อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1873 กฎเกณฑ์ของผืนป่า
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1873 กฎเกณฑ์ของผืนป่า
เมื่อแสงนั้นจางหายไป จางเซวียนพบว่าตัวเขายืนอยู่หลังก้อนหินก้อนหนึ่ง ทันทีที่ตั้งตัวได้ ก็รู้สึกถึงความเย็นเยือกที่พุ่งปราดมาตามพื้นดิน มันพุ่งเข้าใส่ตราหยกที่อยู่บนหน้าอกของเขา
ถ้าการโจมตีนั้นถึงตัวเมื่อไหร่ เขาจะต้องถูกคัดออกแน่
การทดสอบครั้งนี้ทำให้ผู้ที่มาถึงภูเขาก่อนมีความได้เปรียบ โดยผู้ที่มาถึงก่อนจะซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ รอคอยโอกาสเล่นงานผู้ที่เดินเข้าไปติดกับดักของตัวเอง
“ไม่เลวนี่ คุณน่ะเร็วใช้ได้!” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะชี้นิ้วออกไปเพื่อตอบโต้
ฟึ่บ!
อาวุธที่พุ่งมาหาเขาถูกสกัดให้หยุดนิ่ง ไม่อาจไปได้ไกลกว่านั้น
แม้จางเซวียนจะกดข่มพละกำลังของเขาให้อยู่ในระดับของนักรบระดับเซียนขั้น 9 แล้ว แต่ลำพังแค่ความสามารถในการเรียนรู้และความเร็วของปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็มากเกินพอที่จะทำให้รับมือได้แม้แต่กับนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ในเมื่อคู่ต่อสู้ของเขาเป็นแค่นักรบระดับเซียนขั้น 9 ธรรมดา ก็ไม่มีทางที่การลอบโจมตีของอีกฝ่ายจะเป็นผลสำเร็จ
เมื่อยับยั้งการโจมตีนั้นไว้ได้ จางเซวียนก็สังเกตสังกาคู่ต่อสู้ของเขา อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดดำ ร่องรอยของความพรั่นพรึงสะท้อนอยู่ในส่วนลึกในดวงตาเมื่อเห็นจางเซวียนยับยั้งการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีทางสู้ได้ ชายหนุ่มตัดสินใจถอนการโจมตีและหันหลังกลับ
สิ่งนี้ถือเป็นการเคลื่อนไหวอันชาญฉลาด ถ้าเป็นผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ การตัดสินใจเฉียบขาดของเขาย่อมหมายถึงการอยู่รอด
“ผมต้องขอบอกว่าฝีเท้าของคุณเฉียบคมมาก แต่โชคไม่ดีอยู่สักหน่อยที่คุณเลือกผมเป็นคู่ต่อสู้…” จางเซวียนพยักหน้าขณะยกนิ้วขึ้นและเคาะกลางอากาศเบาๆ “สกัดกั้น!”
ฟึ่บ!
ราวกับบรรยากาศโดยรอบกลายเป็นน้ำแข็ง ชายหนุ่มพบว่าตัวเองยืนบื้ออยู่กับที่ ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้
“นี่มัน…การสกัดกั้นมิติ!” เขาร้องออกมาอย่างพรั่นพรึง
นักรบระดับเซียนขั้น 9 คนหนึ่งที่มีความสามารถขนาดนี้…นั่นหมายความว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นทายาทระดับหัวกะทิของตระกูล 72 นักปราชญ์! ทำไมเขาถึงโชคร้ายขนาดที่ต้องเจอกับศัตรูผู้ทรงพลังตั้งแต่เพิ่งเริ่มการทดสอบ?
“สะ-สหาย ผมขออภัยสำหรับการกระทำอันหุนหันพลันแล่น ผมโง่เง่าเหลือเกินที่กล้าโจมตีคุณ ได้โปรดเมตตาไว้ชีวิตผมด้วย…”
ชายหนุ่มละล่ำละลักขอชีวิต
เขาภาคภูมิใจนักหนากับประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แข็งแกร่งสูงสุดในหมู่คนรุ่นเดียวกันในตระกูลของเขา เขาเคยคิดว่าขอแค่เตรียมตัวให้ดี ก็น่าจะเล่นงานคู่ต่อสู้คนอื่นได้สบาย ใครจะไปรู้ว่าเป้าหมายแรกของเขากลับกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังอย่างแทบไม่น่าเชื่อ?
ถ้ารู้เสียก่อน คงจะซ่อนตัวต่อไป ไม่มีทางออกมารนหาที่ตายโดยเด็ดขาด!
“ก็ไม่ถือว่าเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวนะที่ผมจะไว้ชีวิตคุณ” จางเซวียนเปรยขณะมองหน้าชายหนุ่มอย่างมีเลศนัย
“บอกเงื่อนไขของคุณมาเถอะ!” ชายหนุ่มเข้าใจดีถึงเจตนาเบื้องหลังสายตาของจางเซวียน เขากัดฟัน “ผมเต็มใจจะมอบทรัพย์สมบัติที่อยู่ในครอบครองของผมเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับความเมตตาของคุณ แต่คุณก็คงรู้นะว่าทรัพยากรของแต่ละตระกูลที่ตกทอดมาถึงพวกเรานั้นมีจำกัด ผมจึงมีของดีๆอยู่ไม่มากนักหรอก…”
“ผมไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของคุณหรอกนะ ตอนนี้คุณมีสองทางเลือก ทำลายตราหยกของคุณเสียและถูกคัดออก หรือไม่ก็บอกผมในสิ่งที่ผมอยากรู้” จางเซวียนพูดขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม “วางใจเถอะ ผมจะไม่ก้าวล่วงความลับของตระกูลของคุณหรือทำให้คุณตกที่นั่งลำบาก”
“ผมเลือกทางที่สอง!” ชายหนุ่มตอบอย่างเด็ดเดี่ยว
มีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าต้องลงทุนลงแรงเหนื่อยยากขนาดไหนกว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ หากเขาไม่ได้เข้าสู่สำนักแห่งขงจื๊อ ทรัพยากรทั้งหมดที่เขาเคยได้มาจะต้องถูกระงับ ทำให้ไม่มีโอกาสยกระดับวรยุทธได้อีกในอนาคต
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะปล่อยให้ตัวเองถูกคัดออกไม่ได้!
“เยี่ยมเลย” จางเซวียนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะเอาสองมือไพล่หลังไว้ “นับตั้งแต่วินาทีที่คุณเริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ คุณไต่เต้าขึ้นมาจนถึงระดับที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้อย่างไร? ผมอยากให้คุณอธิบายทุกอย่างโดยละเอียด ไม่ว่าจะเป็นบททดสอบหรือการทดสอบใดๆก็ตามที่คุณเคยผ่านมา!”
“อะ-อะไรนะ?”
ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าจางเซวียนจะถามอะไร แต่กลับกลายเป็นว่ามันคือสิ่งที่ทุกคนรู้กันดี แม้เขาจะงุนงงกับคำถามนั้น แต่ก็ยังตอบตามตรง “ผมผ่านการทดสอบมาราว 27 ครั้ง ซึ่งจะมีขึ้น 1 หรือ 2 ครั้งในทุกๆปี ในการทดสอบแต่ละครั้ง ผมเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันถูกคัดออกไปมากมาย ทำให้ทรัพยากรต่างๆที่พวกเขาเคยได้รับถูกระงับไป แต่พวกเขาก็ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบภารกิจต่างๆของตระกูลแทน…”
ใช้เวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดของเขาออกมา
ขณะที่จางเซวียนกำลังตั้งใจฟัง รอยย่นก็ค่อยๆปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว
เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ ดูเหมือนการแข่งขันจะเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของพวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ นับตั้งแต่วินาทีที่เริ่มต้นฝึกฝนวรยุทธ ก็ต้องผ่านการทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาจะได้เข้าถึงเทคนิควรยุทธและทรัพยากรที่มากขึ้นหากผ่านการทดสอบ แต่ถ้าล้มเหลว ก็จะถูกตัดสิทธิ์ในการฝึกฝนวรยุทธ
นี่ไม่ใช่การบ่มเพาะคนรุ่นหลังแล้ว แต่เป็นการบ่มเพาะปีศาจร้าย!
ว่ากันว่าผู้ที่บ่มเพาะปีศาจร้ายจะโยนสิ่งมีชีวิตมีพิษหลายพันตัวเข้าไปในโหลใบหนึ่งและปล่อยให้พวกมันฆ่ากันเอง ตัวไหนที่เหลืออยู่เป็นตัวสุดท้ายก็จะถือว่าเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุด
สิ่งนี้เป็นกระบวนการแบบเดียวกันกับที่พวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ทำอยู่ ผู้ที่ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมการทดสอบของสำนักแห่งขงจื๊อจะต้องผ่านบททดสอบมากมายและอยู่เหนือเพื่อนรุ่นเดียวกันให้ได้กว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่พวกเขาล้วนแต่แผ่รังสีดุร้ายโหดเหี้ยมที่คล้ายคลึงกับบรรดายอดขุนพลออกมา เพราะมีแต่ผู้ที่มีแรงผลักดันและความอดทนสูงสุดเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้ภายใต้เงื่อนไขแบบนี้
บางที อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็ได้ที่ทำให้เหยียนเฉว่กับคนอื่นๆไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะร่วมมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เพราะสำหรับพวกเขา ผลลัพธ์สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ขอแค่บรรลุเป้าหมาย วิธีการก็ไม่สำคัญ
ดูเหมือนพวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์จะได้ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้อยู่ในแบบที่ผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุดเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอด จางเซวียนคิดขณะมองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง
“เมื่อครู่นี้คุณพูดว่าทรัพยากรที่คุณได้รับจากตระกูลของคุณนั้นมีจำกัด นั่นหมายความว่าอย่างไร?”
“คุณก็เป็นทายาทของตระกูลใหญ่ ไม่รู้เรื่องนั้นหรือ?” ชายหนุ่มย้อนถามอย่างไม่อยากเชื่อ
แต่เพราะรู้ดีว่าอนาคตของตัวเองอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย จึงได้แต่ตอบคำถามอย่างว่าง่าย “มันขึ้นอยู่กับระดับวรยุทธและจำนวนการทดสอบที่คนๆหนึ่งได้ผ่านมา แต่ปริมาณทรัพยากรที่คนๆหนึ่งจะได้รับก็ถูกกำหนดไว้แล้ว เท่าที่ผมรู้ ทุกตระกูลใช้กฎเกณฑ์แบบเดียวกัน ไม่มีข้อยกเว้น”
จางเซวียนกลืนน้ำลายอย่างตกตะลึง รู้สึกเหมือนกับเพิ่งได้สัมผัสว่าพวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ จัดการกับสมาชิกของตัวเองอย่างไร
เริ่มแรก พวกเขาจะคัดเลือกทายาทที่ดูเหมือนจะมีความถนัดด้านวรยุทธและบ่มเพาะคนเหล่านั้น เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผู้ที่ไม่อาจพัฒนาตัวเองได้จนถึงระดับที่กำหนดไว้ก็จะถูกคัดออก สูญเสียสิทธิ์ในการเข้าถึงทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ รวมถึงเทคนิควรยุทธด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการแข่งขันและบททดสอบทุกรูปแบบที่คนเหล่านั้นจะต้องผ่านไปให้ได้
ใครก็ตามที่ปรารถนาจะฝึกฝนวรยุทธต่อไป สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือเดินหน้าท้าชนเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองจะไม่ถูกทิ้งให้รั้งท้าย
พูดได้เลยว่าทรัพยากรในโลกใบนี้ถูกควบคุมไว้ในระดับที่เข้มงวดจนถึงขนาดทำให้ใครสักคนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวได้!
“แล้วคนๆหนึ่งจะเข้าไปสำรวจอาณาจักรโบร่ำโบราณหรืออะไรทำนองนั้นเพื่อเสาะหาทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนวรยุทธหรือเทคนิควรยุทธได้ไหม?” จางเซวียนตั้งคำถาม
นักรบส่วนใหญ่ในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็มีทรัพยากรไม่มากเช่นกัน แต่ด้วยการแลกเปลี่ยนซื้อขายหรือการเข้าไปสำรวจอาณาจักรโบร่ำโบราณและค้นพบสมบัติ พวกเขาจึงสามารถรวบรวมทรัพยากรที่จำเป็นได้มากพอสำหรับการฝึกฝนวรยุทธได้ระยะหนึ่ง
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมพลเมืองที่นี่ถึงไม่ทำแบบเดียวกัน คงไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้
“จะมีอาณาจักรโบร่ำโบราณอยู่แถวนี้ได้อย่างไร? หากนักรบคนหนึ่งเสียชีวิต ทรัพยากรทั้งหมดที่เขาเคยได้รับจะถูกตระกูลของพวกเขายึดกลับไป ต่อให้คุณสังหารผมตอนนี้ คุณก็ไม่มีทางนำทรัพยากรของผมไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว เพราะทุกอย่างที่ผมนำติดตัวมาถูกบันทึกไว้ในบันทึกของทางตระกูลแล้ว ถ้ามีสิ่งใดหายไป ตระกูลของผมจะไปขอเข้าพบตระกูลของคุณอย่างเป็นทางการและเรียกร้องให้คุณคืนทรัพยากรเหล่านั้น” ชายหนุ่มพูด
จางเซวียนเลิกคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ
พวกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์คิดอะไรอยู่? มันเรื่องอะไรพวกเขาถึงอาการหนักขนาดที่ต้องควบคุมวงจรการหมุนเวียนทรัพยากรในอาณาจักรคุนฉื่อ?
มิติแห่งนี้ขาดแคลนทรัพยากรถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
หลังจากถามคำถามอีก 2-3 ข้อเพื่อให้เข้าใจแจ่มชัด จางเซวียนก็กระดิกนิ้วเบาๆใส่ชายหนุ่ม
พลั่ก!
ชายหนุ่มทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
“เมื่อผมจากไป คุณจะฟื้นคืนสติดังเดิม แต่จะจำไม่ได้ว่าเคยพบผม และจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น” จางเซวียนกระซิบเบาๆก่อนจะเดินจากมา
ความทรงจำนั้นถูกเก็บไว้ในจิตวิญญาณ และด้วยประสิทธิภาพในศาสตร์แห่งจิตวิญญาณของจางเซวียน ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับเขาที่จะแยกความทรงจำส่วนหนึ่งออกมาและกำจัดมันทิ้งไป เพราะแม้คำถามที่เขาถามอีกฝ่ายจะดูไม่สลักสำคัญอะไร แต่ก็มีโอกาสที่ในอนาคตมันจะนำปัญหามาให้ฟ่านเฉี่ยวฉู
ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาก็ควรตัดไฟแต่ต้นลม