก่อน เขาต่อสู้กับอำมาตย์เฉินหย่งและลงเอยด้วยการถูกเนรเทศออกจากถิ่นที่อยู่ของตัวเอง ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้กับสนามรบแห่งขนนกไฟ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตอบงงๆ
ถึงเขาจะไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ก็อยู่กับเผ่าพันธุ์ปีศาจมานานหลายปีจนรู้เรื่องสนามรบแห่งขนนกไฟเป็นอย่างดี
“เขาอยู่แถวนี้หรือ? พาผมไปที่รังของเขาที!” จางเซวียนพูด
ความปรารถนาเบื้องต้นของจางเซวียนคือการยกระดับวรยุทธของหอกสวรรค์กระดูกมังกรเพื่อจะได้ทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนน ซึ่งในเมื่ออีกฝ่ายบังเอิญอยู่แถวนี้ ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ
“เอ่อ…” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงไม่ค่อยแน่ใจเมื่อได้ยินคำขอของจางเซวียน “ผมรู้มาว่านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงน่ะออกจะอารมณ์ร้อน…คุณจะตามหาเขาทำไม?”
ด้วยความสัตย์จริง เขารู้สึกว่าการจะตามความคิดของท่านประธานสมาคมคนนี้ให้ทันเป็นเรื่องยากมาก มันเรื่องอะไรที่จู่ๆเขาถึงตามหานักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง?
“เราต้องการคนมาเป็นสมัครพรรคพวกให้มากกว่านี้เพื่อจะได้มีชัยชนะเหนืออำมาตย์เฉินหลิง ซึ่งในเมื่อนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอยู่แถวนี้ หากเราทำให้เขายอมจำนนได้ย่อมถือว่าเยี่ยม” จางเซวียนตอบยิ้มๆ
“ทำให้เขายอมจำนน?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถึงกับพูดไม่ออก
อีกฝ่ายเป็นถึงบรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูร แม้แต่อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังทำให้เขายอมจำนนไม่ได้…
คุณล้อผมเล่นใช่ไหม?
“ท่านประธาน…ผมรู้ว่าคุณมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องค่ายกล แต่การทำให้อสูรยอมจำนนนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เห็นนะ ต้องใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์อันดีกันเนิ่นนาน ทั้งยังต้องอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน กว่าที่อสูรจะเต็มใจยอมจำนนให้คุณ” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงแนะนำ
เขารู้แล้วว่าประธานสมาคมคนใหม่มีความเก่งกาจไร้เทียมทาน แต่ถ้าจะพูดกันตามตรง ความคิดของอีกฝ่ายก็ออกจะเพ้อฝันเกินไป
ถ้าการทำให้บรรพบุรุษเก่าแก่ของเผ่าพันธุ์อสูรยอมจำนนมันง่ายดายขนาดนั้น ก่อนหน้านี้อำมาตย์เฉินหย่งก็คงไม่ต้องปวดหัวในการรับมือกับอีกฝ่าย
จางเซวียนตอบยิ้มๆ ขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบาย “ผมรู้ว่าคุณมาจากไหน แต่คุณรู้ได้อย่างไรว่ามันจะไม่ได้ผลหากยังไม่ได้พยายาม?”
“…ถ้าอย่างนั้นก็ได้!”
เห็นท่านประธานแสดงความดื้อดึงออกมาอีกครั้ง นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้ดีว่าไม่มีทางเปลี่ยนใจอีกฝ่าย จึงตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก เขานำแผนที่กับเข็มทิศออกมา จากนั้นก็ชี้ตำแหน่งของพวกเขาก่อนจะลากไปยังทิศทางหนึ่ง “นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับสมาชิกของเผ่าพันธุ์อสูรอยู่ห่างจากที่นี่ไปราวสองแสนลี้!”
“ห่างจากที่นี่สองแสนลี้? ตามนั้น!” จางเซวียนพยักหน้า
เขาชักหอกออกมาและจ้วงแทงมิติที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ
ฟึ่บ!
ทางเดินแห่งมิติปรากฏขึ้น จางเซวียนรีบกระโจนเข้าไป “ไปกันเถอะ!”
ตอนที่พวกเขาออกจากทางเดินแห่งมิติ ก็อยู่ห่างจากที่เดิมกว่าสองแสนลี้แล้ว ทิวเขาสูงที่ดูแห้งแล้ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า อสูรมากมายนับไม่ถ้วนบินว่อนอยู่เหนือศีรษะ
เผ่าพันธุ์อสูรที่อยู่ในสนามรบแห่งขนนกไฟกับที่อยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์มีความแตกต่างกันไม่มาก แต่ด้วยอานุภาพของพระจันทร์สีเลือด นัยน์ตาของพวกมันจึงแดงก่ำ ทำให้ดูดุร้ายและโหดเหี้ยม
อสูรบินได้มากมายบินว่อนอยู่เหนือภูเขา จำนวนของพวกมันมากจนน่าอัศจรรย์
แทนที่จะพุ่งตรงเข้าสู่ภูเขา ทั้งสองหยุดอยู่บริเวณทางเข้า จางเซวียนหันไปพูดกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง “ส่งจดหมายเข้าไปแจ้งว่าเราอยากขอเข้าพบนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพยักหน้า สมุดแนะนำตัวปรากฏขึ้นจากปลายนิ้วของเขาและพุ่งเข้าสู่ภูเขาแห้งแล้งกันดารนั้น เสียงกึกก้องราวพายุใหญ่ดังออกจากสมุดและกังวานไปทั่วทั้งหุบเขา
“ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ, โม่หลิง พร้อมกับประธานสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนใหม่, จางเซวียน-มาขอเข้าพบนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง!”
การมีแขกมาถึงอย่างไม่คาดฝันทำให้เหล่าอสูรที่บินว่อนอยู่กลางอากาศหันขวับมามองจางเซวียนกับนักปราชญ์โม่หลิงพร้อมกันด้วยแววตาเป็นปฏิปักษ์
พวกมันล้วนแต่จงเกลียดจงชังอำมาตย์เฉินหย่งที่เนรเทศพวกมันมายังดินแดนทุรกันดารแห่งนี้
ทุกตัวต่างไม่เคยได้ยินชื่อของประธานสมาคมคนใหม่ที่ชื่อจางเซวียนมาก่อน แต่สำหรับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง เขาถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงกระฉ่อนภายในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
อสูรตัวหนึ่งที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานบินเข้ามาและพูดว่า “บรรพบุรุษเก่าแก่กำลังอยู่ระหว่างการปลีกวิเวก คงไม่สะดวกที่จะพบแขกคนไหน กรุณากลับมาใหม่วันหลังเถอะ!”
“คงไม่สะดวกที่จะพบพวกเรา? บอกบรรพบุรุษเก่าแก่ของคุณนะว่าเรามาด้วยความปรารถนาดี ไม่มีความคิดจะทำร้ายเผ่าพันธุ์อสูร และเราเชื่อว่าเราจะช่วยเผ่าพันธุ์อสูรให้พ้นจากอันตรายในเวลานี้ได้” จางเซวียนพูด
“คุณจะช่วยพวกเราให้พ้นจากอันตรายในเวลานี้หรือ?” อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานคำราม “ผมต้องเชื่อใช่ไหมว่าคุณมีน้ำใจถึงขนาดจะยอมช่วยเหลือเราโดยไม่ร้องขอสิ่งใดตอบแทน? กรุณากลับไปเสียตอนนี้เถอะ ไม่อย่างนั้นผมคงหมดความอดทนแน่!”
พรึ่บ!
อสูรมากมายที่บินว่อนอยู่กลางอากาศรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เจตนาสังหารฉายชัดออกจากดวงตาของพวกมัน
“ผมยืนยันได้เลยว่าพวกคุณไม่จำเป็นต้องกังวล” เห็นความหวาดระแวงของเหล่าอสูร จางเซวียนปลอบโยนอย่างสุขุม “คุณได้ยินข่าวที่อำมาตย์เฉินหย่งถูกมนุษย์สังหาร และอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงก็ได้รับบาดเจ็บจนปางตายหรือเปล่า? ถ้าได้ยินล่ะก็ คุณคงรู้ว่าเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณทั้งเผ่าพันธุ์กำลังเข้าใกล้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว!”
นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากชายหนุ่ม อสูรตัวนั้นอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ผมพอรู้อยู่บ้าง!”
แม้พวกมันจะถูกขับออกมาอยู่ในดินแดนห่างไกล แต่ก็ยังพอรับรู้ข่าวคราวที่เป็นเหตุการณ์สำคัญในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“ในเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งถูกฆ่าตายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับเขาอีกต่อไป นี่เป็นโอกาสดีสำหรับเผ่าพันธุ์อสูรที่จะได้กลับคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด คุณอยากจะใช้ชีวิตในดินแดนทุรกันดารแห่งนี้จริงๆหรือ? ไม่มีทั้งพลังจิตวิญญาณและอาหารอันโอชะ? ถ้าเป็นอย่างนี้ล่ะก็ ไม่ช้าไม่นานเผ่าพันธุ์อสูรจะต้องพินาศแน่!”จางเซวียนพูด
“เอ่อ…” อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานครุ่นคิดหนัก
อีกฝ่ายพูดถูก
การขาดแคลนอาหารไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกมัน แต่พลังจิตวิญญาณที่มีอยู่น้อยนิดทำให้การยกระดับวรยุทธของพวกมันเป็นไปอย่างแสนเชื่องช้า และสุดท้าย อัตราการประสบความสำเร็จก็จะถูกจำกัด
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในระยะสั้นๆ แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป เผ่าพันธุ์อสูรทั้งเผ่าพันธุ์จะต้องอ่อนแอลงเรื่อยๆ สุดท้ายพวกมันก็จะไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของเผ่าพันธุ์ปีศาจ!
“ผมรู้ว่าคุณไม่อาจตัดสินใจด้วยตัวเองได้ จึงต้องขอรบกวนคุณให้นำสิ่งที่ผมพูดและข่าวที่คุณได้รับรู้ไปแจ้งกับบรรพบุรุษเก่าแก่ ผมเชื่อว่าเขาน่าจะตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดว่าควรจะพบผมหรือไม่!” เห็นสีหน้าของอสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน จางเซวียนแนะนำพร้อมกับโบกมือ
“…ก็ได้ ผมจะบอกเรื่องนี้กับบรรพบุรุษเก่าแก่”
รู้ดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็มีข้อเท็จจริงอยู่ และถือเป็นโอกาสดีสำหรับเผ่าพันธุ์อสูรที่จะได้ออกจากสถานการณ์คับขันนี้ อสูรตัวนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ ร่างมหึมาของมันหันหลังกลับ และบินลึกเข้าไปในสันเขา
จางเซวียนมองตามอสูรตัวนั้นและหัวเราะหึๆ
เพื่อจะทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนน เขาต้องพบกับอีกฝ่ายให้ได้ก่อน ซึ่งในการจะทำอย่างนั้น ก็ต้องยื่นข้อเสนอที่เป็นชิ้นเป็นอันให้กับเผ่าพันธุ์อสูร
ราว 1 ชั่วโมงต่อมา อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานก็กลับมาอีกครั้ง มันโบกกรงเล็บและพูดว่า “บรรพบุรุษเก่าแก่ของเราเชิญพวกคุณเข้าไปข้างใน!”
“ขอบคุณมาก” จางเซวียนกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิงรีบตามเข้าไปในสันเขา
พูดได้เลยว่าสันเขานี้ทุรกันดารมาก มีพืชขึ้นอยู่เพียงไม่กี่หย่อม แถมยังเต็มไปด้วยหนามแหลม แทบไม่พบสมุนไพรหรือพืชพรรณเขียวชอุ่มเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะโขดหินและก้อนดิน พวกเขาคงคิดว่าตัวเองอยู่ในทะเลทราย
เพราะไม่มีลำธารไหลผ่านสันเขา บรรยากาศจึงแห้งผาก เป็นภูมิอากาศที่ไม่เหมาะต่อการเอาชีวิตรอดแม้แต่น้อย
จางเซวียนอดรู้สึกไม่ได้ว่าเหล่าอสูรที่เขาได้พบระหว่างทางล้วนแต่มีสีหน้าอดอยากหิวโหย
นี่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ถ้าอสูรทรงพลังเดินทางไปยังอาณาจักรเทียนเซวียนและอยู่ที่นั่นนานเกินไป ไม่ช้าไม่นานระดับวรยุทธของพวกมันก็จะต้องตกต่ำลงเพราะขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ
ต่อให้ชนชั้นสูงที่เฉลียวฉลาดและดูดีที่สุดก็คงไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อน หากต้องจับพลัดจับผลูไปอยู่ในเกาะร้างอันห่างไกล
ไม่ช้าทั้งสามก็มาถึงถ้ำแห่งหนึ่ง อสูรที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานหยุดอยู่หน้าทางเข้าถ้ำแล้วพูดว่า “บรรพบุรุษเก่าแก่อยู่ในถ้ำนี้แหละ ผมจะยืนอารักขาอยู่ด้านนอกนะ”
“ได้” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะเข้าไปพร้อมกับนักปราชญ์โบราณโม่หลิง
ยังไม่ทันจะไปได้ไกล พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสบรรยากาศร้อนผ่าวที่พัดมา มันอาจทำให้ใครสักคนขนลุกขนชันได้ทีเดียว…