อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1861 แผ่นหินน่าสะพรึง
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1861 แผ่นหินน่าสะพรึง
รู้ตัวดีว่ายิ่งอยู่ห่างจากซูเฟยเฟยได้มากเท่าไหร่ก็ย่อมดีที่สุด อวิ๋นเชียงพึมพำ “คุณน่ะโลภมาก แถมหน้าตาก็แสนจะธรรมดา คุณคิดจริงๆหรือว่าจะครองหัวใจของผมได้? ถ้าไม่ใช่เพราะมีทรัพย์สมบัติอยู่ใต้บ้านของคุณล่ะก็ ไม่มีทางที่ผมจะทนอยู่กับคุณจนถึงตอนนี้หรอก!”
“พอที!” เจิ้งหยางพูดพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ
พลั่ก!
อวิ๋นเชียงถูกโจมตีเข้าอย่างจังที่หน้าอก เขากระเด็นไปก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เลือดซึมออกจากมุมปาก
“คุณแค่ตอบในสิ่งที่ผมอยากรู้ก็พอ” เจิ้งหยางพูดอย่างเย็นชา “อะไรที่นอกเหนือจากนั้นถือว่าเสียเวลาของผม!”
“ดะ-ได้” อวิ๋นเชียงระงับความเจ็บปวดไว้ จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าได้พูดออกไปชัดเจนแล้วว่าตัวเขาไม่มีเยื่อใยใดๆกับซูเฟยเฟย “ผมไม่รู้จักหน้าตาของทรัพย์สมบัตินั้น แต่จากการทำงานตลอดปีที่ผ่านมาก็ถือว่าเข้าใกล้เป้าหมาย ทว่าปราการที่โอบล้อมทรัพย์สมบัตินั้นไว้แข็งแกร่งมาก ผมทำลายมันไม่ได้เพราะวรยุทธยังอ่อนด้อย…”
เจิ้งหยางขมวดคิ้วขณะครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “พาผมไปที่นั่นสิ!”
การที่ใครคนหนึ่งจากตระกูลนักปราชญ์อวิ๋นจะลงทุนลงแรงขนาดนี้เพียงเพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติมา ก็แน่นอนว่าทรัพย์สมบัตินั้นย่อมไม่ธรรมดา ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรไปดูสักหน่อย
“ได้” อวิ๋นเชียงพยักหน้า
ชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะกล้าขัดใจ
เจิ้งหยางคลายแรงกดดันที่กดทับร่างของอวิ๋นเชียงไว้ ภายใต้การนำของอีกฝ่าย พวกเขาเข้าสู่คฤหาสน์ ส่วนซูเฟยเฟย, เธอยืนนิ่งและลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตามไป
ทันทีที่เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนเข้าสู่คฤหาสน์ สิ่งแรกที่พวกเขารับรู้ก็คือค่ายกลปิดกั้นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่ถูกติดตั้งไว้โดยรอบ คงไม่เป็นการพูดเกินเลยหากจะบอกว่าคฤหาสน์นี้ไม่ต่างอะไรกับป้อมปราการ ทุกอย่างที่อยู่ภายในไม่อาจหลุดรอดออกมาภายนอกได้
เมื่อเดินหน้าต่อไป ไม่ช้าพวกเขาก็มาหยุดอยู่หน้าห้องโถงโอ่อ่าห้องหนึ่ง เมื่อผลักประตูให้เปิดออก ก็เห็นหลุมขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้า มีโครงกระดูกสีขาวกองใหญ่กลาดเกลื่อนอยู่โดยรอบ เกิดเป็นภาพน่าสยดสยอง
“คุณฆ่าผู้คนมากมายขนาดนี้เพียงเพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติหรือ?” เจิ้งหยางหรี่ตา เจตนาสังหารแผ่ซ่านออกจากร่างของเขา
ความรับผิดชอบของสภายอดขุนพลไม่ได้มีเพียงการกำจัดเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่รักษาความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขของมวลมนุษย์ด้วย การที่เขาสังหารผู้คนมากมายขนาดนี้เพียงเพื่อให้ได้ทรัพย์สมบัติมา…ถือเป็นสิ่งที่ขัดกับจริยธรรมของสภายอดขุนพลเป็นอย่างยิ่ง
“มะ-ไม่ใช่ ผมไม่ได้ฆ่าพวกเขานะ! คนพวกนี้คือคนงานที่ผมจ้างมา ทุกคนมีหน้าที่ขุด แต่ไม่ช้า เมื่อพวกเขาขุดเจอแผ่นหิน รังสีชนิดหนึ่งที่ถูกปล่อยออกมาก็ทำให้ทุกคนตายทันที ผมเกรงว่าจะทำให้ใครๆสงสัย จึงเก็บศพของพวกเขาไว้จนเหลือแต่กระดูกและทิ้งไว้ที่นี่!” อวิ๋นเชียงละล่ำละลักอธิบาย
“ผมได้จ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวของคนงานเหล่านี้อย่างสมน้ำสมเนื้อแล้ว ถึงผมจะอยากได้ทรัพย์สมบัติมากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าสังหารผู้บริสุทธิ์เพื่อให้ได้มันมาหรอก…”
“แผ่นหิน?” รู้ดีว่าถึงอย่างไรคนงานเหล่านี้ก็ตายไปแล้ว การรื้อฟื้นเรื่องราวย่อมทำได้ยาก เจิ้งหยางจึงตัดสินใจมองข้ามไปและซักไซ้ข้อสงสัยอื่นๆต่อ
“มันอยู่ที่ก้นหลุม ผมส่งทหารกล้า 10 นายลงไปตรวจสอบมัน แต่ทุกคนตายทันทีที่เข้าถึงบริเวณที่มีแผ่นหินอยู่ ผมจึงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น” อวิ๋นเชียงอธิบายด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
เขาเคยคิดว่าตัวเองพบขุมสมบัติก้อนใหญ่ แต่ใครจะไปรู้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเขาก็ถลำตัวเข้าสู่เรื่องนี้ลึกเกินไปจนไม่อาจถอยกลับไปมือเปล่าได้แล้ว
ในเมื่อไม่มีใครเต็มใจจะเข้าไปสำรวจแผ่นหิน อวิ๋นเชียงจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าพบเสิ่นจุ้ย เพื่อหวังว่าจะขอกองกำลังทหารกล้าจำนวนหนึ่งจากเขา เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ เขานึกไม่ถึงว่าจะมาสะดุดเข้ากับผู้เชี่ยวชาญ 2 คนหลังจากที่ออกจากคฤหาสน์มาได้เพียงไม่นาน
“ลงไปดูกันเถอะ!” เมื่อได้รู้ว่าแผ่นหินแผ่นหนึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากมาย เจิ้งหยางยิ่งอยากรู้มากขึ้น
“เอ่อ…วรยุทธของผมยังอ่อนด้อยไปสักหน่อย ผมจะให้คุณสองคนลงไปก็แล้วกัน…” อวิ๋นเชียงหน้าซีด
แน่นอนว่าเขาไม่กล้าลงไปในหลุมด้วยตัวเอง เพราะกลัวว่าจะตายเหมือนกับคนอื่นๆที่ตายไปแล้วก่อนหน้า
“หุบปากแล้วเดินต่อ!” เว่ยหรูเหยียนคำราม เธอโบกมือ แล้วอวิ๋นเชียงก็ถูกโยนลงไปในหลุม ก่อนที่เขาจะทันได้แหกปากโหยหวน
จากนั้น เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนก็กระโจนลงไป
หลุมนั้นลึกหลายร้อยเมตร มีไข่มุกกระจ่างราตรีมากมายติดตั้งไว้รอบๆ ทำให้ภายในสว่างไสวราวกับเวลาเช้าตรู่
ทันทีที่ถึงก้นหลุม เจิ้งหยางกับเว่ยหรูเหยียนก็สำรวจโดยรอบทันที ไม่ช้า ใบหน้าของทั้งคู่ก็ปรากฏรอยย่น
“รังสีนี้ออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย!” เจิ้งหยางพูดหลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง
“มันเป็นรังสีของนักปราชญ์โบราณ” เว่ยหรูเหยียนเสริม เธอหันไปถามอวิ๋นเชียงที่อยู่ข้างๆ “แผ่นหินนั่นอยู่ที่ไหน?”
“มันอยู่ข้างล่างนั่น…” อวิ๋นเชียงกลืนน้ำลายด้วยความตื่นตระหนก เขาชี้นิ้วไปตรงหน้า
รู้ดีว่ามีบางอย่างที่กระหายเลือดอยู่ที่นี่ เจิ้งหยางสูดหายใจลึกและกวัดแกว่งหอกของเขา
ฟึ่บ!
เขาสะบัดข้อมือเบาๆ แล้วทรายกองหนึ่งก็ถูกกวาดออกไป เผยให้เห็นแผ่นหินขนาดใหญ่
มีอักษรจารึกที่ดูลึกลับและอ่านไม่ออกอยู่บนแผ่นหินนั้น มันแผ่เจตนาสังหารออกมา เพียงแค่มองดูแผ่นหินก็มากพอจะทำให้ใครสักคนปวดหัวตึ้บแล้ว
รังสีของนักปราชญ์โบราณที่ทั้งคู่รู้สึกได้ก่อนหน้านี้ก็มาจากแผ่นหินที่ตั้งอยู่
“นี่คือแผ่นหินที่ผมพูดถึง นายท่าน, ผมออกจะอ่อนด้อยเกินไปสักหน่อยสำหรับมัน ขอตัวก่อนนะ” อวิ๋นเชียงปากสั่น เขารีบหันหลังกลับและเผ่นหนีอย่างพรั่นพรึง
แต่หลังจากเผ่นไปได้เพียง 2 ก้าว ร่างของเขาก็พลันแข็งทื่อ ไม่ว่าจะกระเสือกกระสนดิ้นรนแค่ไหนก็ก้าวต่อไม่ได้อีกแม้ก้าวเดียว
“มีพวกเราอยู่ คุณไม่มีทางเป็นอะไรหรอก แต่ถ้าเราตายล่ะก็ จะไม่มีใครถอนพิษให้คุณ แล้วคุณก็จะตายนะ” เว่ยหรูเหยียนเปรยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อวิ๋นเชียงแทบปล่อยโฮ
อีกฝ่ายพูดถูก เพราะเขาถูกวางยาพิษร้ายแรง หากทั้งคู่ตาย เขาก็จะตายเป็นคนถัดไป ต่อให้หนีไปแล้วก็เถอะ
“ผมจะเข้าไปดู!”
เจิ้งหยางสูดหายใจลึก เขาถือหอกคุ้มกันไว้ด้านหน้าก่อนจะเดินเข้าหาแผ่นหินอย่างระแวดระวัง
ยังไม่ทันที่จะเข้าถึงแผ่นหิน ก็พลันรู้สึกได้ถึงเจตนาสังหารเข้มข้นที่พุ่งเข้าหาเขา ดูเหมือนพยายามจะฉีกร่างของเขาให้แยกเป็น 2 ส่วน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังระดับนี้ นักรบที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่คนไหนก็ตามคงจะถูกแรงกดดันมหาศาลเล่นงานจนพ่ายแพ้ แต่เจิ้งหยางเป็นนักปราชญ์โบราณ อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าสภายอดขุนพลด้วย เขาผ่านการบ่มเพาะสภาวะจิตมาแล้ว ทำให้มีความทนทานอย่างน่าทึ่งต่อปราณสังหารของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ต่อให้เจตนาสังหารจะเข้มข้นแค่ไหน มันก็ไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขา
เจิ้งหยางเดินเข้าหาแผ่นหิน รู้สึกได้ว่ามันเรืองแสงอบอุ่นออกมา ราวกับระยะเวลาหลายหมื่นปีที่มันถูกฝังอยู่ใต้ดินไม่ได้สร้างความเสียหายให้มันแม้แต่น้อย อักษรจารึกที่อยู่บนนั้นยังแจ่มชัดราวกับเพิ่งถูกฝังใหม่ๆ
เจิ้งหยางไล้ปลายนิ้วไปตามอักษรจารึกที่เห็น เขาส่ายหน้า “นี่เป็นตัวอักษรจากยุคโบราณ ผมอ่านไม่ออก!”
ด้วยความรู้ของเขาที่มีจำกัด เขาไม่อาจทำความเข้าใจอักษรจารึกพวกนี้ ถ้าท่านอาจารย์อยู่ด้วย ก็คงจะได้รู้อะไรขึ้นมาบ้าง
เห็นเจิ้งหยางกล้าแตะแผ่นหิน ฟันของอวิ๋นเชียงกระทบกันกึกกักด้วยความพรั่นพรึง
ทั้งเหล่าคนงานและทหารกล้าที่เขาส่งลงมาล้วนแต่เสียชีวิตทั้งที่ยืนห่างจากแผ่นหินออกไปไม่น้อย แต่ชายหนุ่มคนนี้เดินเข้าหามัน แถมยังใช้มือแตะมันโดยตรงด้วย เขาจะต้องทรงพลังขนาดไหน?
ทำไมจู่ๆนักรบผู้ไร้เทียมทานถึงปรากฏตัวในเมืองกระจอกงอกง่อยอย่างอาณาจักรเทียนเซวียน?
เดี๋ยวก่อน เขารู้จักซูเฟยเฟย เขาใช้หอก และศิษย์น้องของเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ยาพิษ… หรือว่าพวกเขาคือ…
อวิ๋นเชียงตัวแข็งขึ้นมาทันทีเมื่อ 2 ชื่อปรากฏขึ้นในหัวของเขา
แม้ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เขาจะไม่ได้อยู่ในตระกูล แต่ก็ไม่มีใครในโลกที่จะไม่รู้วีรกรรมของชายหนุ่มผู้เป็นตำนานและศิษย์สายตรงอีกมากมายของเขา
เมื่อลองนึกดู…ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีรกรากอยู่ในอาณาจักรเทียนเซวียน
หรือว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นนักรบที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่สภายอดขุนพลเคยมี, หัวหน้าเจิ้ง
เขารู้ว่าหัวหน้าสภายอดขุนพลคนใหม่ใช้แซ่เจิ้ง แต่ไม่แน่ใจว่าชื่อเต็มของอีกฝ่ายคืออะไร แต่เมื่อคิดให้ดี ก็ดูเหมือนจะพอนึกออกว่าชื่อเต็มของเขาคือเจิ้งหยาง…
ผู้หญิงบ้านๆอย่างซูเฟยเฟยคือสเปคของหัวหน้าสภายอดขุนพลหรือ?
เอ่อ…
เหงื่อไหลเป็นทางลงจากศีรษะของอวิ๋นเชียงขณะที่ปากคอของเขาแห้งผาก เขารู้สึกว่าตัวเองพร้อมจะเป็นลมได้ทุกขณะ