อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1838 พละกำลังของเทพเจ้า
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1838 พละกำลังของเทพเจ้า
“คุณคือตัวปลอม”
เสียงของเทพเจ้าดังกึกก้องราวกับโลหะกระทบกัน น้ำเสียงนั้นเฉยเมยทว่าเฉียบขาด
ความคิดของอำมาตย์เฉินหลิงทำให้เทพเจ้าเห็นชัดว่าใครคือตัวปลอม
ในฐานะผู้ที่มาจากมิติเบื้องบน ถือเป็นความอับอายใหญ่หลวงของเขาที่ถูกผู้ที่มาจากมิติต่ำกว่า ล่อลวงและปั่นหัว ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เขาคงต้องตายเพราะความอับอาย แน่นอนว่าสิ่งนี้ คือโทสะที่แผดเผาลึกอยู่ในหัวใจของเขา
“อ้าว ดูเหมือนเราจะถูกจับได้เสียแล้ว!”
ความตั้งใจมุ่งมั่นของอำมาตย์เฉินหลิงที่จะมอบจิตวิญญาณให้เทพเจ้าทำให้เกิดความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะนั่นคือสิ่งที่จางเซวียนจะไม่มีวันยอมทำ ดังนั้น มันจึงเป็นจุดอ่อนยิ่งใหญ่ในการปลอมตัวของเขา
จางเซวียนหัวเราะเจื่อนๆ จากนั้นก็เงื้อแขนขึ้นและพุ่งเข้าใส่
ฟึ่บ!
หอกสวรรค์กระดูกมังกรลอยเข้าสู่มือของเขา เขาจ้วงแทงหอกเข้าใส่เทพเจ้าด้วยพละกำลังหนักหน่วง
ความแข็งแกร่งจากกายเนื้อ พลังปราณ และจิตวิญญาณของจางเซวียนมารวมกันอยู่ที่ปลายหอกสวรรค์กระดูกมังกร ก่อเกิดเป็นพละกำลังที่ทำลายได้แม้แต่มิติและกาลเวลา
มันเป็นการโจมตีที่เอาชนะได้แม้แต่อำมาตย์เฉินหลิงในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที อาจทำให้เขาต้องถึงตายราวกับกวางง่อยๆตัวหนึ่งโดยปราศจากความปรานี
ในเมื่อการปลอมตัวของจางเซวียนไม่เป็นผล เขาจึงต้องเปิดการโจมตีก่อน เพราะถ้าเป็นไปได้ ก็มีโอกาสที่เทพเจ้าจะไม่ทันระมัดระวังตัวและทำให้เขาสังหารอีกฝ่ายได้สำเร็จ ซึ่งนั่นก็จะดีที่สุด
หรือต่อให้เขาไม่อาจสังหารเทพเจ้า อย่างน้อยที่สุดก็ยังพอจะได้เปรียบจากการเริ่มก่อน
ในเมื่อเทพเจ้ารับอำมาตย์เฉินหลิงเป็นบริวารแล้ว อีกทั้งยังไม่ใส่ใจสิ่งมีชีวิตอื่นๆในโลกใบนี้ ก็แน่นอนว่าเรื่องนี้คงไม่มีทางไกลเกลี่ยได้ ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น จางเซวียนก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนดีเหมือนกัน
“เฮอะ!”
เห็นการเคลื่อนไหวของจางเซวียน เทพเจ้าคำรามเยาะและเอาสองมือไพล่หลังไว้ ไม่คิดจะหลบเลี่ยง
ฟึ่บ!
ก่อนที่หอกสวรรค์กระดูกมังกรจะจ้วงแทงเข้าที่แผงอกของเขา มันก็ถูกกระแสพลังงานหนึ่งกวาดออกไป ราวกับดาบไม้ที่ปะทะกับเกราะโลหะ หอกสวรรค์กระดูกมังกรไร้ประสิทธิภาพไปโดยสิ้นเชิง จางเซวียนไม่สามารถจ้วงแทงหอกลงไปลึกกว่าเดิมได้
เห็นภาพนั้น เหงื่อพรั่งพรูออกจากทุกรูขุมขนของจางเซวียน
เขารู้ว่าเทพเจ้าคือบุคคลผู้ทรงพลัง แต่ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเหนือชั้นกว่าที่เขาคาดไว้
เทพเจ้าปัดป้องการโจมตีของเขาได้เพียงแค่ใช้พลังปราณขั้นพื้นฐานปกป้องร่างของตัวเอง!
รู้ดีว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจ จางเซวียนรีบชักหอกกลับสุดแรง แต่มิติที่อยู่ตรงหน้าแผงอกของเทพเจ้ากลับยุบตัวลงอย่างกะทันหัน เพราะติดแหงกอยู่ในมิติที่แตกสลาย จางเซวียนพบว่าเขาไม่อาจชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรกลับได้ ไม่ว่าจะออกแรงฉุดดึงแค่ไหนก็ตาม
จากนั้น เสียงหอกสวรรค์กระดูกมังกรก็แว่วเข้าหู “นายท่าน ผมบาดเจ็บ…”
จางเซวียนรีบจ้องดู เห็นความเหนื่อยอ่อนและความบุบสลายอยู่ที่ปลายหอกสวรรค์กระดูกมังกร มีรอยร้าวบนเกล็ดมังกรที่ปกคลุมผิวของมัน ดูเหมือนจะมีเลือดสีแดงก่ำซึมออกมาจากรอยร้าวเหล่านั้นด้วย
“เขาทรงพลังเกินไป เราจะรับมือกับคู่ต่อสู้ระดับนี้ได้อย่างไรกัน?”
ถ้าเทพเจ้าทรงพลังถึงขนาดนี้ทั้งที่ยังไม่ได้ตอบโต้ แล้วพวกเขามิหมดสภาพหรือหากเทพเจ้าตอบโต้ขึ้นมา?
จางเซวียนเคยคิดว่าตัวเขาน่าจะเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทานในหมู่นักปราชญ์โบราณ เพราะมีพละกำลังเทียบเท่ากับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด อีกทั้งยังมีหอกสวรรค์กระดูกมังกรอยู่ในมือ แต่ตอนนี้ก็เห็นชัดแล้วว่าเขามองโลกในแง่ดีเกินไป
“เราต้องเคลื่อนไหวแล้วนะ ไม่อย่างนั้นได้ตายกันหมดอยู่ที่นี่แน่!”
เห็นภาพนั้น อำมาตย์เฉินหย่งรู้ตัวทันทีว่าถ้าพวกเขาไม่เคลื่อนไหว ก็คงถูกสังหารหมู่เหมือนลูกแกะง่อยภายในเวลาเพียงครู่เดียว จึงรีบชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่
ในเวลาเดียวกัน นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงก็เงื้อกรงเล็บขนาดมหึมาขึ้น เปลวเพลิงเข้มข้นระเบิดออกจากร่างของเขา ดูเหมือนเขาจะแผดเผาทั้งโลกให้ลุกเป็นไฟ
นักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับคนอื่นๆก็ไม่อยู่เฉย พวกเขารีบโผขึ้นสู่กลางอากาศและเข้าผนึกกำลังกับคนอื่นๆ
ทั้งกลุ่มที่รวมตัวกันอยู่ตอนนี้เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพการต่อสู้สูงสุดในเผ่าพันธุ์ปีศาจ การผนึกกำลังกันของพวกเขาอาจเอาชนะได้แม้แต่สวรรค์
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งไร้เทียมทาน เทพเจ้ายกมือขึ้นอย่างสบายใจและกระดิกนิ้ว
ฟิ้วววว!
คลื่นความสั่นสะเทือนของมิติและกาลเวลาพุ่งออกมาทันที กวาดล้างการโจมตีทั้งหมดจนสิ้นซากในชั่วพริบตา พละกำลังทำลายล้างที่เกิดจากการผนึกกำลังกันของทั้งกลุ่มก็สลายตัวไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน
แต่การขัดจังหวะของพวกเขาก็ช่วยยื้อเวลาให้จางเซวียนได้ชักหอกสวรรค์กระดูกมังกรออกมาและกลับไปอยู่ข้างอำมาตย์เฉินหย่ง แต่ถึงอย่างนั้น ความเหลื่อมล้ำของพละกำลังระหว่างสองฝ่ายก็ถือเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ของพวกเขา
เมื่อเจอกับความแข็งแกร่งระดับนี้ ต่อให้อำมาตย์เฉินหย่งที่อยู่ในสภาวะแข็งแกร่งสูงสุดก็คงถูกสังหารในชั่วพริบตา หมดหนทางตอบโต้ แต่เทพเจ้ากลับยับยั้งพวกเขาไว้ได้ด้วยการกระดิกนิ้วเพียงครั้งเดียว
ราวกับทุกคนคือฝูงมดที่ยืนอยู่ต่อหน้ายักษ์ตัวมหึมา!
นี่คือพละกำลังของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติหรือ?
มันเหนือชั้นกว่าจินตนาการของพวกเขามาก
“ไม่เลวนี่ ดูเหมือนพวกคุณก็ไม่ไร้ประโยชน์เท่าไหร่” เทพเจ้าหัวเราะหึๆ แต่ไม่มีความรื่นรมย์แม้แต่น้อยอยู่ในคำพูดนั้น เขาชำเลืองมองทั้งกลุ่มที่อยู่ด้านล่างและพูดว่า “ทำเหมือนเขาสิ ยอมจำนนให้ผมเสีย แล้วผมจะไว้ชีวิตพวกคุณ รู้ไว้ด้วยนะว่าผมมีความอดทนให้พวกคุณไม่มาก รีบตัดสินใจด้วย”
“จะให้พวกเรายอมจำนนให้คุณหรือ? ฝันไปเถอะ!” อำมาตย์เฉินหย่งคำราม
ในฐานะผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขามีหน้าที่ดูแลสวัสดิภาพของสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของเขา หากเขาเต็มใจยอมรับใช้กลุ่มอำนาจที่สูงกว่าเพื่อให้ได้มาซึ่งพละกำลัง ก็คงไม่พาตัวเองเข้ามาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“อ้อ? ถ้าอย่างนั้นก็ขอผมดูหน่อยว่าพวกคุณมีกึ๋นขนาดไหน!” เทพเจ้าคำรามก่อนจะดีดนิ้ว
ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ปรากฏการโจมตีด้วย แต่ใบหน้าของอำมาตย์เฉินหย่งบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดขึ้นมาทันที
พลั่ก!
เกิดรูขนาดใหญ่ที่หน้าท้องของเขา ร่างของเขาหมุนคว้างอยู่กลางอากาศด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง เลือดสดๆทะลักออกมาจากรูนั้น ทำให้ทั้งโลกนองไปด้วยเลือดสีแดงก่ำ
แต่เดิม อำมาตย์เฉินหย่งก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว การโจมตีครั้งนี้จึงทำให้เขาอาการทรุดลงกว่าเดิมมาก ถ้าไม่ใช่เพราะโทสะและความจงเกลียดจงชังที่ฝังอยู่ในหัวใจ เขาคงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้
อำมาตย์เฉินหย่งรู้สึกได้ว่าร่างกายถึงขีดจำกัดของความอดทนแล้ว ดูเหมือนการโจมตีอีกเพียงครั้งเดียวก็คงทำให้ร่างของเขาแตกสลาย
จางเซวียนที่กำลังตกใจรีบเข้าไปอยู่ข้างอำมาตย์เฉินหย่งและถ่ายทอดพลังเยียวยาที่อยู่ในผืนผ้าใบสี่ฤดูเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย แต่แล้วก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อพบว่ามันใช้ไม่ได้ผล ราวกับพยายามผสมน้ำมันเข้ากับน้ำ พลังเยียวยานั้นปฏิเสธที่จะหลอมรวมเข้ากับร่างกายของอำมาตย์เฉินหย่ง
อำมาตย์เฉินหย่งส่ายหน้าและอธิบายอย่างอ่อนแรง “พลังนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเยียวยาสภาพร่างกายของอำมาตย์เฉินหลิงโดยเฉพาะ มันใช้การไม่ได้กับคนอื่น เหตุผลเดียวที่คุณซึมซับมันได้ก็เพราะเครื่องรางแห่งการปลอมตัวปรับเปลี่ยนร่างกายของคุณตั้งแต่รากฐาน ทำให้คุณสามารถซึมซับพลังงานนั้นได้เหมือนกัน”
พร้อมกันนั้น อำมาตย์เฉินหย่งก็นำยาเม็ดออกมาเม็ด 1 และกลืนลงไป ครู่ต่อมา ผิวพรรณของเขาก็ค่อยๆดูดีขึ้น
พละกำลังของเทพเจ้าจะถูกซึมซับได้โดยผู้ที่จัดเตรียมพิธีกรรมเท่านั้น แต่เพราะจางเซวียนปลอมตัวเป็นอำมาตย์เฉินหลิงโดยปรับเปลี่ยนตั้งแต่ระดับรากฐาน เขาจึงสามารถฉกฉวยพลังงานที่มีไว้ให้เฉพาะกับอำมาตย์เฉินหลิงได้ แต่อำมาตย์เฉินหย่งไม่อาจทำแบบนั้น
เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณได้ช่วยเขาปกปิดรังสีเอาไว้เพื่อปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าเขาคือเผ่าพันธุ์ปีศาจ เขาเป็นแค่คนรับใช้ จึงไม่มีทางที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจะมอบของล้ำค่าอย่างเครื่องรางแห่งการปลอมตัวให้เขา
“เอ่อ…” จางเซวียนขมวดคิ้ว
เขาโยนภาพวาดทิ้งไป ก่อนจะหันกลับไปจับจ้องเทพเจ้าที่อยู่กลางอากาศ
เทพเจ้าไม่ได้โจมตีต่อหลังจากเล่นงานอำมาตย์เฉินหย่งแล้ว เขาจ้องมองลงมาที่ฝูงชนด้านล่างด้วยสายตาวางอำนาจ ราวกับเป็นผู้ปกครองที่มีทั้งชีวิตและความตายของทุกคนอยู่ในกำมือ
เห็นได้ชัดว่าเทพเจ้าไม่ได้รู้สึกว่าจางเซวียนกับคนอื่นๆเป็นภัยคุกคามต่อเขา คนเหล่านี้เป็นแค่แมลงน่ารำคาญที่เขาสามารถเล่นงานได้ในเสี้ยววินาที ชีวิตและความตายของคนพวกนี้จึงไม่มีผลอะไรต่อเขา
เทพเจ้าหันกลับไปมองฝูงชนที่เหลือซึ่งก่อนหน้านี้เคยต่อต้านเขา และตั้งคำถาม “พวกคุณที่เหลือจะว่าอย่างไร?”
เกิดความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ความลังเลระคนกับความหวาดกลัวทำให้ทุกคนพูดไม่ออก
เมื่อเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เทพเจ้าดีดนิ้วอีกครั้ง
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง นักปราชญ์โบราณโม่หลิง และนักปราชญ์โบราณคนอื่นๆถูกสอยกระเด็นไปพร้อมกัน พละกำลังหนักหน่วงนั้นทำให้พวกเขาใบหน้าถอดสี เลือดไหลซึมออกจากมุมปาก
“การที่ผมจะสังหารพวกคุณน่ะไม่ต้องใช้อะไรเลย แล้วก็ไม่มีอะไรที่พวกคุณจะตอบโต้ผมได้ด้วย นี่คือพละกำลังที่แท้จริง เราอาศัยอยู่ในโลกที่ความแข็งแกร่งคืออำนาจ และผู้อ่อนแอจะทำได้เพียงแค่ยอมศิโรราบด้วยความจำนน หรือไม่ก็พร้อมยอมรับความตาย ไม่มีความจำเป็นที่สมองน้อยๆของพวกคุณจะต้องใช้ความคิดให้มากเกินไป ทุกอย่างเห็นชัดเจนอยู่แล้ว พวกคุณมี 2 ทางเลือกเท่านั้น – ตายหรือไม่ก็ยอมจำนน อย่างที่ผมบอก ความอดทนของผมมีจำกัด ผมจะให้โอกาสพวกคุณเลือกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และถ้าตัดสินใจผิดล่ะก็ อย่าหวังว่าผมจะเมตตา!”
เทพเจ้าเอาสองมือไพล่หลังไว้ขณะพูดด้วยน้ำเสียงวางอำนาจเด็ดขาดราวกับทรราชย์
ดูเหมือนเขาพร้อมจะตัดหัวทุกคนที่กล้าตั้งคำถาม
“คุณจะไว้ชีวิตพวกเราหากเรายอมจำนนให้คุณอย่างนั้นหรือ?” นักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงถามอ้อมแอ้ม
“แน่นอน! ไม่เพียงแต่ผมจะไว้ชีวิตคุณ ผมยังจะช่วยคุณรวบรวมเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่ง และมอบทวีปแห่งปรมาจารย์ทั้งทวีปให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของพวกคุณด้วย คุณจะมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างไม่มีใครเทียบได้ อยู่เหนือเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกตัว เว้นเสียแต่ผมเท่านั้น” เทพเจ้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เอ่อ…” ได้ยินคำนั้น นักปราชญ์โบราณหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น เขาเกิดความสับสนอยู่ครู่หนึ่งระหว่างแนวคิดของอิสระกับอำนาจ มันขัดแย้งกันอยู่ในสมอง แต่ใช้เวลาไม่นานก็ตัดสินใจได้ นักปราชญ์โบราณผู้นั้นก้มศีรษะ จากนั้นก็ทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างนอบน้อมและปฏิญาณ “โอ เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผมขอสัญญาว่าจะรับใช้คุณด้วยชีวิตของผม!”
เหตุผลที่เขาตัดสินใจช่วยเหลืออำมาตย์เฉินหย่งก็เพื่อผลประโยชน์ เพราะหากเขาช่วยให้อีกฝ่ายกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมได้ สถานภาพในเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของเขาก็จะเหนือชั้นกว่าคนอื่น แต่การปรากฏตัวของเทพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เมื่อชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องปกป้องอำมาตย์เฉินหย่งอีก