อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1824 กลับเมืองหลวง
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1824 กลับเมืองหลวง
หลังจากผ่านภูเขามากมายหลายลูก ไม่ช้าทั้งกลุ่มก็เห็นอสูรฝูงใหญ่ลอยตัวอยู่เหนือถ้ำ พวกมันจัดเรียงตัวกันเป็นค่ายกลอย่างเป็นระเบียบ ราวกับกองทัพที่กำลังรอคอยคำสั่ง
“ที่นี่ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณไม่ใช่หรือ? ทำไมจิตวิญญาณของอสูรพวกนี้ถึงรวมกันเป็นหนึ่งได้ แถมยังดูเหมือนประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกมันจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย…” อำมาตย์เฉินหย่งผงะไปอีกครั้ง
ตอนที่เขาผลักดันให้อสูรพวกนี้อพยพ เขาต้องใช้กองกำลังทหารจำนวนมากเพื่อรับมือกับพวกมัน แม้อสูรพวกนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า
เขาคิดว่าคงเป็นโชคดีมากแล้วหากพวกมันสามารถรักษาระดับวรยุทธไว้ได้หลังจากถูกเนรเทศ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกมันจะพัฒนาตัวเองได้อีกมากหลังจากนั้น!
ขณะที่กำลังตกตะลึง อำมาตย์เฉินหย่งก็เห็นมิติบิดเบี้ยวบริเวณตรงหน้าถ้ำ สองร่างปรากฏตรงนั้น
ร่างแรกถูกไฟคลอกทั้งตัว ปื้นสีดำปรากฏเป็นหย่อมๆบนผิวหนังสีทองของมัน แสดงอาการว่ากำลังค่อยๆเปลี่ยนสี
ความร้อนแผดเผาที่แผ่ออกจากร่างนั้นทำให้รู้สึกเหมือนมันกำลังถูกย่างด้วยมิติและกาลเวลา
“ทรงพลังอะไรขนาดนี้…” อำมาตย์เฉินหย่งกำหมัดแน่นอย่างเคร่งเครียด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าร่างที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าคือนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงที่เขาตั้งใจจะมาหว่านล้อมให้มาเป็นสมัครพรรคพวก ระหว่างสงครามในครั้งนั้น เขาได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับอีกฝ่ายหลายครั้ง จึงรู้ระดับวรยุทธของมันเป็นอย่างดี เขาคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้แน่ที่อีกฝ่ายจะยกระดับวรยุทธได้อีกหลังจากถูกเนรเทศมาที่นี่ แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงจะสามารถพัฒนาวรยุทธได้อีกมาก?
ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ พูดได้เลยว่าหมอนั่นเทียบชั้นกับเขาในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุดได้เลยทีเดียว
ไม่น่าเชื่อว่าเผ่าพันธุ์อสูรจะแข็งแกร่งทนทานถึงขนาดเพิ่มพละกำลังขึ้นได้เรื่อยๆแม้จะถูกเนรเทศมายังดินแดนห่างไกลทุรกันดารแบบนี้…
มันเกิดอะไรขึ้น?
ก่อนหน้านี้ อำมาตย์เฉินหย่งคิดว่ายังพอมีความเป็นไปได้ที่จะโน้มน้าวอีกฝ่ายให้มาเป็นพรรคพวกของเขาด้วยการยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจบางอย่าง แต่ด้วยพละกำลังของนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงในตอนนี้ ดูเหมือนข้อเสนอของเขาคงไม่อาจดึงดูดใจอีกฝ่ายได้แล้ว
“คนที่อยู่ตรงนั้นคือนักปราชญ์โบราณโม่หลิงหรือเปล่า? ทำไมถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนั้น? ผมเคยพบเขาเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนั้นเขายังไม่แข็งแกร่งเท่านี้เลย!” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งอุทานออกมา
ได้ยินเสียงนั้น อำมาตย์เฉินหย่งหันกลับไปมองอีกร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง แค่มองเพียงแวบเดียว เขาก็เลิกคิ้วด้วยความอัศจรรย์ใจ
เขาเคยพบนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเช่นกัน และแน่นอนว่าอีกฝ่ายคือคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยาก โชคดีที่การยกระดับวรยุทธของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย นักปราชญ์โบราณโม่หลิงจึงไม่ได้เป็นภัยคุกคามกับเขามากนัก แต่ตอนนี้ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ระดับวรยุทธของหมอนั่นพุ่งพรวดจนถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้
หรือสวรรค์กำลังส่งสัญญาณบอกว่ายุคสมัยของเขาสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ?
“นายท่าน พวกเราสำนึกในบุญคุณอย่างมากสำหรับการชี้แนะอันแสนเป็นประโยชน์ของคุณ เราจะเผชิญหน้ากับอันตรายใดๆก็ตามพร้อมกับคุณโดยไม่บ่นแม้แต่คำเดียว!”
ดูเหมือนนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงจะยังไม่รู้ว่าอำมาตย์เฉินหย่งกับพรรคพวกซ่อนตัวอยู่หลังเขา เขาประสานมือและโค้งคำนับอย่างงามไปยังถ้ำที่อยู่ตรงหน้า
หลังจากยอมรับเจ้านายคนใหม่แล้ว เขาก็ยังไม่รีบร้อนอพยพ แต่ใช้โอกาสนี้นำลาวาจากใต้ดินมาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตัวเองก่อน ด้วยการใช้เทคนิควรยุทธที่นายท่านของเขาถ่ายทอดให้ ไม่เพียงแต่อาการบาดเจ็บจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เขายังรู้สึกว่าระดับวรยุทธเพิ่มสูงขึ้นอีกมากด้วย สิ่งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นจนสุดจะบรรยาย และความรู้สึกสำนึกในบุญคุณต่อนายท่านของเขาก็ล้ำลึกกว่าเดิม
“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก” ชายหนุ่มตอบอย่างสุขุมขณะเดินช้าๆออกจากถ้ำ
เมื่อเห็นร่างนั้น อำมาตย์เฉินหย่งถึงกับสะดุ้ง
เขาเคยคิดว่าผู้ที่ออกมาจะต้องเป็นอำมาตย์เฉินหลิง และเตรียมหาโอกาสคร่าชีวิตอีกฝ่ายแล้ว แต่เมื่อมองใกล้ๆ สิ่งที่เห็นกลับทำให้เขาต้องอัศจรรย์ใจ
“นายน้อย…”
ร่างนั้นคือนายน้อยที่เดินทางไปเมืองหลวงเพื่อตามหาเลือดมังกร!
เขาไม่ได้ไปที่วังของอำมาตย์เฉินหลิงหรือ?
ทำไมถึงอยู่ที่นี่?
หรือว่านายท่านที่นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพูดด้วยก่อนหน้านี้ก็คือเขา?
พูดอีกอย่างก็คือ นายน้อยทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนนได้แล้ว!
แม้จะเป็นถึงฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลข 1 ของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ แต่อำมาตย์เฉินหย่งก็ไม่อาจทำความเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า
ระหว่างที่กำลังประหลาดใจอยู่ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆดังอยู่ไม่ไกลนัก
“ออกมาเถอะ ถ้าพวกคุณมาถึงแล้วน่ะ!”
แม้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับอสูรตัวอื่นๆจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่จางเซวียนก็รู้สึกได้ถึงอำนาจของแม่เหล็กที่อบอวลอยู่ในพื้นที่ เขาจึงเปิดใช้งานดวงตาหยั่งรู้ ไม่ช้าก็จับร่องรอยของอำมาตย์เฉินหย่งได้
ฟึ่บ!
เมื่อรู้ตัวว่าถูกพบแล้ว อำมาตย์เฉินหย่งบินตรงเข้าไปหาจางเซวียนโดยไม่ลังเล
“อำมาตย์เฉินหย่ง…” เมื่อเห็นศัตรูเก่า นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหรี่ตาอย่างโกรธขึ้ง เปลวไฟพุ่งออกจากร่างของเขา ดูเหมือนพร้อมจะเปลี่ยนทั้งสันเขาให้กลายเป็นขุมนรกได้ทันที
“หยุดก่อน!” จางเซวียนรีบยกมือขึ้นยับยั้งอีกฝ่าย
“ได้” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงไม่กล้ากระด้างกระเดื่องต่อคำสั่งของนายท่าน แต่นั่นก็ไม่อาจยับยั้งความโกรธขึ้งที่แผดเผาส่วนลึกในหัวใจของเขา ขณะที่กำลังสงสัยว่านายท่านยับยั้งเขาไว้ทำไม ก็เห็นฮ่องเต้เผ่าพันธุ์ปีศาจหมายเลข 1 ประสานมือพร้อมกับโค้งคำนับอย่างงามและทักทาย “นายน้อย!”
“นายน้อย?”
นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงถึงกับชะงัก เขาหันขวับไปมองนักปราชญ์โบราณโม่หลิง และเห็นอีกฝ่ายแทบไม่เชื่อสายตาเช่นกัน
ข้อเท็จจริงที่ว่าอำมาตย์เฉินหย่งเรียกขานชายหนุ่มว่า ‘นายน้อย’ ก็หมายความว่าเขาเป็นบริวารของชายหนุ่ม…ว่าแต่ มันเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร?
อำมาตย์เฉินหย่งผู้ยิ่งใหญ่, ผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ ยอมรับใช้เป็นบริวารของมนุษย์คนหนึ่ง…จะต้องมีอะไรผิดปกติแน่!
นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอดตั้งคำถามไม่ได้ “นายท่าน เขาเป็นบริวารของคุณหรือ?”
จางเซวียนพยักหน้ายิ้มๆ “อำมาตย์เฉินหย่งถือได้ว่าเป็นบริวารของผม อำมาตย์เฉินหย่ง,ผมเพิ่งรับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเป็นอสูรของผม เพราะฉะนั้น ผมหวังว่าคุณจะละวางความขัดแย้งใดๆก็ตามที่มีต่อเขาไปเสีย ตกลงไหม?”
แม้อำมาตย์เฉินหย่งจะตกใจไม่แพ้กัน แต่ก็พยักหน้ารับโดยอัตโนมัติก่อนจะหันไปมองนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “เราพบกันอีกแล้วนะ…”
ทั้งคู่จัดว่าเป็นสองผู้เชี่ยวชาญตัวฉกาจในสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องสงครามระหว่างพวกเขา และสงครามครั้งนั้นก็ถือเป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา
แต่แล้ว สำหรับคู่กรณีทั้งสอง…คนหนึ่งกลายเป็นบริวาร ขณะที่อีกตัวหนึ่งกลายเป็นอสูรผู้ยอมจำนน…
ที่น่าสะพรึงกว่านั้นก็คือพวกเขากำลังรับใช้ชายหนุ่มคนเดียวกันที่ชื่อจางเซวียน!
แค่คิดก็เหลวไหลสิ้นดีแล้ว!
“ได้…” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพยักหน้า
พูดกันตามตรง มันเคยคิดว่าคำกล่าวอ้างของชายหนุ่มที่สัญญาว่าจะนำพาเผ่าพันธุ์อสูรกลับสู่ดินแดนที่พวกมันมีสิทธิ์อย่างชอบธรรมเป็นแค่คำสัญญาลมๆแล้งๆ แต่เมื่อได้เห็นว่าแม้แต่อำมาตย์เฉินหย่งก็ยังเป็นบริวารของเขา ก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มจริงจังกับเรื่องนี้
“อำมาตย์เฉินหย่ง ผมเพิ่งตอบตกลงที่จะช่วยนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงให้กลับสู่ดินแดนที่พวกเขาเคยพำนักอยู่ ผมจึงอยากให้คุณให้สัญญาว่าจะสร้างความร่วมมือกันระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรกับเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณ คุณจะต้องไม่มองเผ่าพันธุ์อสูรเป็นคนนอกและขับไล่พวกเขาอีก!” จางเซวียนสั่งการ
“ผมจะทำตามคำสั่งของคุณ, นายน้อย” อำมาตย์เฉินหย่งรีบพยักหน้ารับ
ต่อให้เขาอยากปฏิเสธ เขาก็ไม่มีอำนาจพอที่จะทำแบบนั้น โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มมีนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงเป็นสมัครพรรคพวกแล้ว
ไม่น่าแปลกใจเลยที่นายน้อยจะเข้าตาเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ เขาเป็นบุคคลที่พิเศษจริงๆ!
นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงคือคู่ต่อสู้ที่เขาต้องรับมือด้วยอย่างระมัดระวังสุดๆ แต่ในชั่วพริบตา มันก็ถูกทำให้ยอมจำนนและเชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย อำมาตย์เฉินหย่งอดอัศจรรย์ใจไม่ได้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
“ดีแล้วล่ะ! ตอนนี้เราก็มีพละกำลังมากพอที่จะรับมือกับอำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงแล้ว ถึงเวลากลับเมืองหลวงและจบปาหี่ครั้งนี้เสียที!”
ยังคงมีบรรยากาศของความตึงเครียดระหว่างนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงกับอำมาตย์เฉินหย่ง แต่เขารู้ดีว่าการจะคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งคู่คงต้องใช้เวลา จึงไม่อยากรีบร้อนเรื่องนั้น
ตอนนี้ พวกเขามีนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้น 3 การฟื้นคืนชีพของสายเลือดเป็นสมัครพรรคพวกอยู่ 4 คน, รวมกับอำมาตย์เฉินหย่ง นักปราชญ์โบราณเฮ่าฉวิน นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง หากพวกเขาได้ผนึกกำลังกันกับหอกสวรรค์กระดูกมังกรและไอ้โหด ก็จะกลายเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดถึง 6 คน
ส่วนนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์นั้น พวกเขาหามาได้ทั้งหมด 4 คน
เมื่อรวมกันกับหุ่นโลหะไร้วิญญาณที่จางเซวียนเพิ่งหลอมเมื่อไม่นานมานี้ สรรพกำลังของพวกเขาก็เหนือชั้นกว่าอำมาตย์เฉินหลิงแล้ว
ต่อให้อำมาตย์เฉินชิงต่อสู้เคียงข้างอำมาตย์เฉินหลิง จางเซวียนก็มั่นใจว่าพวกเขาจะคว้าชัยชนะ!
นี่หมายความว่าถึงเวลากลับสู่เมืองหลวงแล้ว เพื่อประกาศความจริงว่าอำมาตย์เฉินหย่งยังคงมีชีวิตอยู่ และในที่สุดก็กลับมา!
“ได้!”
ฝูงชนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
รู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญแค่ไหน นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงหันกลับไปสั่งการ “พวกคุณ, รอผมอยู่ที่นี่นะ หลังจากที่เราปฏิบัติภารกิจที่เมืองหลวงแล้ว ผมจะกลับมาพาพวกคุณไปยังที่ที่เป็นของพวกคุณอย่างแท้จริง…”
ไม่มีทางที่เขาจะพาเหล่าอสูรกลับเมืองหลวงไปด้วยกันได้ เพราะมันอาจเป็นชนวนให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรกับเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณอีกครั้ง ซึ่งเขาไม่อยากเห็น
ในเวลานี้ เป็นการดีที่สุดหากจะปล่อยเผ่าพันธุ์อสูรไว้ที่นี่ก่อน จนกว่าพวกเขาจะจับตัวการใหญ่คืออำมาตย์เฉินหลิงกับอำมาตย์เฉินชิงและคืนอำนาจให้อำมาตย์เฉินหย่งได้ แล้วหลังจากนั้น ทุกอย่างก็จะง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก!