อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1831 การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1831 การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า
จางเซวียนเงยหน้ามองท้องฟ้าขณะตั้งข้อสังเกตอย่างเคร่งเครียด “มันทรงพลังยิ่งกว่าการทดสอบวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติเสียอีก”
เพราะผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก สภาวะจิตของเขาจึงสุขุมเยือกเย็นกว่าที่เคย แม้จะมีพละกำลังอันน่าสะพรึงก่อตัวอยู่เหนือศีรษะ พร้อมที่จะเล่นงานเขาได้ตลอด แต่จางเซวียนก็ไม่สะทกสะท้าน
“ต้องลองดูสักหน่อย…”
นัยน์ตาของจางเซวียนเป็นประกายเมื่อเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารีบดึงจิตวิญญาณกลับเข้าสู่กายเนื้อ
“ท่านประธานคิดจะทำอะไร?”
เห็นภาพนั้น นักปราชญ์โบราณโม่หลิงรู้สึกเหมือนหัวสมองจะระเบิด
สิ่งเดียวที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จคือจิตวิญญาณของจางเซวียน แต่กายเนื้อของเขายังคงมีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกอยู่ การดึงจิตวิญญาณกลับเข้ากายเนื้อก็หมายความว่าเขากำลังจะนำกายเนื้อเข้าสู่การทดสอบวรยุทธ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย!
“เขาคิดจะใช้แรงกดดันจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณเพื่อบ่มเพาะกายเนื้อและพลังปราณ จะได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณพร้อมๆกันอย่างนั้นหรือ?” อำมาตย์เฉินหย่งหรี่ตาด้วยความสงสัย
เหตุผลที่เขามีพละกำลังมหาศาลก็เพราะเขาได้ผลักดันตัวเองให้ก้าวข้ามขีดจำกัดตั้งแต่เมื่อครั้งยังหนุ่ม เพราะความบ้าบิ่นนี้ที่ทำให้ในที่สุดเขาก็ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเป็นที่ 1 ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนายน้อย ดูเหมือนความบ้าบิ่นของเขาในครั้งนั้นจะเทียบชั้นไม่ได้เลย!
ด้วยความปราดเปรื่องของนายน้อย ไม่ช้าไม่นานเขาก็คงฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้ ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงแบบนี้ แต่นายน้อยกลับเลือกที่จะใช้วิธีการสุดโต่งเพื่อบ่มเพาะร่างกายและเร่งความก้าวหน้าของเขา!
การท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณด้วยกายเนื้อและพลังปราณที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกนั้นจัดเป็นการกระทำที่อันตรายมาก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ความตาย เรียกได้ว่าไม่คุ้มค่าสักนิดที่จะเสี่ยง
บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!
พฤติกรรมของจางเซวียนดึงดูดสายตาทุกคู่ที่อยู่บริเวณนั้น พวกเขาหยุดการสู้รบโดยอัตโนมัติเพื่อเฝ้าดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
ฟึ่บ!
ทันทีที่จิตวิญญาณของจางเซวียนกลับเข้าสู่กายเนื้อ พลังปราณของเขาก็พลุ่งพล่าน กายเนื้อสั่นสะท้าน จากนั้นเมฆดำ 2 กลุ่มใหญ่ก็พุ่งเข้ามา พวกมันรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
เปลวเพลิงสวรรค์และสายฟ้าฟาดตั้งต้นเล่นงานจางเซวียนอย่างดุเดือด กลบร่างของเขาไว้มิด
เปลวเพลิงนั้นเป็นสีดำสนิท บ่งบอกชัดว่ามันคือเปลวเพลิงสวรรค์ขั้นสูงสุด อีกทั้งยังมีพละกำลังทำลายล้างมากกว่าที่จางเซวียนเคยเผชิญเมื่อครั้งเข้าท้าทายการทดสอบของวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติ ต่อให้ของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณก็คงหลอมละลายไม่มีเหลือ
“นิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณ!”
จางเซวียนตวาดก้อง ม้วนภาพวาดคลี่ออกอีกครั้ง แล้วนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณก็พุ่งเข้าสู่ร่างของจางเซวียนอย่างรวดเร็ว
ในชั่วพริบตานั้น ดูราวกับใครสักคนปลุกเลือดทุกหยดในร่างของเขาให้ฟื้นคืนชีพ เรียกพลังงานมหาศาลให้แผ่ออกจากร่างนั้นเพื่อกลบความร้อนแผดเผาที่อยู่โดยรอบ
แต่เพียงไม่นาน ผิวหนังและกล้ามเนื้อของจางเซวียนก็เริ่มมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน เกิดบาดแผล เปรอะเปื้อนเลือดทั่วร่างของเขา
แม้จางเซวียนจะทรงพลังกว่านักรบทั่วไป แต่ทั้งกายเนื้อและพลังปราณของเขาก็อยู่ในขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกเท่านั้น ไม่มีทางจะต้านทานการทดสอบนักปราชญ์โบราณอันทรงพลังได้
ถ้าไม่ใช่เพราะพลังปราณเทียบฟ้าที่คอยเยียวยากายเนื้อของเขา ร่างของจางเซวียนคงแตกเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว
เราไม่มีทางทำได้จริงๆหรือ? จางเซวียนคิดขณะกัดฟันกรอดเพื่ออดทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เกาะกุมร่างของเขา
เขารู้ดีว่าการทดสอบนักปราชญ์โบราณนั้นทรงพลังมาก ซึ่งก็เป็นอย่างที่อำมาตย์เฉินหย่งคิดไว้ เหตุผลที่เขาเลือกดึงจิตวิญญาณกลับสู่กายเนื้อก็เพราะหวังจะใช้แรงกดดันจากการทดสอบวรยุทธเพื่อผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณให้สำเร็จ
แม้การกระทำนี้จะอันตราย แต่จางเซวียนก็รู้สึกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจหายากที่เขาสามารถใช้ประโยชน์จากมันเพื่อการฝ่าด่านวรยุทธได้ อีกอย่าง ก็ไม่ใช่ทุกวันที่ใครสักคนจะมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับพละกำลังระดับนี้
ในสายตาของคนอื่นๆ จางเซวียนคือนักรบที่ไม่เคยพบกับด่านคอขวดในการฝึกฝนวรยุทธ พวกเขาต่างรู้สึกว่าไม่ช้าไม่นานจางเซวียนจะต้องฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จแน่
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาน่าจะทำสำเร็จภายในอีก 100 ปีข้างหน้า
การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นวีรกรรมปาฏิหาริย์ ไม่ว่าจะเป็นในทวีปแห่งปรมาจารย์หรือสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ผู้ที่ทำสำเร็จมีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
แต่จางเซวียนไม่อาจรอนานขนาดนั้นได้!
เขาต้องการพบหลัวลั่วชิงและฟังเหตุผลจากปากของเธอ ไม่อย่างนั้นคงได้เสียสติแน่ เขาพยายามระงับอารมณ์ให้สุขุมเยือกเย็นมาตลอด แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้อีกนานแค่ไหน
ดังนั้น ไม่ว่าเรื่องนี้จะเสี่ยงอย่างไร ขอแค่ยังพอมีโอกาสให้เขาปีนป่ายไปสู่ความก้าวหน้า เขาก็จะคว้ามันไว้ แม้โอกาสนั้นอาจหมายถึงการลงเอยด้วยความตาย!
เปรี้ยงงงง!
สายฟ้าฟาดและเปลวเพลิงสวรรค์โจมตีจางเซวียนอย่างไม่ลดละ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกย่างทั้งเป็นอยู่ในหม้อหลอมยา ร่างกายของเขาเหี่ยวแห้ง พลังปราณถูกสูบออกไปในปริมาณมาก จางเซวียนใกล้หมดความอดทนเต็มที
หยดเลือดของนักปราชญ์โบราณ!
จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำขวดหยกออกมาก่อนจะดื่มสิ่งที่อยู่ข้างใน
หลังจากกลืนเลือดของนักปราชญ์โบราณลงไปราวกับเป็นน้ำเปล่า เขาก็สามารถเรียกพลังงานที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้และประทังชีวิตไปได้อีกระยะหนึ่ง
เราต้องเดินหน้า!
ภาพของกระบี่เปลวเพลิงสีดำ หยวนเทา และหอกสวรรค์กระดูกมังกรที่ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณได้สำเร็จแวบเข้ามาในสมองของจางเซวียน เขากัดฟันอย่างมุ่งมั่น
ในเมื่อพวกนั้นผ่านการทดสอบวรยุทธไปได้อย่างง่ายดาย เราก็จะแพ้ไม่ได้!
ด้วยความคิดนั้น จางเซวียนพุ่งเข้าสู่หมู่เมฆดำ
“บ้าไปแล้ว! นี่มันบ้าสิ้นดี!” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงอุทานออกมาขณะที่ตัวสั่นไม่หยุด
แม้จะเกิดมาพร้อมกับศักยภาพของร่างกายที่เหนือชั้น แต่เมื่อครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับการทดสอบนักปราชญ์โบราณ ก็ยังไม่กล้าดำดิ่งเข้าสู่ใจกลางของเมฆดำแบบนี้
ในเมื่อนายท่านเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ การทำแบบนี้จะไม่เท่ากับฆ่าตัวตายหรือ?
ต่อให้นักรบผู้หนึ่งจะได้รับพละกำลังมหาศาลแค่ไหนจากการฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ย่อมไม่มีความหมายอะไรเลยหากเขาต้องเสียชีวิตระหว่างกระบวนการนั้น
ครืดดดด!
เมื่อถูกยั่วยุจากการกระทำของจางเซวียน หมู่เมฆดำเกิดความเกรี้ยวกราดขึ้นมา สายฟ้าฟาดขนาดใหญ่แลบแปลบปลาบทั่วทั้งท้องฟ้า เกิดรอยแยกสีดำสนิทขึ้นท่ามกลางมิติ จากนั้น สายฟ้าฟาดและเปลวเพลิงที่อยู่โดยรอบก็รวมตัวกันรอบๆรอยแยกสีดำสนิท เกิดเป็นพละกำลังทำลายล้าง ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้น
เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนมีกระบี่สีดำขนาดยักษ์ที่เปี่ยมด้วยพละกำลังทำลายล้างกำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ
“นี่มัน…เดี๋ยวก่อน! หรือว่ามันจะเป็น…การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า? แต่นั่นเป็นไปไม่ได้! การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์ของสายฟ้าเรียกได้ว่าเป็นหายนะที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้นั้นพยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณขั้น 4-ผู้ทำลายล้างมิติเท่านั้น!” อำมาตย์เฉินหย่งหน้าซีดเผือดขณะที่หัวใจแทบจะกระโดดออกมาจากลำคอ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญหมายเลข 1 ของเผ่าพันธุ์ปีศาจและหลานชายของไอ้โหด เขาได้อ่านหนังสือมากมายที่เกี่ยวข้องกับนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้น 4 ผู้ทำลายล้างมิติ
หนังสือเหล่านั้นบอกรายละเอียดไว้ว่าในการจะสำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ ผู้นั้นจะต้องผ่านการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้า มันคือการทดสอบที่เปลวเพลิงสวรรค์กับสายฟ้าฟาดจะรวมตัวกันและก่อตัวขึ้นในรูปแบบของอาวุธที่มาจากสวรรค์
อาวุธแต่ละชิ้นจะมีพละกำลังทำลายล้างมากพอที่จะทำลายทั้งโลกนี้ให้ราบคาบ ถึงขนาดที่ตัวเขา ก็จะถูกเฉือนเป็น 2 ท่อนได้อย่างง่ายดายหากต้องเผชิญหน้ากับมัน
นายน้อยของเขาแค่พยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณเท่านั้น…ทำไมถึงเรียกการทดสอบอันทรงพลังขนาดนี้มาได้? ดูไม่สมเหตุสมผลเลย!
“จบเห่แล้ว…”
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพรั่นพรึงจนพูดอะไรไม่ออก
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าการทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าคืออะไร แต่ก็รู้ดีว่ากระบี่ขนาดมหึมาที่ก่อตัวขึ้นจากสายฟ้าและเปลวเพลิงสวรรค์ซึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเผชิญหน้าด้วยพละกำลังที่มีอยู่ได้ อันที่จริง เพียงแค่จ้องมองกระบี่ก็รู้สึกเหมือนหัวจิตหัวใจจะแตกสลายด้วยความหวาดหวั่นแล้ว
อำมาตย์เฉินหลิงที่ลอยตัวอยู่เหนือแท่นบูชาหยุดการซึมซับพลังงานปริมาณมหาศาลอย่างกะทันหัน และในเวลาเดียวกัน รอยแยกของมิติที่ถูกเปิดออกจากการประกอบพิธีกรรมก็ค่อยๆปิดตัวลง
ดูเหมือนจะไม่มีใครที่ไม่ยำเกรงอานุภาพทำลายล้างของธรรมชาติ
การฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณโดยทั่วไปไม่อาจนำการทดสอบวรยุทธอันทรงพลังขนาดนี้มาได้ แม้แต่กับตัวเรา แต่เราก็พยายามเผชิญหน้ากับการทดสอบนักปราชญ์โบราณด้วยจิตวิญญาณ กายเนื้อ และพลังปราณ แถมยังพยายามยั่วยุมันด้วยการพุ่งเข้าใส่ด้วย…
แม้แต่จางเซวียนก็ไม่อาจคงความสุขุมไว้ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังน่าพรั่นพรึงระดับนี้ เขาขนลุกขนชันไปทั่วทั้งตัว
จางหงเทียนและนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงเคยบอกเขาไว้ว่ายิ่งพยายามจะฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณมากครั้งขึ้นเท่าไหร่ ลงท้ายความสำเร็จก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น ในอดีต ปรมาจารย์ขงเข้าท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณรวมทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งในที่สุดก็เลือกฝ่าด่านวรยุทธในครั้งที่ 4
หยวนเทาก็เคยท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เลือกที่จะกดข่มระดับวรยุทธไว้และยับยั้งตัวเองไม่ให้ฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ
ในเมื่อจางเซวียนเรียกการทดสอบวรยุทธมาได้ระหว่างการฝ่าด่านวรยุทธของจิตวิญญาณ เขาก็ควรจะเผชิญหน้ากับการทดสอบนักปราชญ์โบราณเพียงครั้งเดียว แต่เขากลับนำกายเนื้อและพลังปราณเข้าสู่การทดสอบวรยุทธด้วย ซึ่งนั่นเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างไป
พูดง่ายๆก็คือ เขากำลังเผชิญหน้ากับพละกำลังของการทดสอบนักปราชญ์โบราณถึง 3 ครั้งในคราวเดียว และนั่นคือเหตุผลที่การทดสอบอาวุธยุทธภัณฑ์สายฟ้าถูกเรียกมา
ถ้าเขาเอาชนะมันได้ ก็จะเท่ากับเอาชนะการทดสอบนักปราชญ์โบราณได้ถึง 3 ครั้งในคราวเดียว มันจะช่วยบ่มเพาะทั้งกายเนื้อ พลังปราณ และจิตวิญญาณของเขา สร้างรากฐานอันแข็งแกร่งสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธในอนาคต แต่หากเขาล้มเหลว ทุกอย่างก็จบเห่ มันหมายถึงการสิ้นสุด
เขากำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายและทุ่มสุดตัว
“คุณอาจมีพละกำลังไร้เทียมทาน แต่ผมคือผู้ที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้จนถึงขนาดนี้ ถ้าคุณคิดว่าคุณจะเล่นงานผมสำเร็จด้วยเรื่องเพียงเท่านี้ล่ะก็ จะได้รู้กันว่าคุณคิดผิด!” จางเซวียนคำรามลั่นขณะพุ่งเข้าใส่กระบี่ขนาดมหึมาที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ
ควั่บ!
วินาทีที่กำปั้นของจางเซวียนกำลังจะถึงเป้าหมาย กระบี่ขนาดมหึมานั้นก็กวัดแกว่งลงมาจากท้องฟ้า แรงกดดันมหาศาลจากการร่วงลงมาของกระบี่ทำให้มือของจางเซวียนได้รับบาดเจ็บทันที เลือดไหลนองไปตามแขน ผิวหนังของเขาถูกฉีกกระชากออกไป เผยให้เห็นกระดูกขาวโพลน