อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1905 ศิษย์น้องคนเล็ก
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1905 ศิษย์น้องคนเล็ก
เหตุผลหลักที่จางเซวียนอยากรับขงซือเหยาเป็นศิษย์สายตรงก็เพื่อสร้างหน้าหนังสือสีทอง ซึ่งในที่สุดก็บรรลุเป้าหมาย
“ลุกขึ้นเถอะ” จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะพยุงสาวน้อยให้ลุกขึ้น
ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ของอาณาจักรคุนฉื่อได้
“ท่านอาจารย์!”
“นั่นศิษย์น้องคนเล็กของพวกเราหรือ?”
จางเซวียนหันกลับไป เห็นจ้าวหย่ากับศิษย์สายตรงคนอื่นๆมองมาอย่างตื่นเต้น
การทดสอบนักปราชญ์โบราณของขงซือเหยาสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ที่เขย่าทั้งอาณาจักรเทียนเซวียน ในฐานะนักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ ไม่มีทางที่จ้าวหย่ากับพรรคพวกจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ศิษย์น้องคนเล็ก?” ขงซือเหยาออกจะขัดใจเมื่อได้ยินคำนั้น
เธอคืออัจฉริยะหมายเลขหนึ่งของอาณาจักรคุนฉื่อ ทายาทของปรมาจารย์ขง…การที่ต้องเรียกขานวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเธอว่า ‘ศิษย์พี่’ เป็นสิ่งที่เธอทำใจไม่ได้
ขณะที่ขงซือเหยาทำตัวไม่ถูก จางเซวียนก็โพล่งออกมา “เธอไม่ใช่ศิษย์น้องของพวกคุณหรอก เพราะไม่ได้เป็นศิษย์สายตรงของผม เป็นแค่ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ผมรับไว้เท่านั้น”
“ลูกศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่คุณรับไว้…” ขงซือเหยาตัวสั่น
เมื่อครู่นี้เธอยังสุดแสนกระอักกระอ่วนที่ต้องกลายเป็นศิษย์น้องคนเล็ก แต่จางเซวียนกลับพูดราวกับว่าเธอไม่มีสิทธิ์แม้จะได้เป็นศิษย์น้องคนเล็กของพวกเขา…
ขงซือเหยากัดฟันและจ้องหน้าจางเซวียน หมายจะทักท้วงให้เข้าใจตรงกัน แต่ก็เห็นจางเซวียนหันกลับมามองเธอและถามว่า “คุณคิดว่าผมกำลังดูถูกคุณหรือ?”
รู้ดีว่าการท้าทายท่านอาจารย์ต่อหน้าสาธารณชนเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ขงซือเหยากล้ำกลืนความหยิ่งผยองลงไปแล้วก้มศีรษะ “ฉันไม่บังอาจ!”
แต่ถึงอย่างนั้น หมัดที่กำแน่นอยู่ข้างตัวก็บ่งบอกความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ เธอเป็นดั่งนกฟีนิกซ์ของอาณาจักรคุนฉื่อ และรู้สึกว่าช่างน่าสมเพชที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะได้เป็นศิษย์น้องคนเล็กของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง
“ไม่เป็นไรหรอก อยู่ต่อหน้าผม ไม่ต้องฝืนก็ได้ ผมรู้ความคิดของคุณดี ทำไมเราไม่ทำแบบนี้ล่ะ? จ้าวหย่าเป็นศิษย์สายตรงของผม เรื่องอายุ…เธออายุน้อยกว่าคุณมาก” จางเซวียนพูดขณะมองจ้าวหย่า “คุณสองคนสู้กันโดยใช้พละกำลังล้วนๆ ไม่มีอาวุธ ถ้าคุณเอาชนะเธอได้ ผมก็จะรับคุณเป็นศิษย์สายตรงและอนุญาตให้คุณเป็นศิษย์พี่ของพวกเขา!”
“เยี่ยม!” เมื่อเข้าใจเรื่องราว ขงซือเหยามองจ้าวหย่าด้วยเจตจำนงของการต่อสู้ที่แผดเผาอยู่ในดวงตา
อีกฝ่ายน่าจะอายุราว 18 ปีเท่านั้น อ่อนวัยกว่าเธอมาก ถ้าเธอเอาชนะไม่ได้แม้แต่คู่ต่อสู้ระดับนี้ จะมีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกตัวเองว่าทายาทของปรมาจารย์ขง?
เมื่อขงซือเหยายินยอม จางเซวียนหันไปพูดกับจ้าวหย่า “ทำแบบเดิมที่คุณเคยทำนั่นแหละ เท่านั้นก็พอ”
“ได้” จ้าวหย่าพยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปยังพื้นที่ว่างที่อยู่ห่างออกไป เธอเชื้อเชิญขงซือเหยาอย่างสุภาพ “กรุณาด้วย!”
ขงซือเหยารีบเดินไปเช่นกัน
ไม่มีการปะทะคารมก่อนเริ่มการประลอง แต่ด้วยความหยิ่งผยองของทั้งคู่ บรรยากาศของการแข่งขันตึงเครียดจึงอบอวลระหว่างสองฝ่าย
ขงซือเหยาไม่ได้ใช้ความสามารถของสายเลือด แต่ในฐานะอัจฉริยะชั้นยอดและนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด เธอสำแดงเทคนิคการต่อสู้อันไร้ที่ติออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ท่วงท่าของเธอดูเหมือนการเต้นรำอันสง่างาม
ส่วนจ้าวหย่าก็เปิดใช้งานสภาวะพิเศษ ทำให้รังสีเย็นเยียบแผ่ซ่านครอบคลุมทั่วทั้งพื้นที่นั้น เกล็ดหิมะงดงามร่วงพรูจากท้องฟ้าด้วยความสามารถของเธอ
จ้าวหย่าสำเร็จวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 2 บรมครูนักปราชญ์ ขั้นต้นแล้วหลังจากที่พยายามลอบสังหารอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เมื่อเดือนก่อน
แต่ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอได้รับคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ อีกทั้งได้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด ทำให้สามารถขัดเกลาพื้นฐานวรยุทธได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และลงท้ายก็สำเร็จวรยุทธขั้นบรมครูนักปราชญ์ โลกจารึก แม้ระหว่างนั้นจ้าวหย่าจะไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธบ่อยครั้งนัก แต่ก็ถือว่าโง่เง่าเต็มทีถ้าใครจะสบประมาทวรยุทธของเธอ
จริงอยู่ว่ามีความเหลื่อมล้ำไม่น้อยระหว่างวรยุทธของจ้าวหย่ากับขงซือเหยา แต่ด้วยรากฐานวรยุทธที่แข็งแกร่งและความเข้าใจอย่างล้ำลึกเรื่องเทคนิคการต่อสู้ จ้าวหย่าก็สามารถรับมือการโจมตีของขงซือเหยาได้
การต่อสู้ดุเดือดดำเนินไป ทุกคนเห็นนัยน์ตาของขงซือเหยาเริ่มปรากฏความหวั่นวิตก
ควรจะมีช่องว่างในวรยุทธของพวกเธอทั้งคู่ เพราะเธอมีระดับวรยุทธสูงกว่า แถมยังมีประสิทธิภาพการต่อสู้ตามแบบของทายาทปรมาจารย์ขง แต่เมื่อสู้กันโดยปราศจากอาวุธ เธอก็ไม่อาจถือไพ่เหนือกว่าได้
ศิษย์สายตรงของจางเซวียนที่มีอายุเพียง 18 ปีเก่งกาจขนาดนี้ได้อย่างไร?
แบบนี้ไม่ได้การ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปล่ะก็ ต่อให้เราชนะ ศักดิ์ศรีก็คงป่นปี้ไม่มีเหลือ…
ขงซือเหยากระหายจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอมีความปราดเปรื่องเหนือชั้นกว่าศิษย์สายตรงคนไหนก็ตามของจางเซวียน แต่ช่างยากเหลือเกินที่จะเอาชนะจ้าวหย่า ทั้งๆที่เธอมีระดับวรยุทธสูงกว่า แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการพ่ายแพ้
ขงซือเหยากัดฟันกรอดและเปลี่ยนเทคนิคการเคลื่อนไหวอย่างปุบปับ ในชั่วพริบตา ก็เกิดภาพติดตาขึ้นมากมายในบริเวณนั้น
มันคือเทคนิคการต่อสู้ที่ปรมาจารย์ขงคิดค้นขึ้นเป็นพิเศษให้เหล่าทายาทของเขา และเป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เธอมีอยู่ในตอนนี้…แปดแขนสังหารหมู่!
การโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนถูกปล่อยออกจากร่างของขงซือเหยาด้วยความเร็วสูง ไม่ช้าจ้าวหย่าก็จนมุมและต้องถอยกรูดไปครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้ขงซือเหยาจะเพิ่งฝ่าด่านวรยุทธมาหมาดๆ แต่ก็เป็นนักรบที่ผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วถึง 4 ครั้ง ทำให้มีพละกำลังสูงส่งแม้ในหมู่นักรบที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดด้วยกัน ถ้าไม่ใช่เพราะประสบการณ์การต่อสู้อันเหนือชั้นของจ้าวหย่า เธอคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
“อย่าตื่นตระหนก ตอนนี้คุณแค่มีพละกำลังอ่อนด้อยไปหน่อย…ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น สิ่งที่ต้องทำก็คือฝ่าด่านวรยุทธ!”
จางเซวียนกระดิกนิ้ว จากนั้นก็ส่งหยดเลือดของเทพเจ้าหยดหนึ่งให้จ้าวหย่า
ฟึ่บ!
จ้าวหย่ากลืนเลือดหยดนั้นลงไป ระดับวรยุทธของเธอพุ่งพรวดทันที
ภายในไม่ถึง 20 อึดใจ เธอก็ฝ่าด่านคอขวดไปเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้สำเร็จ
เมื่อมีพละกำลังเพิ่มสูงขึ้นมากจากการฝ่าด่านวรยุทธ จ้าวหย่าก็ปล่อยพลังงานเย็นเยือกออกมา พลังนั้นตรงเข้าเล่นงานขงซือเหยาจนกระเด็นไปไกลก่อนจะตกลงมากระแทกพื้น
“ฉันแพ้แล้ว” ขงซือเหยาพึมพำด้วยใบหน้าซีดเผือด
ยังมีกระบวนท่าอีกมากมายที่เธอยังไม่ได้ใช้ และรู้ดีว่าจะเอาชนะได้ก็ต่อเมื่อใช้ความสามารถของสายเลือดเท่านั้น แต่นี่ไม่ใช่การดวลแบบชี้เป็นชี้ตาย เธอทำใจใช้มันไม่ลง
แม้เทคนิคการต่อสู้ของอีกฝ่ายจะไม่ล้ำลึกเท่ากับของเธอ แต่ทุกกระบวนท่าก็มีแนวคิดอันลึกซึ้งอยู่ ทำให้ยากที่จะหยั่งถึง ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังดูเหมือนมองเห็นข้อบกพร่องของเธอและจงใจโจมตีจุดไหนก็ตามที่เธอปัดป้องได้ยาก ด้วยเหตุนี้ ขงซือเหยาจึงถูกต้อนให้จนมุมอย่างช้าๆ
เมื่อครู่ก่อน เธอยังคงใช้ช่องว่างของวรยุทธที่เหนือกว่าตอบโต้ได้ แต่หลังจากที่จ้าวหย่าสำเร็จวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือด การต่อสู้ก็กลายเป็นการโจมตีข้างเดียว
น่าหัวเราะเหลือเกินที่เธอเพิ่งดูแคลนทั้งกลุ่มว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะปราดเปรื่องกว่าเธอได้!
“ว่าอย่างไร? คุณยังหงุดหงิดที่ต้องถูกเรียกว่าศิษย์น้องคนเล็กไหม?”
เห็นอัจฉริยะผู้หยิ่งผยองของอาณาจักรคุนฉื่อยังคงอึดอัดใจกับความพ่ายแพ้ของตัวเอง จางเซวียนเสนอแนะ “ถ้าคุณรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเพราะจ้าวหย่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ทุกคนละก็ คุณท้าทายคนอื่นก็ได้นะ แต่ผมคงต้องขอให้คุณลดระดับวรยุทธลงเพื่อความยุติธรรม”
ขงซือเหยาหันไปมองศิษย์สายตรงคนอื่นๆของจางเซวียน
เจิ้งหยาง หยวนเทา เว่ยหรูเหยียน และคนอื่นๆกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาตื่นเต้น ดูเหมือนทุกคนอยากเล่นงานเธอจนตัวสั่น
“ไม่เป็นไร ฉันเต็มใจเป็นศิษย์น้องคนเล็ก…” ขงซือเหยาก้มศีรษะให้และโค้งคำนับ
ในเมื่อพวกเขาได้รับการบ่มเพาะจากอาจารย์คนเดียวกัน ก็น่าจะมีพละกำลังที่ไม่ต่างกันนัก เธอเคยคิดว่าคงเอาชนะจ้าวหย่าได้สบายเพราะระดับวรยุทธที่สูงกว่า แต่ลงท้ายก็ไม่ใช่ ทำให้รู้สึกว่า ต่อให้เป็นลูกศิษย์คนอื่นๆของจางเซวียน ก็คงเป็นแบบเดียวกัน
ในเมื่อไม่มั่นใจในพละกำลังของตัวเอง ก็ไม่ควรจะเสนอตัวออกไปให้เสียหน้า ยอมรับเสียจะดีกว่า
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี” จางเซวียนพูด “จ้าวหย่า เจิ้งหยาง และพวกคุณที่เหลือ นับจากวันนี้ไป ขงซือเหยาจะเป็นศิษย์น้องคนเล็กของพวกคุณและเป็นศิษย์สายตรงคนที่ 9 ของผม พวกคุณต้องดูแลซึ่งกันและกันนะ เข้าใจไหม?”
“ได้ พวกเราจะฟังคำสั่งสอนของท่านอาจารย์!”
คนอื่นๆที่เหลือประสานมือและตอบเป็นเสียงเดียวกัน
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ทายาทของปรมาจารย์ขงก็ยังลงเอยด้วยการยอมรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงถึงกับอับจนถ้อยคำ เป็นครู่ใหญ่กว่าเสียงของเขาจะหลุดออกมา “ในเมื่อขงซือเหยาฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้สำเร็จ เธอก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้เป็นผู้นำคนใหม่ของอาณาจักรคุนฉื่อและร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์!”
ปรมาจารย์ขงเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรคุนฉื่อ จึงเป็นที่รู้กันว่าผู้ปกครองอาณาจักรควรจะเป็นทายาทของเขา
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักปราชญ์โบราณเหยียนชิงรับหน้าที่ดูแลอาณาจักรคุนฉื่อและร้อยสำนักแห่งนักปราชญ์ในฐานะรักษาการณ์ ในเมื่อขงซือเหยาเติบโตขึ้นและมีวุฒิภาวะมากพอแล้ว ก็ถึงเวลาที่เขาจะส่งมอบภารกิจกลับคืนให้เธอเสียที