อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1830 การฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นนักปราชญ์โบราณ (2)
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1830 การฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณไปเป็นนักปราชญ์โบราณ (2)
“หนังสือหรือภูมิปัญญาของผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ?” ได้ยินคำนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเกือบร่วงลงจากกลางอากาศ
คุณกล้าดีอย่างไร!
ยังไม่มีทั้งภูมิปัญญาหรือเทคนิควรยุทธ แต่พยายามจะฝ่าด่านวรยุทธให้ได้ดื้อๆแบบนี้…
คุณคิดว่าวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณเหมือนวรยุทธขั้นอื่นที่จะฝ่าด่านกันได้ง่ายๆหรือไง?
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงพูดไม่ออก เขาสะบัดข้อมือเพื่อนำหนังสือกองหนึ่งออกมา จากนั้นก็โยนให้จางเซวียน “นี่ไง!”
ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่ผันตัวเข้าสู่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดอย่างสมบูรณ์แบบมา และตัวนักปราชญ์โบราณโม่หลิงเองก็เป็นนักปราชญ์โบราณผู้เชี่ยวชาญ จึงเป็นธรรมดาที่จะมีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่มากมาย
จางเซวียนใช้พลังจิตวิญญาณสร้างมือขนาดใหญ่ขึ้นมาข้างหนึ่งเพื่อรวบรวมหนังสือเหล่านั้นไว้ ก่อนจะกวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว กระแสข้อมูลไหลบ่าเข้าสู่สมองและกลายเป็นความรู้ของเขา
แต่ไม่ช้าเขาก็ส่ายหน้า
หนังสือพวกนี้รวบรวมเอาประสบการณ์และกรรมวิธีการฝ่าด่านวรยุทธของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณในอดีตเอาไว้ แต่ไม่มีประโยชน์กับเขาเท่าไหร่
ในฐานะนักรบที่ฝึกฝนศาสตร์แห่งจิตวิญญาณเทียบฟ้า เส้นทางที่เขาเลือกเดินแตกต่างจากผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนอื่นๆ หากเขาพยายามฝ่าด่านวรยุทธโดยใช้วิถีทางแบบทั่วไปตามที่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนอื่นๆใช้กัน วรยุทธของเขาก็อาจถูกธาตุไฟเข้าแทรก
ดูเหมือนเราคงต้องพึ่งพาตัวเอง ในเมื่อผู้พยากรณ์จิตวิญญาณคนแรกค้นหาเส้นทางที่จะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณจนเจอ เราก็ต้องหาเส้นทางของตัวเองจนได้เหมือนกัน! จางเซวียนคิดขณะรีบสลัดทุกอย่างที่ได้อ่านออกจากหัวสมอง จากนั้นก็ปรับสภาพจิตใจให้สงบ
ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะต้องการประสบการณ์และภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษเพื่อชี้ทาง ลงท้าย ผู้นั้นก็ต้องเรียนรู้ที่จะแผ้วถางเส้นทางของตัวเอง
พลังจิตวิญญาณที่อยู่ในก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ไหลบ่าเข้าสู่จิตวิญญาณของเขาราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากและบ่มเพาะมัน แต่อะไรที่มากเกินไปก็ย่อมไม่ส่งผลดี สติสัมปชัญญะของจางเวียนเริ่มพร่าเลือนเพราะการแบกรับพลังงานที่มากเกินไป
จิตวิญญาณของนักรบระดับเซียนกว่า 1 แสนคนก่อเกิดเป็นพลังงานเข้มข้นที่เหนือชั้นกว่าแม้แต่พละกำลังของนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ถึงจิตวิญญาณของจางเซวียนจะได้รับการบ่มเพาะจากสายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด เขาก็ยังรู้สึกจนปัญญา
สุดท้าย ภาพหลอนก็ค่อยๆปรากฏต่อหน้าต่อตาของเขา
แม้ก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์จะมีอานุภาพขจัดจิตใต้สำนึกที่อยู่ภายในจิตวิญญาณและแปรเปลี่ยนพวกมันให้เป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ได้ แต่ก็ไม่อาจกำจัดรังสีที่อบอวลอยู่ในจิตวิญญาณเหล่านั้น
นักรบระดับเซียนทั้ง 1 แสนคนได้ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนวรยุทธมาเนิ่นนานหลายปี แต่แล้วก็ต้องมาจบชีวิตกะทันหันเพียงเพราะอำมาตย์เฉินหลิงต้องการเครื่องบรรณาการสำหรับเยียวยาอาการบาดเจ็บของเขา จึงไม่น่าแปลกใจที่เผ่าพันธุ์ปีศาจแต่ละตัวที่ถูกนำชีวิตมาเซ่นสังเวยจะเปี่ยมด้วยความเคียดแค้นและโกรธเกรี้ยว
หากมีจิตวิญญาณเพียง 1 หรือ 2 ดวงก็คงไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อความโกรธเกรี้ยวของจิตวิญญาณกว่า 1 แสนดวงมาผนวกรวมกัน พละกำลังที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ใครคนหนึ่งสมควรหลีกเลี่ยง
“หัวใจใสกระจ่าง สมองว่างเปล่า!”
ภายใต้การไหลบ่าของกระแสความโกรธเกรี้ยว จางเซวียนรู้สึกราวกับเจตจำนงของเขากำลังถูกทำลาย เหลือไว้แค่ความใสกระจ่างที่ล่องลอยอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา ปกปักรักษาสิ่งที่เขาหวงแหนเอาไว้
เพราะผ่านภูเขาหนังสือและมหาสมุทรแห่งการเรียนรู้มาแล้ว จางเซวียนจึงได้อ่านหนังสือและซึมซับความรู้มากมายนับไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ จิตวิญญาณของเขาจึงหนักแน่นกว่าปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวโดยทั่วไปและแม้แต่นักปราชญ์โบราณบางคน
สมองของจางเซวียนเริ่มเลอะเลือน แต่ก็ยังจับใจความสำคัญได้ ความทรงจำมากมายนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับการสังหารและการนองเลือดแวบเข้ามาในหัวสมอง เขารู้สึกราวกับตัวเองมีชีวิตอยู่พร้อมกันทีเดียวในหลายๆชาติ แต่ไม่ว่าประสบการณ์เหล่านั้นจะสับสนขนาดไหน จางเซวียนก็ยังจดจำข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นปรมาจารย์ได้ ต่อให้เขาต้องเสียชีวิต แต่ก็ยังมีหลักการและค่านิยมบางอย่างที่เขาต้องยึดถือไว้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
เรื่องนี้ก็เป็นความคิดของผู้เชี่ยวชาญอีกหลายคนในทวีปแห่งปรมาจารย์
ในครั้งนั้น หลังจากปราบไอ้โหด ปรมาจารย์ขงก็มีทั้งพละกำลังและวิถีทางมากมายที่จะทำลายล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจให้ราบคาบ แต่ก็ไม่ได้เลือกที่จะทำแบบนั้น
นั่นเป็นเพราะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์ขงเห็นด้วย เขายืนหยัดในศรัทธาที่ว่าการให้ความรู้คือกุญแจที่นำไปสู่การพัฒนา และมุ่งมั่นจะยึดถือในความเชื่อนั้น
ตัวจางเซวียนก็มีความเชื่อที่เขามุ่งมั่นจะยึดถือเช่นกัน แต่ไม่เหมือนกับปรมาจารย์ขง เขาไม่ใช่ นักปราชญ์ที่กินอุดมคติ ไม่ใช่ว่าจางเซวียนไม่เห็นด้วยกับวิสัยทัศน์ของปรมาจารย์ขง แต่ต่อให้เขาเลือกจะยึดถือวิสัยทัศน์แบบเดียวกัน มันก็ต้องถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของการรับประกันความปลอดภัยให้กับผู้ที่เขาต้องการปกป้อง
ดังนั้น นอกจากสืบเสาะหาที่อยู่ของหลัวลั่วชิงแล้ว เป้าหมายหลักของเขาที่สนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็คือคลี่คลายภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปทีเดียว
แน่นอนว่าจางเซวียนอยากใช้วิถีทางแห่งสันติภาพมากกว่าหากรู้สึกว่าพอจะเป็นไปได้ แต่ลงท้าย เขาก็คิดว่าออกจะอันตรายเกินไปสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ หากเผ่าพันธุ์ปีศาจถูกปล่อยให้ทำอะไรได้ตามอำเภอใจ
“จิตวิญญาณของเราจะไม่มีวันถูกทำลาย เจตจำนงของเราจะคงอยู่ต่อไปชั่วกัลปาวสาน…ไม่ว่าเราจะก้าวหน้าไปแค่ไหน เราจะไม่มีวันหลงลืมรากเหง้าของตัวเอง นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเรา!”
ทุกอย่างที่จางเซวียนได้พบเจอมาตลอด 1 ปีตั้งแต่เขามาถึงทวีปแห่งปรมาจารย์ฉายวาบเข้ามาในหัวสมอง
ฟึ่บ!
จิตวิญญาณที่ไม่อาจถูกทำลายล้างได้ของเขาค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นหยดน้ำสีทองที่เข้าโอบล้อมพลังจิตวิญญาณที่รวมตัวกันอยู่อย่างรวดเร็ว ไม่ช้า หยดน้ำสีทองนั้นก็สร้างคลื่นน้ำวนที่โอบรอบจิตวิญญาณของเขาไว้ มันขยายขนาดใหญ่ขึ้นในทันที
คลื่นน้ำวนบีบอัดพลังจิตวิญญาณไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่ช้า หยดน้ำหยดที่ 2 ก็ก่อตัว ตามมาด้วยหยดที่ 3 แล้วหยดน้ำมากมายหลายหยดก็รวมตัวกันไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา บ่มเพาะร่างนั้น
จิตวิญญาณที่ถูกบีบอัดให้กลายเป็นของเหลว-นี่คือเครื่องหมายของการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ…จางเซวียนตาโต
เขารู้ตัวว่าการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณใกล้จะสำเร็จเต็มทีแล้ว
ด้วยธรรมชาติของจิตวิญญาณที่ไร้รูปร่างและจับต้องไม่ได้ แน่นอนว่าไม่มีทางที่ผู้ที่ไม่ใช่ผู้พยากรณ์จิตวิญญาณและไม่ได้ครอบครองดวงตาหยั่งรู้จะมองเห็นมันได้ ต่อให้ใช้การรับรู้จิตวิญญาณก็ตาม
แต่การที่จิตวิญญาณของจางเซวียนถูกบีบอัดจนกลายเป็นของเหลว ก็หมายความว่าจิตวิญญาณของเขาสูญเสียธรรมชาติของการจับต้องไม่ได้ไป โดยแปรสภาพไปอยู่ในรูปของเหลวที่เคลื่อนไหวได้แทน
แน่นอนว่าในความเป็นจริงมันไม่ได้หมายถึงของเหลวจริงๆ แต่หมายถึงการที่ความบริสุทธิ์ของพลังจิตวิญญาณของเขาก้าวเข้าสู่อีกระดับหนึ่ง ทำให้สภาพโดยธรรมชาติของมันเปลี่ยนแปลงไปมาก
พลังจิตวิญญาณที่อยู่ในสภาพเหมือนกับของเหลวจะทำให้เขาสำแดงพละกำลังได้รุนแรงและหนักหน่วงกว่าเดิม
เร็วขึ้นอีก!
เมื่อรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของเขาที่เกือบจะระเบิดอยู่เมื่อครู่เริ่มสงบลง จางเซวียนก็เร่งกระบวนการแปรสภาพ
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงตาค้างขณะจับจ้องการเคลื่อนไหวของจางเซวียน
เขารู้จักก้อนหินสงครามศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย และสัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณอันเข้มข้นและทรงอานุภาพที่อยู่ในก้อนหินนั้น แม้แต่ตัวเขาก็ยังถูกอำนาจของมันดึงดูด
แม้จะเป็นผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด นักปราชญ์โบราณโม่หลิงก็รู้ดีว่าตัวเขาไม่อาจกลืนกินพละกำลังมหาศาลขนาดนั้นได้ในคราวเดียว ร่างของเขาคงระเบิดเสียก่อนตั้งแต่กลืนกินมันเข้าไปเพียง 1 ใน 10 แล้ว แต่อีกฝ่ายกล้าแตะต้องพลังงานมหาศาลขนาดนั้นเพียงเพื่อจะฝ่าด่านวรยุทธจากนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกไปเป็นนักปราชญ์โบราณ
คนคนหนึ่งจะเอาชีวิตรอดด้วยวิธีนี้ได้อย่างไร?
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงคิดว่าไม่ช้าจางเซวียนก็คงหยุด แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะซึมซับพลังจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน ภายในเวลาไม่ถึง 3 นาที พลังจิตวิญญาณกว่าครึ่งของจิตวิญญาณกว่า 1 แสนดวงที่เป็นเครื่องบรรณาการของอำมาตย์เฉินหลิงก็ถูกเขากลืนกินไป
ในตอนนั้น จิตวิญญาณของจางเซวียนมีความสูงราว 100 เมตร ทำให้เขากลายเป็นยักษ์ปักหลั่นสูงตระหง่าน
“บีบอัดทุกอย่างให้กลายเป็นของเหลวและฝ่าด่านวรยุทธ!”
ขณะที่นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกำลังตกตะลึง จิตวิญญาณขนาดมหึมานั้นก็ตะโกนก้อง ร่างสูงตระหง่านของมันเริ่มหดตัวลงด้วยความเร็วอย่างน่าทึ่ง
ในเวลาเดียวกัน ภาพวาดภาพหนึ่งก็คลี่ตัวเองออกกลางอากาศ จากภาพวาดนั้น รังสีโบร่ำโบราณ พวยพุ่งออกมา มันเป็นรังสีโบร่ำโบราณที่หายไปจากทวีปแห่งปรมาจารย์เนิ่นนานจนนับปีไม่ถ้วน
นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ!
ภายใต้การพุ่งของรังสีนั้น จิตวิญญาณของจางเซวียนบริสุทธิ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว เร่งกระบวนการบีบอัดจิตวิญญาณให้เป็นของเหลวให้เร็วขึ้นอีก
ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จิตวิญญาณของเขาก็กลับสู่สภาพเดิม แต่ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณที่บีบอัดอยู่ในจิตวิญญาณทำให้เขารู้สึกว่าเพียงแค่โบกมือเบาๆก็แทบจะฉีกกระชากมิติให้แยกออกจากกันได้แล้ว จิตวิญญาณทั้งดวงของเขาแผ่รังสีของความโบร่ำโบราณที่ดูราวกับนักรบผู้เป็นอมตะออกมา
“นักปราชญ์โบราณ…จิตวิญญาณของท่านประธานสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณแล้ว!” เห็นการแปรสภาพนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นขณะทั้งร่างสั่นสะท้าน
แม้กระบวนการฝ่าด่านวรยุทธที่จางเซวียนใช้จะแตกต่างไปจากกระบวนการใดๆที่เขาเคยเห็นมาก่อน แต่ข้อเท็จจริงก็คือจิตวิญญาณของอีกฝ่ายสามารถรองรับพละกำลังและรังสีไว้ได้มากมาย ถึงขนาดก้าวผ่านด่านคอขวดที่สกัดกั้นเขาไว้แล้วสำเร็จวรยุทธขั้นใหม่ได้
ถึงเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณที่อยู่ในสนามรบแห่งเผ่าพันธุ์ปีศาจจะรักษาวงศ์วานว่านเครือของตัวเองไว้ได้สำเร็จ แต่ก็เหลือจำนวนน้อยมาก แถมมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถส่งต่อศาสตร์แห่งจิตวิญญาณของตัวเองให้กับผู้อื่นได้
อันที่จริง นักปราชญ์โบราณโม่หลิงเป็นนักปราชญ์โบราณเพียงคนเดียวที่สมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณมีอยู่ในเวลานี้ จึงไม่เป็นการเกินจริงหากจะพูดว่าเขาคือผู้เดียวที่โดดเด่นอยู่ในสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ
แต่การฝ่าด่านวรยุทธของท่านประธานบ่งบอกถึงการเริ่มต้นครั้งใหม่ของสมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ ภายใต้การนำของท่านประธาน เขาเชื่อว่าไม่ช้าไม่นาน สมาคมผู้พยากรณ์จิตวิญญาณจะต้องกลับมารุ่งเรืองและยิ่งใหญ่อีกครั้ง!
ครืนนนน!
พร้อมๆกันกับการเจริญเติบโตของพลังจิตวิญญาณของจางเซวียน ท้องฟ้าเบื้องบนก็เริ่มสั่นสะท้าน เมฆดำกลุ่มใหญ่รวมตัวกัน สายฟ้าฟาดและลูกไฟมากมายนับไม่ถ้วนเกรี้ยวกราดอยู่ในนั้น พละกำลังทำลายล้างกำลังก่อตัวอยู่ด้านบน
การทดสอบนักปราชญ์โบราณมาถึงแล้ว!