อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1823 อำมาตย์เฉินหย่งมาถึง
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1823 อำมาตย์เฉินหย่งมาถึง
เทคนิควรยุทธที่ชายหนุ่มถ่ายทอดให้นั้นไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องในวรยุทธของเขา แต่ยังเพิ่มพละกำลังด้วย ถ้านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงฝึกฝนวรยุทธตามนั้น ต่อให้ไม่มีลาวาอยู่ในถ้ำ ก็สามารถฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4 หรือสูงกว่านั้นได้อย่างง่ายดาย!
คงไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะบอกว่าเทคนิควรยุทธนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ขอแค่เขาฝึกฝนตามนั้น ระดับวรยุทธก็จะก็จะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
หลังจากศึกษาเทคนิควรยุทธในหัวสมองอย่างถี่ถ้วน ในที่สุดนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็รับรู้ได้ ไม่มีข้อสงสัยแล้วว่าชายหนุ่มคือนักรบที่เก่งกาจ ที่ในท้ายที่สุดก็จะก้าวขึ้นเป็นสุดยอดของโลก เขาจึงค้อมตัวลงและปล่อยเลือดหยดหนึ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของชายหนุ่ม “เปลวเพลิงคารวะนายท่าน!”
แม้ก่อนหน้านี้เขาจะยังลังเล แต่ตอนนี้ทุกข้อสงสัยถูกสลัดออกจากหัวใจแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะยังอายุน้อยและมีวรยุทธอ่อนด้อย แต่ก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นเจ้านายของเขา การติดตามอีกฝ่ายจะทำให้เขาพัฒนาขึ้นอีกมาก
ส่วนจางเซวียนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากซึมซับหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง
ดูเหมือนการเดินทางครั้งนี้ของเขาจะไม่สูญเปล่า นักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดกับอสูรอีกมากมายในสังกัด…ต่อให้เขาต้องปะทะกับอำมาตย์เฉินหลิงอีกครั้ง ก็มีพละกำลังมากพอที่จะปกป้องตัวเองแล้ว
…..
นักรบกลุ่มหนึ่งบินไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาคืออำมาตย์เฉินหย่งกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินที่แยกทางกับจางเซวียนก่อนหน้านี้
ที่ตามหลังพวกเขาคือนักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์จำนวน 4 คน
แม้ทั้งสี่จะมีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าผู้นำทั้งสอง แต่ก็แน่นอนว่าทุกคนคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ หากเป็นการต่อสู้ พละกำลังของพวกเขาก็เป็นอันพึ่งพาได้
ทั้งสี่คือนักปราชญ์โบราณที่อำมาตย์เฉินหย่งกับนักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเรียกมาเป็นสมัครพรรคพวกได้สำเร็จในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เห็นมิติที่อยู่ตรงหน้าแตกกระจายครั้งแล้วครั้งเล่าขณะที่กำลังมุ่งหน้าไป นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่ตามหลังอดตั้งคำถามไม่ได้ “ฝ่าบาท เรากำลังจะไปไหน?”
“เรากำลังมุ่งหน้าไปยังสนามรบแห่งขนนกไฟ!” อำมาตย์เฉินหย่งตอบ
“สนามรบแห่งขนนกไฟ?” นักปราชญ์โบราณที่เพิ่งตั้งคำถามเมื่อครู่ครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “ที่นั่นกันดารและห่างไกล คงไม่มีนักปราชญ์โบราณอยู่หรอก ใช่ไหม?”
“ถ้าผมจำไม่ผิด นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงแห่งเผ่าพันธุ์อสูรอยู่ที่นั่น” นักปราชญ์โบราณอีกคนหนึ่งเสริม
“นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง?”
เมื่อได้ยินชื่อนั้น สมาชิกที่เหลือในกลุ่มพากันตัวงอด้วยความพรั่นพรึงก่อนจะรีบหันไปมองอำมาตย์เฉินหย่ง
ไม่มีใครในสนามรบแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ไม่เคยได้ยินเรื่องความขัดแย้งระหว่างนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับอำมาตย์เฉินหย่ง แล้วมุ่งหน้าไปหาอีกฝ่ายแบบนี้…ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ?
“ผมไม่ปฏิเสธว่าระหว่างผมกับเขาเคยมีความขัดแย้ง แต่ถ้าเราอยากเปิดโปงอาชญากรรมที่อำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงทำไว้ เราก็จำเป็นต้องอาศัยพละกำลังของหมอนั่น”
ในเมื่อเขารวบรวมนักปราชญ์โบราณเหล่านี้มาเป็นสมัครพรรคพวกแล้ว จึงไม่คิดจะปิดบังอะไร
“แต่ความขัดแย้งในครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งคู่ย่ำแย่…”
“จะย่ำแย่แค่ไหนก็ไม่มีทางเลือก ผมได้แต่คิดในแง่ดีไว้ก่อนเท่านั้น…” อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้า
ถ้าเขาเลือกได้ เขาคงไม่ยอมบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากศัตรูแน่ เพราะรู้ดีว่าจะต้องถูกเหยียดหยาม และสิ่งนี้อาจย้อนกลับมาแว้งกัดเขาในภายหลัง แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือก
นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินหันมามองและตั้งคำถาม “ผู้อาวุโสจางเซวียนพูดไว้ไม่ใช่หรือว่าเขาจะหาทางทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนนหลังจากที่หาเลือดมังกรพบแล้ว? แล้วเราจะไม่รอเขาหรือไง?”
“ยอมจำนน?” ได้ยินคำนั้น อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้า “คุณคิดว่าเจ้าเปลวเพลิงนั่นจะยอมลดตัวลงมาเป็นอสูรของมนุษย์คนหนึ่งหรือ?”
นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินเงียบกริบ
เขาเองก็ไม่แน่ใจหากว่าเป็นอสูรตัวอื่น แต่สำหรับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง หมอนั่นคืออสูรที่ดื้อด้านที่สุดในโลก ในอดีต อำมาตย์เฉินหย่งเคยใช้ทุกวิถีทางเพื่อพยายามทำให้อีกฝ่ายยอมจำนน แต่หมอนั่นก็ดูจะไม่ใส่ใจทั้งไม้แข็งและไม้นวมที่อำมาตย์เฉินหย่งใช้ เขายินยอมที่จะถูกเนรเทศไปยังดินแดนทุรกันดารที่ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณ โดยปฏิเสธที่จะยอมจำนนให้กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ
เพียงเท่านี้ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดไหน
จะเป็นไปได้หรือที่อสูรซึ่งหยิ่งผยองขนาดนั้นจะยอมจำนนให้กับมนุษย์ที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่นักปราชญ์โบราณ?
“นายน้อยไม่เคยพบเปลวเพลิงมาก่อน จึงไม่น่าแปลกอะไรที่เขาจะไม่คุ้นเคยกับนิสัยของหมอนั่น ส่วนเรา ในฐานะผู้ที่เคยพบและพูดคุยกับเขามาก่อน แน่ใจได้เลยว่าไม่มีทางทำให้หมอนั่นยอมจำนนได้!”
ในตอนนั้น อำมาตย์เฉินหย่งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ แทนที่จะมัวหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราควรมุ่งหน้าไปที่นั่นและพูดจากับเจ้าเปลวเพลิงดีๆ ในสมัยนั้น ผมคือผู้ที่บีบให้เขาต่อสู้ เพราะฉะนั้นผมจึงต้องเป็นคนแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้น!”
“ผมก็คิดว่าเราคงได้แต่หวังเท่านั้นแหละ” นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินพยักหน้า
ในเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งคือตัวการที่ผลักดันให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเป็นปฏิปักษ์กับเผ่าพันธุ์ปีศาจ หากพวกเขาอยากจะโน้มน้าวนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงให้มาเป็นสมัครพรรคพวก ก็จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นจากอำมาตย์เฉินหย่ง
“เรามาถึงแล้ว…”
ระหว่างการหารือ เหล่านักปราชญ์โบราณก็มาถึงดินแดนที่อยู่ในอาณาบริเวณของสนามรบแห่งขนนกไฟ สันเขาอันแห้งแล้งทุรกันดารปรากฏตรงหน้า
“นี่คือสนามรบแห่งขนนกไฟหรือ? ใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แบบนี้ก็ได้หรือไง?” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตอย่างตกตะลึง รับรู้ได้ถึงพลังจิตวิญญาณในอากาศที่แสนจะเบาบาง
เมื่อปราศจากทรัพยากรและพลังจิตวิญญาณ สิ่งเดียวที่ใครสักคนจะทำได้ในสถานที่แบบนี้ก็คือเอาชีวิตรอด ไม่มีทางที่จะยกระดับวรยุทธในที่แบบนี้ได้เลย
เมื่อพิจารณาจากการที่อำมาตย์เฉินหย่งเนรเทศนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงมายังดินแดนทุรกันดารแบบนี้ พวกเขาก็ไม่น่าจะประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวอีกฝ่ายให้ยอมช่วยเหลือในการรับมือกับสองอำมาตย์ สถานการณ์ดูจะไม่เป็นใจนัก
รู้สึกได้ถึงความกังวลของสมาชิกที่เหลือ อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้าอย่างลำบากใจ “รีบหาอสูรให้พบแล้วถามมันเถอะว่านักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอยู่ไหน”
ด้วยการกระดิกนิ้ว เขาก็ไปปรากฏตัวตรงหน้าอสูรตัวหนึ่งที่เพ่นพ่านอยู่บริเวณสันเขา
อสูรตัวนั้นเตรียมถอยอย่างหวาดระแวง
อำมาตย์เฉินหย่งรีบเข้าไปยับยั้งอสูรไว้ไม่ให้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ และส่งโทรจิตพลังปราณหามัน “ผมเป็นสหายของบรรพบุรุษเก่าแก่ของคุณ, นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง คุณพอจะพาผมไปหาเขาได้หรือเปล่า?”
เมื่อถูกบีบให้อยู่ในจุดที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือใดๆไม่ได้ อสูรตัวนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากตอบรับอย่างว่าง่าย “บรรพบุรุษเก่าแก่ของเรา…กำลังอยู่ระหว่างการสั่งการให้พรรคพวกของเราเก็บข้าวของ…”
“เก็บข้าวของ? พวกคุณจะไปไหนกัน?”
นักปราชญ์โบราณทั้งกลุ่มมองหน้ากันอย่างสงสัย
ก็จริงอยู่ว่าสภาพแวดล้อมของสนามรบแห่งขนนกไฟทุรกันดารมาก แต่เหล่าอสูรก็อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ทำไมจู่ๆถึงคิดจะเก็บข้าวของขึ้นมา?
“เรากำลังจะมุ่งหน้าไปเมืองหลวง” อสูรตัวนั้นรีบตอบ
มันเป็นแค่อสูรที่มีวรยุทธระดับเซียนขั้น 1 และอาศัยอยู่บริเวณรอบนอกของสันเขา จางเซวียนจึงไม่ได้เสียเวลามาทำให้มันยอมจำนน
“คุณกำลังจะกลับเมืองหลวง?” ได้ยินคำนั้น อำมาตย์เฉินหย่งหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึง “หรือว่า…อำมาตย์เฉินหลิงดำเนินการตัดหน้าเราและโน้มน้าวนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงให้เป็นพรรคพวกของเขาได้แล้ว?”
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่พวกมันมีความคิดแบบนี้ ในเวลานี้ เมืองหลวงอยู่ภายใต้การควบคุมของอำมาตย์เฉินหลิง และในเมื่อนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเป็นปฏิปักษ์ต่อตัวเขา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่อำมาตย์เฉินหลิงจะพยายามโน้มน้าวใจอีกฝ่ายให้หันมาเล่นงานเขาด้วย
“เมื่อเร็วๆนี้ มีแขกมาเยือนไหม?” อำมาตย์เฉินหย่งตั้งคำถาม
อสูรตัวนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่อไม่นานมานี้ นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่ชื่อโม่หลิงมาที่นี่พร้อมกับนายท่านของบรรพบุรุษเก่าแก่ของเรา ตอนนี้พวกเขาคงยังอยู่แถวนี้แหละ!”
“เดี๋ยวก่อน…นายท่าน?”
อำมาตย์เฉินหย่งกำลังจะถามว่านายท่านคือใคร ก็พอดีกับที่นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินขัดขึ้น “นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณในเวลานี้ เขาเป็นผู้ช่วยที่ไว้ใจได้ที่สุดคนหนึ่งของอำมาตย์เฉินหลิง มีบทบาทสำคัญในการวางแผนปิดล้อมคุณ…”
นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวินได้ข่าววงในมาเล็กน้อยจากบริวารและทายาทของเขาหลังจากที่ออกจากภูเขาสินแร่แม่เหล็กดึกดำบรรพ์ จึงพอรู้รายละเอียดบางอย่าง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดที่รับใช้อำมาตย์เฉินหลิง เป็นธรรมดาที่ใครๆจะติดตามความเคลื่อนไหวของนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเพื่อพยายามล้วงความลับเรื่องแผนการของอำมาตย์เฉินหลิง
“ในเมื่อนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเป็นบริวารของอำมาตย์เฉินหลิง และนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็ยอมรับใครคนหนึ่งเป็นเจ้านายของเขาแล้ว จะเป็นไปได้หรือเปล่าว่าผู้นั้นคืออำมาตย์เฉินหลิง? อำมาตย์เฉินหลิงทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนนได้แล้วจริงๆหรือ?”
หัวใจของอำมาตย์เฉินหย่งกระตุก
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พวกเขาก็ตกที่นั่งลำบากแล้ว
หลังจากไต่ถามอีกสองสามคำเพื่อให้แน่ใจเรื่องที่อยู่ของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง อำมาตย์เฉินหย่งก็เคาะนิ้วลงบนศีรษะของอสูรเพื่อจัดการให้มันสลบ ก่อนจะหันมาสั่งการ “เราแอบไปที่นั่นอย่างเงียบๆเถอะ ระวังอย่าให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงรู้ตัว…”
ในเมื่ออำมาตย์เฉินหลิงยังอยู่ใกล้ๆ พวกเขาก็ต้องไปดูให้เห็นกับตา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“ได้!”
รู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญขนาดไหน สมาชิกที่เหลือต่างพยักหน้า พวกเขาปกปิดรังสีของตัวเองและมุ่งหน้าไป โดยบินเรี่ยพื้นเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัว