อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1902 ผู้หยั่งรู้
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1902 ผู้หยั่งรู้
เจื่อน
จางเซวียนเกาหัว
คนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นอย่างนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงก็อยู่มากว่าหมื่นปีแล้ว คงยากที่จางเซวียนจะเอาชนะใจพวกเขาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แถมยังเคยขัดแย้งกันอีกต่างหาก ส่วนเหยียนเฉว่ก็ไม่ต่างกัน เขาจึงเล็งไว้ว่าขงซือเหยาน่าจะเป็นผู้ที่เขาอาจเอาชนะใจเธอได้
แน่นอนว่าจางเซวียนไม่คิดว่าจะถูกปฏิเสธอย่างทันทีทันควัน
อันที่จริง ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมขงซือเหยาถึงไม่เต็มใจรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ การที่เธอมีสายเลือดปรมาจารย์ขงและได้รับการถ่ายทอดมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขงมาก็หมายความว่าสถานภาพของเธอสูงส่งไม่น้อย ขนาดนักปราชญ์โบราณเหยียนชิงยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอจะเป็นอาจารย์ของเธอเลย นับประสาอะไรกับคนอื่น!
ต่อให้ผู้ที่ตั้งคำถามจะเป็นถึงปรมาจารย์ฟ้าประทาน ก็ไม่ทำให้เกิดความแตกต่าง
เธอยอมรับว่าความเก่งกาจของเธออ่อนด้อยกว่าจางเซวียน แต่อย่างน้อยที่สุดเธอก็ยังหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง
“เรื่องนี้ส่งผลต่อความเป็นไปได้ของการที่เราจะคลี่คลายวิกฤติของอาณาจักรคุนฉื่อ” จางเซวียนยืนกราน “แล้วผมก็ไม่ได้คิดจะรับคุณเป็นศิษย์สายตรงของผมด้วย แค่คุณรับผมเป็นอาจารย์ของคุณก็พอ!”
จากการวิเคราะห์ของจางเซวียนก่อนหน้านี้ ขอแค่ขงซือเหยาเต็มใจรับตัวเขาเป็นอาจารย์และสำนึกในบุญคุณต่อการถ่ายทอดความรู้ของเขา ก็มีโอกาสที่หน้าหนังสือสีทองจะเกิดขึ้น ไม่สำคัญเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นศิษย์สายตรงของเขาหรือไม่
“การที่ฉันรับคุณเป็นอาจารย์จะช่วยแก้ไขปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้อย่างไร?” ขงซือเหยาขมวดคิ้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าชายหนุ่มเพิ่งสังหารเทพเจ้าและช่วยชีวิตบรรดาสมาชิกร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ไว้จากเหตุการณ์คับขันครั้งใหญ่ เธอคงปักใจแล้วว่าเขาเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง!
“เอาอย่างนี้ ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ? ผมจะให้คำชี้แนะบางข้อเกี่ยวกับวรยุทธของคุณ แล้วส่วนคุณจะเต็มใจยอมรับผมเป็นอาจารย์หรือไม่นั้น คุณก็ตัดสินใจเอง”
เมื่อมองหมู่เมฆดำที่กำลังรวมตัวกันอย่างรวดเร็วเหนือศีรษะของเขา จางเซวียนรู้ดีว่าไม่ช้าไม่นานการลงทัณฑ์สวรรค์จะต้องถูกปลดปล่อยลงมาแน่ ชัดเจนว่าเวลาไม่คอยท่า เขาจึงไม่อาจมัวเสียเวลาโน้มน้าวใจขงซือเหยาได้อีก
อีกอย่าง เขาไม่อยากเปิดเผยเรื่องหอสมุดเทียบฟ้า ถ้าเขาทำให้ขงซือเหยายอมรับตัวเขาเป็นอาจารย์ของเธอได้สำเร็จด้วยวิธีนั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ความรู้สึกของเธออาจไม่ได้ออกมาจากใจจริง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปรากฏของหน้าหนังสือสีทอง
จางเซวียนพูดต่อโดยไม่รอดูทีท่าของขงซือเหยา “สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของคุณคือสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุดของปรมาจารย์ขงตลอดพันปีที่ผ่านมา คุณสามารถเชี่ยวชาญเทคนิคการต่อสู้และเทคนิควรยุทธใดๆก็ตามได้ภายในชั่วพริบตา อัตราการพัฒนาวรยุทธก็เหนือชั้นกว่าคนธรรมดาสามัญ แต่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด แม้จะเพิ่งผ่านไปเพียงสามปีหลังจากที่คุณสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก แต่คุณก็ได้เผชิญกับการทดสอบนักปราชญ์โบราณแล้วถึง 3 ครั้ง ซึ่งคุณเลือกที่จะกดข่มระดับวรยุทธไว้แทนที่จะผลักดันให้เกิดการฝ่าด่านวรยุทธจนสำเร็จ”
ขงซือเหยาพยักหน้าขณะรอคอยอย่างอดทนให้จางเซวียนพูดอะไรก็ตามที่เขาอยากพูด
สิ่งที่จางเซวียนเพิ่งพูดไปอาจเรียกได้ว่าเป็นความลับ แต่คนใกล้ชิดของเธอเกือบทุกคนก็รู้เรื่องนั้นดี และในเมื่อเขาเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน การจะสืบเสาะหาข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่ได้ยากเกินไป
“จากการทดสอบนักปราชญ์โบราณแต่ละครั้งที่คุณได้เผชิญ ระดับวรยุทธของคุณก็จะแข็งแกร่งขึ้น และเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินว่าในอนาคตคุณจะสามารถดิ้นรนให้เป็นอิสระจากพันธนาการของสวรรค์และฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้หรือไม่ แต่คุณก็คงรู้แล้วว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งสืบเนื่องมาจากความพยายามในการฝ่าด่านวรยุทธของคุณที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน” จางเซวียนพูด
“พละกำลังของการทดสอบนักปราชญ์โบราณซึมซาบเข้าสู่แกนกลางของร่างกายของคุณ ในตัวคุณยังคงมีร่องรอยของพลังงานจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณหลายต่อหลายครั้งที่คุณได้ผ่านมา ซึ่งการสั่งสมของพลังงานที่ไม่ได้ถูกซึมซับก็กลายสภาพเป็นด่านคอขวดที่กีดขวางวรยุทธของคุณไว้ คุณท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณถึง 3 ครั้งภายในช่วงสองปีก่อน แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้พยายามทำอะไรอีกเลย ผมคิดว่าสิ่งนี้น่าสนใจพอที่จะทำให้ผมต้องตั้งคำถามว่าทำไมคุณถึงเลือกจะยื้อการทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 4 ให้ช้าออกไปถึงสองปีเต็ม เท่าที่ผมเห็น ผมฟันธงเลยว่าไม่ใช่เพราะคุณไม่อยากทำ แต่เป็นเพราะคุณไม่กล้าทำต่างหาก…”
ขณะที่จางเซวียนตรงเข้าประเด็น ขงซือเหยาหน้าซีดเผือดจนน่ากลัว เธอถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัวและจ้องหน้าจางเซวียนด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง
เรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดในหัวใจของเธอที่เธอไม่กล้าพูดออกมา ไม่นึกเลยว่าชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จัก จะเผยมันออกมาได้ภายในเวลาเพียงครู่เดียว
ตอนที่เธอสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานเป็นครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน เธอใฝ่ฝันว่าจะเจริญรอยตามความยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษ และพยายามท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณถึง 3 ครั้ง…
การทดสอบนักปราชญ์โบราณ 3 ครั้งแรกที่เธอเผชิญเต็มไปด้วยอันตราย แต่ลงท้ายเธอก็ผ่านมันมาได้ด้วยความแข็งแกร่งอดทนของตัวเอง แต่หลังจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณครั้งที่ 3 ผ่านไป เธอก็ต้องพรั่นพรึงเมื่อพบว่าพลังงานจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณได้ซึมซาบเข้าสู่กระดูกของเธอ ไม่ว่าจะพยายามชำระล้างกระดูกสักแค่ไหนก็ขจัดพวกมันออกไปไม่ได้!
ลางสังหรณ์บอกขงซือเหยาว่าถ้าเธอพยายามเข้าสู่การทดสอบนักปราชญ์โบราณอีกครั้งและปล่อยให้พลังงานที่ตกค้างในร่างกายของเธอก่อตัวขึ้นอีก ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จิตใต้สำนึกของเธอจะถูกพลังงานนั้นกัดกร่อน ทำให้สูญเสียตัวตนไป ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุด เธออาจถูกซึมซับจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการลงทัณฑ์จากสวรรค์ไปเลยก็ได้!
ความกลัวจับใจครั้งนั้นทำให้ขงซือเหยารั้งรอการฝ่าด่านวรยุทธไว้ทั้งที่ผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณไปแล้วถึง 3 ครั้ง จากนั้น สองปีก็ผ่านไป แต่เธอก็ไม่อาจหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมได้ ในเวลาเดียวกัน สภาวะร่างกายของเธอก็เสื่อมถอยจนเริ่มจะสูญเสียการควบคุมพลังงานที่ไหลพล่านอยู่ในร่างกายของตัวเอง
ขงซือเหยาเสาะหาหนังสือมากมายนับไม่ถ้วนมาอ่าน หวังจะได้พบวิธีคลี่คลายปัญหา แต่ความพยายามนั้นก็ไม่เป็นผล มาตอนนี้ พอได้ยินจางเซวียนจี้ปัญหาทุกจุดอย่างตรงประเด็น…จะเป็นไปได้ไหมว่าเขาจะมีวิธีแก้ไขปัญหาของเธอ?
ราวกับจะอ่านใจของเธอออก จางเซวียนหัวเราะหึๆ “ในเมื่อผมมองเห็นปัญหาของคุณ ผมก็ย่อมมีวิธีแก้ คุณน่าจะดูออกว่าตัวผมก็ไม่ต่างจากคุณ ผมผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาหลายครั้งหลายหนแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างที่คุณเจออยู่”
ขงซือเหยาพยักหน้าเมื่อนึกได้ นัยน์ตาของเธอฉายความหวัง
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานเหมือนกันกับเธอ แต่สามารถต่อสู้กับนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นปรมาจารย์ฟ้าประทาน ก็มีความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะได้เผชิญกับการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วหลายครั้งขณะที่กดข่มระดับวรยุทธไว้ เพราะไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางที่จะทรงพลังขนาดนี้
“แล้วถ้า…อาการบอบช้ำของฉันน่ะจะมีทางแก้ไขได้ไหม? ถ้าคุณแก้ไขปัญหาของฉันได้ ฉันก็ยิ่งกว่าเต็มใจจะยอมรับคุณเป็นอาจารย์!” ขงซือเหยาร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
ขอแค่อาการบอบช้ำของเธอทุเลา ด้วยพื้นฐานของเธอที่ได้ผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วถึงสามครั้ง เธอก็มั่นใจว่าจะสามารถเจริญรอยตามบรรพบุรุษได้ทัน และสุดท้ายก็จะได้สำเร็จวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ
ด้วยความแข็งแกร่งระดับนั้น ต่อให้เกิดปัญหายากเย็นขึ้นอีก เธอก็น่าจะมีพละกำลังมากพอที่จะแก้ไขได้ด้วยตัวเอง
บางที เธออาจเจริญรอยตามเส้นทางของบรรพบุรุษและก้าวขึ้นสู่มิติเบื้องบน ยกระดับสถานภาพของตัวเองให้สูงขึ้นอีกได้!
“แท้ที่จริงแล้วปัญหาไม่ได้มีอะไร อาณาจักรคุนฉื่อไม่เหมือนกับทวีปแห่งปรมาจารย์ พลังงานที่ต้องใช้เพื่อก่อตัวเป็นการทดสอบวรยุทธภายในอาณาจักรคุนฉื่อนั้นไม่ได้มาจากสวรรค์ แต่เป็นพลังงานที่มีอยู่แล้วในอาณาจักรคุนฉื่อ เพราะอาณาจักรคุนฉื่อถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ขง โลกใบนี้จึงเก็บรักษาพลังงานของเขาเอาไว้ภายใน สำหรับนักรบคนอื่นๆ ความจริงข้อนี้อาจไม่ส่งผลอะไร แต่โชคร้ายที่คุณมีต้นกำเนิดของพละกำลังจุดเดียวกันกับปรมาจารย์ขง ส่งผลให้คุณไม่สามารถขจัดพลังงานที่ตกค้างจากการทดสอบนักปราชญ์โบราณออกจากร่างกายได้ ทั้งยังซึมซับมันเข้าไปทีละน้อยด้วย” จางเซวียนอธิบาย
อาณาจักรคุนฉื่อมีฉนวนหลัก 2 แห่งเพื่อป้องกันการสอดส่องจากสวรรค์ จึงชัดเจนว่าการทดสอบนักปราชญ์โบราณที่ขงซือเหยาเผชิญนั้นไม่ได้มาจากสวรรค์
เท่าที่เห็น เป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ขงน่าจะเป็นผู้จัดการระบบของการทดสอบวรยุทธภายในอาณาจักรคุนฉื่อ
สิ่งนี้จะไม่สร้างปัญหาอะไรให้กับนักรบคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่ขงซือเหยา เพราะพลังงานของการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน ธรรมชาติอันพลุ่งพล่านของมันจึงทำให้เธอไม่อาจควบคุมมันได้ ในเวลาเดียวกัน เมื่อซึมซับมันเข้าไปแล้ว เธอก็ขจัดมันออกจากร่างกายไม่ได้ด้วย ส่งผลให้พลังงานนั้นก่อตัวสะสมและแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อยเมื่อผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณไปแต่ละครั้ง
สุดท้าย ก็เกิดเป็นอันตรายที่เธอไม่อาจมองข้ามมันได้อีก
“แล้วฉันควรทำอย่างไร?” ขงซือเหยาตั้งคำถาม
การล้วงลึกถึงต้นตอของปัญหาทำให้ขงซือเหยารู้ทันทีว่าการแก้ไขอาการบอบช้ำของเธอนั้นทำได้ยาก และตอนนี้ก็เริ่มวิตกแล้วว่าอาจเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้จนชั่วชีวิต
“เอาเถอะ วิธีแก้ก็ง่ายและตรงไปตรงมานะ ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือเข้าท้าทายการทดสอบนักปราชญ์โบราณในทวีปแห่งปรมาจารย์ แน่นอนว่าด้วยปริมาณพลังงานที่คุณสั่งสมไว้ตอนนี้ ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าคุณจะต้องเผชิญอันตรายใหญ่หลวงในการทำแบบนั้น ณ จุดนี้ คุณมีสองทางเลือก ถ้าคุณเลือกที่จะไม่ฝ่าด่านวรยุทธ เมื่อต่อไปพลังปราณของคุณเพิ่มมากขึ้น คุณก็จะสูญเสียโอกาสในการฝ่าด่านวรยุทธไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนอีกด้านหนึ่ง ถ้าคุณตัดสินใจจะฝ่าด่านวรยุทธ การที่คุณไม่เคยสัมผัสกับการทดสอบสายฟ้าของทวีปแห่งปรมาจารย์มาก่อนก็ทำให้แม้แต่ตัวผมก็คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา” จางเซวียนอธิบายพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย
“แต่ว่า…ถ้าคุณยอมรับผมเป็นอาจารย์ ผมจะสอนกรรมวิธีที่ทำให้คุณผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณไปได้อย่างแน่นอน!”
“เอ่อ…” เมื่อเห็นว่าไม่มีหนทางอื่น ขงซือเหยาตัดสินใจทรุดตัวลงและโค้งคำนับให้จางเซวียนหลายครั้ง “ตกลง ฉันจะยอมรับคุณเป็นอาจารย์ของฉัน หวังว่าคุณจะช่วยชีวิตฉันจากอันตรายครั้งนี้ด้วย!”
จางเซวียนเพ่งดูหอสมุดเทียบฟ้า ไม่เห็นหน้าหนังสือสีทองปรากฏ เมื่อรู้แล้วว่าความรู้สึกของขงซือเหยายังไม่ใช่ความจริงใจ เขาถอนหายใจเฮือกและพูดต่อ “การข้ามผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณในทวีปแห่งปรมาจารย์นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไร กุญแจอยู่ตรงที่คุณจะต้องไม่มองมันว่าเป็นภาระ แต่เป็นเหมือนสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว คุณจะต้องรักมัน ดูแลมัน ใส่ใจความต้องการของมัน มอบความอบอุ่นและความห่วงใยให้มันด้วย…”
ขงซือเหยาอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อ ในตอนนั้น เธออยากจะระเบิดศีรษะของเจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เธอรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอก