อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1836 เทพเจ้าลงมา (2)
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1836 เทพเจ้าลงมา (2)
ไร้ยางอาย, ปลิ้นปล้อนหลอกลวง และเก่งกาจปราดเปรื่องราวกับปีศาจ คนแบบนี้ปรากฏตัวขึ้นในเผ่าพันธุ์มนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ถ้าชายผู้นี้รอดไปได้ ในท้ายที่สุดเขาจะต้องกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณแน่
ถ้าอำมาตย์เฉินหลิงรู้เสียก่อนว่ามีศัตรูที่ทรงพลังขนาดนี้อยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาคงไม่มีวันหักหลังอำมาตย์เฉินหย่ง เขาควรจะร่วมมือกับอำมาตย์เฉินหย่งเพื่อกำจัดภัยคุกคามนี้มากกว่า
แม้จะยังหนักใจ แต่ไม่ช้าอำมาตย์เฉินหลิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อหมอนั่นได้นิ้วเท้ากลับคืนมาแล้ว ก็คงไม่มีเหตุผลที่จะต้องซึมซับพลังงานอีก เพราะฉะนั้น เขาก็จะได้ใช้พลังงานที่เหลือเพื่อเยียวยาตัวเอง
ซึ่งเมื่อเขาฟื้นคืนพละกำลังดังเดิม ก็มั่นใจว่าจะฉีกเจ้าสารเลวนั่นให้เป็นชิ้นๆได้
อำมาตย์เฉินหลิงมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาหันกลับไปใช้สมาธิกับการซึมซับพลังงาน ซึ่งก็เป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่ช้าอีกฝ่ายก็ได้นิ้วเท้ากลับคืนมา เขาคิดว่าคราวนี้จะได้เร่งความเร็วของกระบวนการเยียวยาตัวเองเสียที แต่กลับตรงกันข้าม เพราะจู่ๆหมอนั่นก็นำภาพวาดออกมาและดูดพลังงานโดยรอบอย่างบ้าคลั่งให้เข้าสู่ภาพวาดนั้น
ให้ตายเถอะ…
อำมาตย์เฉินหลิงตัวสั่นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
แกมันก็แค่ไอ้สารเลวตะกละตัวจ้อยไม่ใช่หรือ?
เติมพลังจนเต็มแล้ว ยังจะดูดพลังที่เหลือไปด้วยหรือไง?
อำมาตย์เฉินหลิงรู้สึกถึงเลือดที่เอ่อขึ้นมาในลำคอ พร้อมจะกระอักออกมาได้ทุกขณะ
หมอนั่นทำตัวเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ!
ที่สำคัญกว่านั้น ภาพวาดบ้าบอนั่นคืออะไร? นี่คือพลังงานที่เขาร้องขอโดยตรงจากเทพเจ้า แล้วจะมีภาพวาดชนิดไหนที่สามารถเก็บกักพลังงานแบบนั้นได้?
“เดี๋ยวก่อน…นั่นคือผืนผ้าใบสี่ฤดูของปรมาจารย์ขงหรือเปล่า?”
มองปราดเดียว อำมาตย์เฉินหลิงก็พลันนึกได้
ภาพวาดนั้นมีมิติและกฎเกณฑ์แห่งมิติของตัวเอง ถึงระดับที่อาจเรียกได้ว่าเป็นโลกอีกใบ ซึ่งภาพวาดเดียวที่เป็นที่รู้กันว่ามีศักยภาพถึงระดับนี้ก็มีแต่ผืนผ้าใบสี่ฤดูของปรมาจารย์ขง
เขารู้เลยว่าหมอนั่นได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณแล้วด้วยการสัมผัสนิรันดร์กาลของนักปราชญ์โบราณที่ถูกขังไว้ภายในภาพวาด
แขนของอีกฝ่ายกวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็วราวกับพระโพธิสัตว์พันมือ ความเข้มข้นของพลังงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราดขณะที่ถูกดูดเข้าสู่ภาพวาด น่าตกใจที่ระดับความเร็วในการกลืนกินพลังงานของภาพวาดนั้นเร็วกว่าตัวอำมาตย์เฉินหลิงอย่างน้อยก็ 10 เท่า!
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้เขาดิ้นรนซึมซับพลังงานสักแค่ไหน ผลลัพธ์เดียวที่เขาจะได้ก็คือได้ซึมซับเพียง 1 ใน 10 ของปริมาณพลังงานที่เหลือเท่านั้น
พลังเหล่านี้ควรจะเป็นของเรา! มันเป็นของเราทั้งหมด!
รู้ดีว่าถ้าเป็นอย่างนี้ คงไม่มีวันฟื้นคืนพละกำลังได้ดังเดิม อำมาตย์เฉินหลิงระงับอารมณ์ต่อไปไม่ไหว เขารวบรวมพลังทั้งหมดแล้วพุ่งออกไป
“แก ไอ้ชั่วร้าย ฉันจะฆ่าแกซะ!”
โชคร้ายที่สายตาของเทพเจ้าจับจ้องอยู่พอดี
พลั่ก!
ยังไม่ทันที่อำมาตย์เฉินหลิงจะเข้าถึงตัวจางเซวียน ฝ่ามือจากรอยแยกแห่งมิติก็ปรากฏอีกครั้ง ทำให้ร่างของอำมาตย์เฉินหลิงถูกทุ่มลงลงกับพื้นอย่างแรง
ในตอนนั้น เขาแทบปล่อยโฮ
นี่เขาจะต้องสูญเสียการสนับสนุนจากเทพเจ้าที่เขาบูชามาเนิ่นนานเพียงเพราะคำปลิ้นปล้อนหลอกลวงของอีกฝ่ายหรือ?
เหลวไหลสิ้นดี!
เห็นสีหน้าของอำมาตย์เฉินหลิง จางเซวียนส่ายหัวขณะซี้ดปาก
แน่นอนว่าเทพเจ้าไม่ได้เชื่อถือคำพูดของเขา แต่เหตุผลที่เทพเจ้าเล่นงานอำมาตย์เฉินหลิงก็เพราะอีกฝ่ายฝ่าฝืนกฎและใช้กำลังโดยไม่ได้รับอนุญาต
เทพเจ้ากำลังจะออกมาจากรอยแยกแห่งมิติเพื่อตัดสินพวกเราแล้ว แต่คุณก็ยังกล้าเปิดการโจมตีต่อหน้าเขา นี่ไม่เท่ากับสร้างปัญหาหรือ?
ความเย่อหยิ่งจองหองก็ลงเอยแบบนี้แหละ! ใช้ชีวิตแบบถ่อมตัวสิ แล้วปัญหาก็จะไม่เข้ามา
การทำอะไรมากเกินไปต่อหน้าเทพเจ้ามีแต่จะส่งผลตรงกันข้าม ซึ่งเคล็ดลับก็คือรักษาความสุขุมเยือกเย็นของจิตใจเอาไว้ ดูอย่างผมสิ….ผมไม่ใช่ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบหรือ?
ขณะกำลังชื่นชมตัวเองที่มีนิสัยไม่เหมือนคนอื่น จางเซวียนก็หันกลับมาสนใจร่างกายของเขาอีกครั้ง จากนั้นนัยน์ตาก็วาววับด้วยความยินดีปรีดา
เขาสามารถฟื้นคืนสภาพร่างกายจนแข็งแกร่งถึงขีดสุดได้จากที่เคยเป็นแค่กระดูกกองหนึ่ง วิถีทางของเทพเจ้าช่างไร้เทียมทานเสียจริง
จางเซวียนยังคงโบกมือราวกับพัดต่อไปเพื่อชักนำการเคลื่อนไหวของพลังงานที่อยู่โดยรอบให้เข้าสู่ภาพวาด ภายในเวลาเพียง 3 นาที พลังงานทั้งหมดที่ยังหลงเหลืออยู่โดยรอบก็เข้าสู่ภาพวาดโดยสมบูรณ์
ด้วยพลังที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่จากเทพเจ้า ต่อให้ในอนาคตเขาได้รับบาดเจ็บอีก ก็แทบไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว
อันที่จริง ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เขาจะทำได้แม้กระทั่งใช้พลังงานนี้เพื่อช่วยไอ้โหดให้ฟื้นตัวจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอในตอนนี้ด้วย
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น จางเซวียนก็เงยหน้า และเห็นว่ารอยแยกแห่งมิติมืดครึ้มกว่าเดิม ร่างสูงใหญ่โผล่พ้นรอยแยกแห่งมิติออกมาครึ่งตัว เตรียมพร้อมจะลงมายังโลกใบนี้
ในเวลานั้น เขาแน่ใจแล้วว่าเทพเจ้าไม่ใช่หลัวลั่วชิง เพราะเทพเจ้าที่เห็นมีรูปลักษณ์เหมือนชายหนุ่มคนหนึ่ง
ในแง่ของรูปร่างหน้าตา ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป แต่รังสีที่เขาแผ่ออกมานั้นล้ำลึกและเข้มข้นมาก แม้จะยังไม่ได้สำแดงกระบวนท่าใด แต่การปรากฏตัวของเขาก็ทำให้มิติที่อยู่โดยรอบแตกสลายไปชั้นแล้วชั้นเล่า ราวกับโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ไม่อาจต้านทานน้ำหนักของเทพเจ้าได้
อำมาตย์เฉินหย่งส่งโทรจิตหาจางเซวียน “เขาเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติ!”
“นี่คือประสิทธิภาพของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติหรือ?” จางเซวียนหรี่ตา
ความแข็งแกร่งของเทพเจ้านั้นทรงพลังเสียจนโลกนี้ไม่อาจรองรับการปรากฏตัวของเขาได้
ถ้าเปรียบโลกกับมหาสมุทร เทพเจ้าก็คือหยดน้ำมัน ต่อให้กระแสน้ำในมหาสมุทรจะเชี่ยวกรากแค่ไหน หยดน้ำมันก็จะยังคงลอยตัวอยู่บนผิวหน้าได้
“นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือผู้แทนอมตะ เมื่อครั้งที่ปรมาจารย์ขงยังมีชีวิตอยู่ มีใครบางคนบนบานอ้อนวอนต่อเบื้องบนให้ส่งผู้แทนอมตะลงมายังโลกใบนี้ ใครจะไปคิดว่าประวัติศาสตร์จะหวนคืนกลับมาที่เดิมอีกหลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว”
“น่าจะเป็นเพราะการปรากฏขึ้นของวิหารแห่งขงจื๊อ…”
“วิหารแห่งขงจื๊อเกี่ยวอะไรกับการลงมาของผู้แทนอมตะ?”
“มีเรื่องเล่ากันว่าวิหารแห่งขงจื๊อตั้งอยู่ในความว่างเปล่าที่ปิดกั้นเส้นทางระหว่างโลกเบื้องบนกับโลกของเรา การปรากฏขึ้นของวิหารแห่งขงจื๊อก็หมายความว่าสิ่งที่ยับยั้งสิ่งมีชีวิตจากเบื้องบน ไม่ให้ลงมายังโลกของเรานั้นถูกปลดออกแล้ว ทำให้ผู้แทนอมตะลงมายังโลกของเราได้”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จะไม่หมายความว่า สมดุลแห่งอำนาจในทวีปแห่งปรมาจารย์จะต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในเร็วๆนี้หรือ?”
“อาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ เพราะการที่ผู้แทนอมตะจะลงมายังโลกของเราก็ไม่ก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะต้องใช้เครื่องบรรณาการมากมาย ยังต้องกดข่มระดับวรยุทธให้ต่ำมากเพื่อไม่ให้ถูกโลกของเราปฏิเสธ มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะใช้วรยุทธได้เพียงแค่ผู้ทำลายล้างมิติขั้นต้นเท่านั้น แน่นอนว่านั่นคือระดับพละกำลังที่รับมือได้ยาก แต่หากพวกเรารวมตัวกันเป็นหนึ่ง ก็พอจะมีโอกาสต้านทาน…”
…..
นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และเหล่าขุนนางเผ่าพันธุ์ปีศาจรีบหารือกัน
เทพเจ้าที่กำลังจะลงมายังโลกของพวกเขาคือผู้แทนอมตะจากมิติเบื้องบน ถ้าเทพเจ้าตัดสินใจช่วยเหลืออำมาตย์เฉินหลิง พวกเขาก็จะตกที่นั่งลำบาก
นี่คือพละกำลังที่หลัวลั่วชิงมีเช่นกันหรือ? จางเซวียนนึกสงสัยขึ้นมาขณะเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้เพื่อประเมินพละกำลังของเทพเจ้า
ภาพเมื่อครั้งที่หลัวลั่วชิงจากไปปรากฏขึ้นในหัว
เธอคือผู้ที่ไม่อาจเข้ากับโลกใบนี้ได้เช่นกัน แต่มีความแตกต่างไม่น้อยระหว่างตัวเธอกับเทพเจ้าที่กำลังจะลงมายังพื้นโลก
ดูเหมือนโลกนี้จะปฏิเสธหลัวลั่วชิงรุนแรงกว่าการปฏิเสธเทพเจ้าที่กำลังลงมา
หมายความว่าพละกำลังของหลัวลั่วชิงเหนือกว่าเทพเจ้าที่กำลังจะเข้าสู่โลกของพวกเขาอีกหรือ?
อำมาตย์เฉินหลิงใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะฟื้นตัวจากการถูกโจมตี เมื่อเขารู้สึกตัว พลังงานที่อบอวลอยู่ในอากาศก็ถูกเก็บไว้ในผืนผ้าใบสี่ฤดูหมดแล้ว เมื่อรู้ว่าไม่มีเหตุผลที่จะเปิดการโจมตีอีกต่อไป อำมาตย์เฉินหลิงกัดฟันกรอดและหันไปวิงวอนเทพเจ้าที่อยู่กลางอากาศ
“โอ เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผมคืออำมาตย์เฉินหลิงตัวจริง! ส่วนเขาคือตัวปลอม!”
เพื่อไม่ให้เสียเปรียบ จางเซวียนรีบตอบโต้ “ผมต่างหากที่เป็นตัวจริง เขาเป็นแค่ตัวปลอมที่หาข้ออ้างโง่ๆ คุณกล้าดีอย่างไรถึงคิดจะโกหกเทพเจ้า? คงเสียสติไปแล้วแน่ๆ!”
ประสิทธิภาพของเครื่องรางแห่งการปลอมตัวเหนือชั้นกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก ด้วยศักยภาพของมัน ไม่มีความแตกต่างใดๆทางร่างกายที่จะทำให้ใครๆแยกเขาออกจากอำมาตย์เฉินหลิงได้ และเป็นไปได้ว่าต่อให้เทพเจ้าก็คงแยกไม่ออก ในเมื่อจางเซวียนมาไกลขนาดนี้แล้ว ก็ต้องตามน้ำต่อไป แล้วดูว่ามันจะพาเขาไปถึงไหน
ฟึ่บ!
รอยแยกแห่งมิติกระตุกอีกครั้งหนึ่ง
ระหว่างการโต้เถียงของทั้งคู่ เทพเจ้าได้เดินทางผ่านรอยแยกแห่งมิติออกมาแล้ว เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็สูดหายใจลึกก่อนจะลืมตาทั้งสองข้างที่เหมือนกับลูกปัด
นัยน์ตาของเทพเจ้าดูจะสะท้อนกับสายฟ้า รังสีอันน่าสะพรึงแผ่ซ่านออกมา ดูราวกับว่าท้องฟ้าจะแตกสลายเป็นชิ้นๆภายใต้ความเข้มข้นของรังสีนั้น
มีความแข็งแกร่งอย่างผิดธรรมชาติแผ่ออกมาจากร่างของเขา ราวกับเขาเป็นตัวประหลาดที่ไม่เข้ากันกับโลกใบนี้
ต่อให้นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ย่อมตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังที่เห็น นับประสาอะไรกับมนุษย์ทั่วไป!
“สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำจากมิติเบื้องล่างมักมั่นใจว่าจะล่อลวงผมได้ บังอาจอะไรอย่างนั้น!” เทพเจ้าคำราม ขณะจับจ้องจางเซวียนกับอำมาตย์เฉินหลิง
พริบตาต่อมา ร่างของจางเซวียนก็ตึงเขม็งและสั่นสะท้านอย่างหนัก ราวกับถูกอสูรร้ายดึกดำบรรพ์มากมายนับไม่ถ้วนตีวงล้อม จางเซวียนเหงื่อไหลโชก