อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1897 ซ่อมแซมค่ายกล
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1897 ซ่อมแซมค่ายกล
“ก็อย่างที่พวกคุณเห็นแหละ ผมสบายดี” จางเซวียนตอบยิ้มๆ “ส่วนเรื่องเทพเจ้า พวกคุณไม่ต้องกังวลเรื่องเขาอีกแล้ว”
ระหว่างทางที่มา จางเซวียนได้ชำระล้างร่างกายด้วยน้ำสะอาดเพื่อทำตัวให้สดชื่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะแม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ก็เสียเหงื่อไปไม่น้อยระหว่างการต่อสู้ ความรู้สึกของเสื้อผ้าที่แนบติดผิวหนังทำให้เขาออกจะเหนอะหนะไม่สบายตัว
เวลาเดินไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าฝูงชนจะรับรู้เรื่องราวที่ชายหนุ่มกำจัดเทพเจ้าได้สำเร็จ ทุกคนมีสีหน้าที่บ่งบอกความยำเกรง
เอาชนะเทพเจ้าผู้ทรงพลังได้โดยไร้รอยขีดข่วน ชายหนุ่มช่างเก่งกาจจนน่าสะพรึง!
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงสูดหายใจลึกเพื่อบรรเทาความตกตะลึง เขาจ้องมองรอยแยกแห่งมิติที่อยู่โดยรอบก่อนจะหันกลับมามองหน้าจางเซวียนอย่างกระอักกระอ่วนใจ “ปรมาจารย์จาง ผมเข้าใจว่าคุณมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษเรื่องค่ายกล จะขอรบกวนให้คุณซ่อมแซมค่ายกลให้พวกเราหน่อยได้ไหม?”
นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงรู้ดีว่าในเวลานี้ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ขาดความสามารถที่จะซ่อมแซมค่ายกลซึ่งแหลกสลายไปแล้ว แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาน่าจะทำได้
เพียงแต่อีกฝ่ายเป็นคนนอก…และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เรียกได้ว่าไม่ราบรื่นนัก อีกอย่าง ก็เพิ่งเมื่อครู่นี้เองที่ชายหนุ่มได้ทำคุณงามความดีครั้งใหญ่ด้วยการหลอกล่อเทพเจ้าออกไปและกำจัดอีกฝ่ายได้สำเร็จแม้ตัวเองจะต้องตกอยู่ในความเสี่ยง นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงอดละอายใจไม่ได้ที่จะต้องขอความช่วยเหลือจางเซวียนอีกครั้ง
“ไม่มีปัญหา ว่าแต่คุณมีพิมพ์เขียวและกรรมวิธีซ่อมแซมค่ายกลหรือเปล่า?” จางเซวียนถาม
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นค่ายกลแบบนี้ มันใช้ศพของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนเป็นแกนกลางในการสกัดกั้นทางเดินแห่งมิติที่นำไปสู่มิติเบื้องบน ความซับซ้อนของมันเหนือชั้นกว่าค่ายกลไหนๆที่เขาเคยพบ
ต่อให้เป็นตัวเขาก็น่าจะซ่อมแซมมันได้ยากหากปราศจากพิมพ์เขียว
“เรามี” นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงตอบขณะยื่นตราหยกอันหนึ่งให้ “ที่อยู่ในนี้คือโครงสร้างของค่ายกล รวมทั้งข้อมูลต่างๆที่บรรพบุรุษหลายชั่วคนของเราบันทึกไว้ระหว่างทำการซ่อมแซมมัน”
จางเซวียนรับตราหยกมาแล้วรีบอ่านรายละเอียด ไม่ช้าก็จดจำค่ายกลทั้งหมดได้ขึ้นใจ
ชื่อของค่ายกลเยิ่นเย้อยืดยาวมาก มันคือค่ายกลเยียวยาสวรรค์โลงศพล่องลอย ว่ากันว่าปรมาจารย์ขงสร้างมันขึ้นด้วยตัวเองเพื่อปิดกั้นทางเดินแห่งมิติที่เชื่อมโยงกับมิติเบื้องบน เมื่อค่ายกลเข้าประจำตำแหน่ง ต่อให้นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติก็ยังทำลายมันได้ยาก
นั่นเขากำลังพยายามจะซ่อมแซมค่ายกลทันทีที่ได้ศึกษามันหรือ? หรือว่า…ความปราดเปรื่องในวิชาชีพรองรับของเขาก็พอๆกันกับเรา? เขาสามารถเชี่ยวชาญศาสตร์ทุกด้านได้ภายในเวลาเพียงครู่เดียวหลังจากได้เรียนรู้มัน เหมือนเราหรือไง? ขงซือเหยาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เพราะมีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของปรมาจารย์ขง ความสามารถของขงซือเหยาในการซึมซับข้อมูลใหม่ๆจึงจัดว่าน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอาชีพรองรับหรือเทคนิคการต่อสู้ใดๆ เธอจะทำความเข้าใจและเชี่ยวชาญมันได้ภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากได้เรียนรู้หลักการของมัน เธอจึงไม่ได้ทุ่มเทเวลามากนักให้กับการขัดเกลาทักษะของตัวเอง
ช่างน่างุนงงที่ชายหนุ่มตอบรับคำขอของพวกเขาอย่างมั่นอกมั่นใจและไม่ลังเลทั้งที่ยังไม่เคยเห็นค่ายกลมาก่อน คงไม่ใช่ว่าเขามีความสามารถแบบเดียวกับเธอหรอกนะ ใช่ไหม?
แต่ต่อให้เขาปราดเปรื่องพอๆกับเรา การศึกษาค่ายกลที่มีความซับซ้อนระดับนี้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วันกว่าจะเชี่ยวชาญ แล้วเขาจะทำสำเร็จทันเวลาหรือ? ขงซือเหยาครุ่นคิดอย่างกังวลใจขณะมองพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทซึ่งกำลังพวยพุ่งเข้ามาจากรอยแยกแห่งมิติ
เมื่อหวนนึกถึงความจริงที่ว่าชายหนุ่มเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทานคนหนึ่งเหมือนกับปรมาจารย์ขง ก็ไม่น่าประหลาดใจนักที่เขาจะมีความสามารถเหนือชั้นกว่าธรรมดา แต่ด้วยระยะเวลาที่จำกัด สิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้สำเร็จก็ย่อมมีขีดจำกัดเช่นกัน
ค่ายกลเยียวยาสวรรค์โลงศพล่องลอยนั้นซับซ้อนถึงขนาดที่เธอต้องใช้เวลาถึง 3 วันกว่าจะเข้าใจระบบการทำงานของมันทั้งหมด ต่อให้ชายหนุ่มมีพรสวรรค์มากกว่าและซึมซับข้อมูลใหม่ได้รวดเร็วกว่าเธอเป็น 2 เท่า ก็ไม่น่าจะซ่อมแซมค่ายกลได้ทันเวลา!
พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทนั้นเพิ่งลามเข้ามาถึงบริเวณแท่นบูชาที่พวกเขาอยู่ แต่ด้วยอัตราการไหลบ่าระดับนี้ กว่าจะหมดวัน ก็น่าจะกินพื้นที่ราว 1 ใน 3 ของอาณาจักรคุนฉื่อแล้ว ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต่อคุณภาพของพลังจิตวิญญาณ และข้าวสาลีแตกยอดที่พวกเขาลงแรงปลูกด้วยความยากลำบากก็จะตายหมด
ทุกอย่างที่ร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์สั่งสมมาตลอดระยะเวลาหลายหมื่นปีจะพังราบคาบไม่มีเหลือ
เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้พวกเขาซ่อมแซมค่ายกลได้ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร!
อีกอย่าง ทุกคนก็ยังข้องใจว่าชายหนุ่มจะมีวิธีซ่อมแซมมันหรือไม่ มันเป็นการมองโลกในแง่ดีอย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก แต่ก็พูดได้คำเดียวว่าการเอ่ยปากขอร้องอีกฝ่ายถือเป็นเดิมพันตาสุดท้าย
แต่ขณะที่ขงซือเหยายังคงจับจ้องอย่างเป็นกังวล ก็เห็นจางเซวียนยื่นตราหยกคืนให้ จากนั้นเขาก็หันไปมองฝูงชนพร้อมกับยิ้มอย่างมั่นใจ “ผมจะเริ่มต้นซ่อมแซมแล้วนะ พวกคุณกรุณาถอยไปก่อน”
ได้ยินคำนั้น ขงซือเหยากระพริบตาปริบๆ
เธอยกมือขวาขึ้นมานับนิ้ว…สามอึดใจ…เขาทำความเข้าใจค่ายกลทั้งหมดนั่นได้ภายในเวลาเพียงสามอึดใจหรือ?
ขณะที่ขงซือเหยายังคงจังงัง ชายหนุ่มก็เริ่มต้นเคลื่อนไหว เขากางนิ้วทั้งห้าออกและผลักดันพลังปราณให้พุ่งขึ้นสู่กลางอากาศราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก เกิดเป็นภาพลวงตาของสะพานสีรุ้งมากมายที่ทอดยาวข้ามความว่างเปล่า
จางเซวียนยืนอยู่บริเวณใจกลางสิ่งที่ดูเหมือนสะพานสวรรค์ สีหน้าท่าทางของเขาดูราวกับเป็นผู้ ควบคุมกฎเกณฑ์ของโลก
เขาเคลื่อนไหวนิ้วอย่างแผ่วเบาเพื่อควบคุมสะพานที่เป็นภาพลวงตา ดูคล้ายกับมือบรรเลงบทเพลงปีศาจที่กำลังบรรเลงเพลงสักบทหนึ่ง พร้อมกันกับการเคลื่อนไหวของเขา เสียงลมพัดไพเราะแผ่วเบาก็แว่วมา
นั่นคือ…เสียงจากสวรรค์? ขงซือเหยาตัวสั่น
ตำนานกล่าวไว้ว่าหากใครสักคนเขาถึงขั้นความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบกับสวรรค์ ไม่ว่าคนๆนั้นจะมาจากวิชาชีพไหน เสียงจากสวรรค์ก็จะปรากฏ ชายหนุ่มศึกษาพิมพ์เขียวของค่ายกลแค่สามอึดใจ แต่ไม่เพียงจะทำความเข้าใจค่ายกลได้ครบถ้วน ยังยกระดับมันให้สูงขึ้นได้ด้วย
นี่เธออ่อนด้อยกว่าเขาจริงๆหรือ?
แต่เธอคือทายาทของปรมาจารย์ขงผู้เป็นตำนานนะ มีสายเลือดที่บริสุทธิ์อย่างไม่มีใครเทียบได้!
ขงซือเหยาขัดอกขัดใจ เธอเฝ้าดูต่อไปและเห็นจางเซวียนเคลื่อนไหวนิ้วเร็วขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าก็ปรากฏภาพติดตา สะพานที่เป็นภาพลวงตานั้นร่ายรำอย่างสง่างามอยู่กลางอากาศ เกิดเป็นภาพงดงาม
เขากำลังเร่งความเร็วหรือ? ไม่กลัวว่าจะผิดพลาดหรือไง? ขงซือเหยาตัวสั่นกับความเร็วในการเคลื่อนไหวของจางเซวียน
ด้วยความซับซ้อนของค่ายกล เธอเคยคิดว่าต่อให้จางเซวียนทำความเข้าใจมันได้ ก็น่าจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆในการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสกัดกั้นกระแสการไหลบ่าของพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอท ก่อนจะค่อยๆฟื้นฟูพละกำลังของค่ายกลกลับมา ซึ่งทั้งหมดนี้ เธอคาดว่าตลอดกระบวนการน่าจะกินเวลา 1 เดือนเต็มๆ
แต่ในเวลานี้ มือไม้ของจางเซวียนกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเสียจนเกือบมองตามไม่ทัน หากเขาทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงแต่ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดจะสูญเปล่า เขายังจะต้องเผชิญกับแรงตีกลับอย่างรุนแรงจากค่ายกลด้วย
2-3 อึดใจผ่านไป แต่ไม่เพียงการเคลื่อนไหวของจางเซวียนจะไม่ช้าลง มันกลับเร็วขึ้นอีก
เมื่อไม่อาจอดทนกับความตึงเครียดนั้นได้อีกต่อไป ขงซือเหยาสะบัดข้อมือและนำกระจกเงาออกมาบานหนึ่ง เธอส่องมันตรงไปที่จางเซวียน
กระจกเงานี้คือมรดกตกทอดของครอบครัวที่ส่งต่อกันมาในตระกูลขง เป็นที่รู้จักกันในชื่อกระจกเงาสวรรค์ลึกล้ำ เมื่อนำกระจกมาวิเคราะห์ความเข้มข้นของพลังงานที่แผ่ออกมาจากค่ายกล มันจะสามารถตัดสินได้ว่าการเคลื่อนไหวของผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลคนนั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าการเคลื่อนไหวของเขาถูกต้อง ตัวหนังสือคำว่า ‘ถูกต้อง’ ก็จะสะท้อนขึ้นมาในกระจก และลำแสงสีขาวก็จะสว่างเรืองออกจากผิวหน้าของมัน แต่ถ้าไม่ถูกต้อง ตัวหนังสือคำว่า ‘ผิด’ ก็จะปรากฏพร้อมกับลำแสงสีดำ
วิ้งงงงง!
เมื่อสะท้อนร่างของจางเซวียน กระจกเงาสวรรค์ลึกล้ำก็เรืองแสงสีขาวออกมาทันทีขณะที่ตัวหนังสือแถวแล้วแถวเล่าปรากฏขึ้นบนผิวหน้าของมัน
ถูกต้อง!
ถูกต้อง!
ถูกต้อง!
ขณะที่กระจกเงาสวรรค์ลึกล้ำในมือของเธอเต็มไปด้วยตัวอักษรคำว่า ‘ถูกต้อง’ ผิวหน้าของมันก็เรืองแสงเจิดจ้าออกมาจนแทบจะเหมือนกับพระอาทิตย์ดวงย่อมๆที่ทำให้ทุกคนตาพร่า
เอ่อ…ขงซือเหยาปากสั่นยังไม่อยากเชื่อ
ตลอดชีวิตของเธอ เธอได้เห็นอัจฉริยะมาแล้วมากมาย ซึ่งตัวเธอก็เป็นคนหนึ่ง แต่การเชี่ยวชาญในค่ายกลที่ซับซ้อนขนาดนี้ได้ภายในเวลาเพียงสามอึดใจและซ่อมมันได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ทำอะไรผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย…ชายหนุ่มคนนั้นยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?
ฟึ่บ!
ความประหลาดใจของเธอคงอยู่ไม่นานนักก่อนที่นิ้วของชายหนุ่มที่อยู่กลางอากาศจะหยุดการเคลื่อนไหว เขาเอาสองมือไพล่หลังไว้อย่างวางมาดก่อนจะจ้องเขม็งที่ความว่างเปล่า
“มีอะไร? การซ่อมแซมค่ายกลไม่ควรจะหยุดกลางคันแบบนี้นะ ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด!” ขงซือเหยาตะโกนอย่างร้อนใจ
ค่ายกลไม่ได้ซับซ้อนถึงขนาดนั้น การซ่อมแซมควรจะเสร็จสิ้นในรวดเดียว ไม่อย่างนั้น หากเกิด ช่องว่างหรือการขัดจังหวะขึ้นมา พลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทก็จะลามเข้ามาทำลายทุกอย่างที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้
สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับการซ่อมแซมเขื่อน ทุกอย่างจะต้องเสร็จสิ้นในคราวเดียว เพราะหากไม่เป็นอย่างนั้น ความอ่อนด้อยใดๆก็ตามของโครงสร้างจะถูกน้ำที่สะสมไว้ทำลายอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็พังทลาย
“ฮะ? ผมไม่ได้หยุดการซ่อมแซมกลางคันนะ” ได้ยินคำถามนั้น จางเซวียนมองขงซือเหยา “ผมซ่อมเสร็จแล้ว!”
“คุณซ่อมเสร็จแล้ว?” ขงซือเหยาผงะ
ร่างของนักปราชญ์โบราณจื่อหยวนยังอยู่กับเธอ และพลังงานที่มีหน้าตาเหมือนปรอทก็ยังไหลเข้ามาไม่หยุด แบบนี้จะเรียกว่าเสร็จสิ้นการซ่อมแซมแล้วได้อย่างไร?
เห็นความสงสัยของขงซือเหยา จางเซวียนหัวเราะหึๆ เขามองความว่างเปล่าที่อยู่เหนือศีรษะอีกครั้งและออกคำสั่ง “เปิดใช้งาน!”
ฟิ้วววว!
โลงศพที่อยู่ข้างขงซือเหยาพุ่งขึ้นสู่ความว่างเปล่าและหายวับไป มิติที่อยู่โดยรอบมั่นคงขึ้นอย่างรวดเร็ว รอยแยกของมิติทั้งหมดสมานตัวเข้าหากันในทันที ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ค่ายกลถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์แบบภายใต้คำสั่งของเขา!
วาจาสิทธิ์…นั่นคือศักยภาพของสายเลือดตระกูลขงไม่ใช่หรือ?
ขงซือเหยาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น