อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1879 แมลงกระจอกงอกง่อยควรหลบไป
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1879 แมลงกระจอกงอกง่อยควรหลบไป
“อือ” เห็นฟ่านเฉี่ยวชิงเข้าใจเจตนาเบื้องหลังบทสนทนาของพวกเขา จางเซวียนพยักหน้ารับ
ในเมื่อเขายืมตัวตนของฟ่านเฉี่ยวฉูมาใช้ ก็ควรมอบบางอย่างกลับคืนให้กับเชื้อสายของนักปราชญ์โบราณจื้อฉื่อเป็นการชดเชย ด้วยคำชี้แนะธรรมดาทั่วไปที่เขามอบให้อีกฝ่ายและการฝึกนิสัยการตอบโต้ ทั้งสองก็จะยังพัฒนาตัวเองต่อไปได้แม้เขาจะจากไปแล้ว
พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!
หลังจากเล่นงานคู่ต่อสู้ทั้งสองคนและกำจัดหนึ่งในนั้นไปได้แล้ว ก็เหลืออีกเพียงคนเดียว ซึ่งฟ่านเฉี่ยวชิงก็ใช้เวลาไม่นานในการเล่นงานอีกฝ่ายจนพ่ายแพ้
หลังจากหักตราหยกของคนเหล่านั้น เขาก็กระทืบเท้าตรงเข้าหาฟ่านเฉี่ยวฉูกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง ตั้งใจจะต่อว่าทั้งคู่ที่เอาแต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลือกที่จะประสานมือและโค้งคำนับให้ “ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะเมื่อครู่นี้ของคุณ!”
จางเซวียนโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อีกฝ่ายจะสำนึกในบุญคุณของเขาหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขาแค่ทำในสิ่งที่เขาเห็นว่าถูกต้องเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่คนอย่างเขาเป็นมาตลอด…ยึดมั่นในหลักการ นอบน้อม และถ่อมเนื้อถ่อมตัว
“เมื่อครู่นี้ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน เพียงแค่เฝ้าดู…พวกคุณมองเห็นข้อบกพร่องและหาวิธีการตอบโต้ได้อย่างไร?” ฟ่านเฉี่ยวชิงตั้งคำถามด้วยความสงสัย
เขามีระดับวรยุทธพอๆกันกับฟ่านเฉี่ยวฉูและฟ่านเฉี่ยวเฟิง แต่ทำไมเขาถึงคิดอะไรไม่ออกเลย ขณะที่คำชี้แนะของอีกฝ่ายมีค่าราวกับทองคำ
อย่างกับพวกเขาอ่านใจคนอื่นได้!
“เฉี่ยวฉูเป็นคนสอนผมเรื่องนี้!” ฟ่านเฉี่ยวเฟิงตอบอย่างตื่นเต้น “ในการสู้รบ เราจะต้องสำรวจคู่ต่อสู้อย่างถี่ถ้วนและหาแรงจูงใจของเขาให้ได้ เพื่อคาดเดากระบวนท่าที่อีกฝ่ายจะสำแดงออกมา…”
หลังจากนั้น เขาก็สาธยายอย่างละเอียดยืดยาว
เมื่อฟังจบ ฟ่านเฉี่ยวชิงอัศจรรย์ใจจนพูดไม่ออก
เขาไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน และมันก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของคำสอนภายในตระกูลของพวกเขาด้วย…แล้วฟ่านเฉี่ยวฉูรู้ทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?
“การฝึกฝนวรยุทธไม่ใช่การหลับหูหลับตาใช้ความพากเพียร ต้องมีการวิเคราะห์และประเมินผลด้วย…” เห็นความข้องใจในดวงตาของฟ่านเฉี่ยวชิง จางเซวียนอธิบาย
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ก็หันขวับไปด้านข้าง
ฟิ้วววว!
มีลมพัดมาหอบใหญ่ จากนั้นนักรบ 3 กลุ่มก็กรูเข้ามาจากทุกทิศทาง
แต่ละกลุ่มมีสมาชิก 4 คน รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็มีทั้งหมด 12 คน พวกเขามาจากสามทิศทางที่ต่างกันไป สกัดกั้นหนทางหลบหนีของจางเซวียนกับพรรคพวกเอาไว้ทั้งหมด
“คนพวกนี้แหละ…พวกเขาคือผู้ที่กำจัดผู้เข้าแข่งขันมากมายมาตลอดทาง ถ้าเราไม่รวมตัวกันเพื่อเล่นงานพวกเขา ไม่ช้าไม่นานคนเหล่านี้ก็จะกำจัดเราด้วย!” หนึ่งในหัวหน้าทีมคำราม
หัวหน้าทีมคนนี้มีร่างกายสูงใหญ่ น้ำเสียงก้องกังวานราวกับโลหะกระทบกัน
“ฮ่า ผมว่าเราต้องขอบคุณพวกเขานะที่กำจัดผู้เข้าทดสอบไปมากมายแทนเรา!” หัวหน้าทีมอีกคนหนึ่งพูดยิ้มๆ เขาหันไปพูดกับจางเซวียน “เบาได้เบานะสหาย ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าคุณน่ะแข็งแกร่ง แต่ในการต่อสู้แบบนี้ การรู้ตัวว่าเมื่อไหร่ที่ควรจะอยู่เฉยๆน่ะถือว่าจำเป็นมาก!”
“คุณกำลังท้าทายพวกเราหรือ?”
ยังไม่ทันที่ฟ่านเฉี่ยวชิงจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็ก้าวออกมาพร้อมส่งรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ “ถ้าอย่างนั้นก็อย่ามัวเสียเวลาเลย พวกคุณทุกคนน่ะรุมเราได้เลย!”
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา พวกเขากำจัดผู้เข้าทดสอบไปอย่างน้อยก็ 70 คนแล้ว เป็นไปได้ว่าผลการทดสอบของพวกเขาน่าจะอยู่ลำดับต้นๆ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสะดุดตาทีมอื่นๆ
ถึงอย่างไรมันก็เป็นยุทธวิธีทั่วไปสำหรับนักรบที่อ่อนแอที่จะรวมตัวกันเพื่อกำจัดภัยคุกคามที่อันตรายที่สุดในการแข่งขัน
ด้วยความสำเร็จสูงส่งของพวกเขา ไม่ช้าไม่นานแต่ละทีมก็จะต้องรวมตัวกันเพื่อพยายามกำจัดพวกเขาออกไปให้พ้นทาง
ซึ่งถ้าพวกนั้นทำสำเร็จ ผลการทดสอบก็จะขยับขึ้นไป ทำให้พวกเขาได้ก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่ง
“เฉี่ยวเฟิง…” นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะบุ่มบ่ามถึงขนาดไปยั่วยุ 3 ทีมนั้น ฟ่านเฉี่ยวชิงหน้าเขียวด้วยความพรั่นพรึง
ตรงหน้าพวกเขาคือนักรบถึง 12 คน! หากต้องเผชิญกับกองกำลังมากมายขนาดนี้ พวกเขาคงถูกเล่นงานในชั่วพริบตา กล้ายั่วยุคนเหล่านั้นในช่วงเวลาแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
รุมเราได้เลยงั้นหรือ? รุมบ้านคุณน่ะสิ!
ผมเพิ่งสู้เสร็จไปหมาดๆ ลืมตาแทบจะไม่ขึ้นอยู่แล้ว ผมคงตายแน่หากต้องสู้กับคน 12 คนตอนนี้!
“คุณอยากสู้กับพวกเราพร้อมๆกันหรือ? เจ้าหนุ่ม, หยิ่งผยองเหลือเกินนะ?” ชายร่างสูงใหญ่คำราม “ในเมื่อคุณเรียกร้อง อย่าหาว่าพวกเราโหดร้ายก็แล้วกัน จัดการ!”
เห็นได้ชัดว่าทั้งกลุ่มเตรียมการกันมาอย่างดีก่อนจะมาเผชิญหน้ากับพวกเขา ขณะที่ชายร่างสูงใหญ่พูด ทั้งกลุ่มก็ย่างสามขุมเข้ามาเพื่อให้แน่ใจว่าจะปิดทางหลบหนีของอีกฝ่ายไว้ได้ทั้งหมด
“เฉี่ยวฉู…”
แม้จะมีข้อเสียเปรียบมากมาย ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็ดูไม่กังวลใจแม้แต่น้อย นัยน์ตาของเขาเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆด้วยความตื่นเต้น เขาหันไปมองฟ่านเฉี่ยวฉู และเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับ
จากนั้น ฟ่านเฉี่ยวเฟิงก็กู่ร้องอย่างลำพองใจก่อนจะพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้
“เฉี่ยวเฟิง อย่าบุ่มบ่าม!” ฟ่านเฉี่ยวชิงตัวเย็นเฉียบ
พวกนั้นมีกัน 12 คน และไม่มีสักคนที่มีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าพวกเขา การพรวดพราดเข้าไปอย่างนั้นไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย!
“เฉี่ยวฉู เราต้องวางแผนช่วยเฉี่ยวเฟิงแล้วหลบหนีนะ!” ฟ่านเฉี่ยวชิงหันไปเร่งจางเซวียนด้วยความตื่นตระหนก
“หลบหนี? ไม่ต้องหรอก ทำใจร่มๆน่ะแล้วดูว่าเฉี่ยวเฟิงจะทำอะไรได้บ้าง” จางเซวียนตอบพร้อมกับส่ายหน้า
เขาเพิ่งปรับสภาวะจิตของฟ่านเฉี่ยวเฟิงไปเมื่อครู่ก่อน ถ้ามาสนับสนุนให้หลบหนีตอนนี้ ความมั่นใจที่อีกฝ่ายสั่งสมมามิแหลกสลายไปหมดหรือ?
ในฐานะครูบาอาจารย์ เขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น!
“แต่พวกเราจะตายกันหมดนะ!”
ฟ่านเฉี่ยวชิงไม่คิดว่าฟ่านเฉี่ยวฉูจะบ้าบิ่นพอๆกับฟ่านเฉี่ยวเฟิง ขณะที่เขากำลังสับสนวุ่นวายใจว่าควรทำอย่างไร ก็เห็นชายร่างสูงใหญ่คนนั้นพุ่งเข้าปะทะฟ่านเฉี่ยวฉู
ฟึ่บ!
ด้วยการกรีดนิ้วเป็นรูปพัด ชายร่างสูงใหญ่ปล่อยพลังจากฝ่ามือเข้าใส่ศีรษะของฟ่านเฉี่ยวฉู เหมือนกับจะคร่าชีวิตของเขา
หากพิจารณาจากรังสี ชายร่างสูงใหญ่ไม่ต่างอะไรกับนักรบระดับเซียนขั้น 9 ทั่วไป แต่เมื่อเขาขับเคลื่อนพละกำลังจนเต็มพิกัด ก็ดูเหมือนว่าแท้ที่จริงแล้วเขาคือนักรบขั้นกึ่งการพักฟื้นภายใน!
“จบเห่…” ฟ่านเฉี่ยวชิงหน้าซีดเผือดด้วยความพรั่นพรึง
เหตุผลที่เขาเล่นงานคู่ต่อสู้ทั้ง 4 ได้ก่อนหน้านี้ก็เพราะคนเหล่านั้นมีระดับวรยุทธต่ำกว่าเขา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังถูกซ้อมยับเยิน
แต่เวลานี้ ด้วยพละกำลังอันน่าสะพรึงของชายร่างสูงใหญ่และนักรบอีกมากมายที่จับจ้องอย่างกระหายเลือดอยู่โดยรอบ ก็ดูเหมือนว่าคราวนี้พวกเขาคงจบเห่แล้วจริงๆ…
ด้วยความสิ้นหวัง ฟ่านเฉี่ยวชิงเริ่มคิดว่าเขาควรจะไปนั่งทุกข์ระทมอยู่ที่ไหนหลังจากที่ถูกคัดออกจากการทดสอบ แต่ส่วนอีกด้านหนึ่ง ฟ่านเฉี่ยวฉูย่นหน้าผากเล็กน้อย และแทนที่จะหลบ เขาก็กลับเงื้อมือขึ้น
พลั่ก!
ก่อนที่พลังจากฝ่ามือของชายร่างสูงใหญ่จะถึงตัวฟ่านเฉี่ยวฉู ฝ่ามือของฟ่านเฉี่ยวฉูก็ตบหน้าอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง
แรงตบนั้นหนักหน่วงเสียจนชายร่างสูงใหญ่หมุนคว้างไป 2 ตลบก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้น
“คุณ…”
ชายร่างสูงใหญ่ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะหน้าถอดสีด้วยความโมโห เขาพุ่งเข้าใส่จางเซวียนอีกครั้ง
ผัวะ!
ฝ่ามือข้างหนึ่งตบผัวะเข้าที่ใบหน้าอีกซีกหนึ่งของเขา เขาหมุนคว้างไป 2 รอบก่อนจะทรุดลงไปกองกับพื้นอีกครั้งหนึ่ง
“แมลงกระจอกงอกง่อยอย่างคุณควรหลบไป! อย่ามาวุ่นวายตรงนี้!” จางเซวียนคำราม
“ผม…”
ชายร่างสูงใหญ่อยากพูดอะไรบางอย่างเพื่อเรียกศักดิ์ศรีกลับคืนมาบ้าง แต่เมื่อนึกถึงแรงตบทั้งสองครั้งที่เพิ่งเจอ ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที คำพูดต่างๆนานาติดอยู่ในลำคอ
เขาเป็นแมลงกระจอกงอกง่อยที่ไม่คู่ควรกับการโจมตีของอีกฝ่ายหรือ?
เขาหันไปมองฟ่านเฉี่ยวเฟิง และเห็นชาย 4 คนกองระเกะระกะอยู่กับพื้น แม้ระดับวรยุทธของฟ่านเฉี่ยวเฟิงจะอ่อนด้อยกว่าเขา แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง กระบวนท่าของอีกฝ่ายจัดว่ารับมือด้วยได้ยากมาก ราวกับเป็นหมาป่าที่กระโจนเข้าสู่ฝูงแกะ ไม่มีใครต้านทานการตอบโต้ของเขาได้เกิน 3 กระบวนท่าเลย!
“อะ-เอาเถอะ ผมจะไปสู้กับเขา…”
ชายร่างสูงใหญ่หันกลับไปพุ่งเข้าใส่ฟ่านเฉี่ยวเฟิงโดยไม่รีรอ
“….” ฟ่านเฉี่ยวชิงตกตะลึงเสียจนลูกตาแทบจะร่วงลงไปอยู่กับพื้น
ใครบอกเราได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น?
เพียงชั่วโมงเดียวที่แยกจากกัน เฉี่ยวฉูกับเฉี่ยวเฟิงพิลึกพิลั่นไปถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? นี่เราฝันไปหรือเปล่า?
ฟ่านเฉี่ยวชิงถึงกับจังงัง