อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1934 นี่มันปล้นกันชัดๆ!
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1934 นี่มันปล้นกันชัดๆ!
“ทำไมพวกนั้นยังไม่กลับมา?”
ที่สำนักเจ้าเมือง เฉว่เฉินเดินวนไปมาเหมือนหนูติดจั่นพร้อมกับย่นหน้าผาก
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ กองทหารที่เขาส่งไปควรจะสังหารเจ้าขยะนั่นได้สำเร็จและกลับมาแล้ว นี่ก็ผ่านไปแล้วถึง 2 ชั่วโมง ทำไมถึงไม่มีใครกลับมา?
“คุณ ออกไปดูซิ!” เฉว่เฉินหันไปสั่งการองครักษ์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ
องครักษ์รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสีดำและจากไป ไม่ช้าก็กลับมาด้วยสีหน้าประหลาด “นายท่าน ที่ตระกูลตั้นดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ตั้นเฉี่ยวเทียนกับตั้นอี้ยังคงปกติดี!”
เฉว่เฉินงงงันกับรายงานนั้น “เป็นไปได้อย่างไร? คำสั่งของผมไม่ชัดเจนหรือ?”
เขาสั่งการกองทหารให้กำจัดทั้งสามคนที่อยู่ในบ้านพักตระกูลตั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ผ่านไป 2 ชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่?
“ไปสืบเสาะเรื่องนี้! ดูซิว่าทีมที่เราส่งไปก่อนหน้านี้อยู่ไหน!” เฉว่เฉินตวาดก้อง
องครักษ์รีบออกไป, 1 ชั่วโมงต่อมาก็กลับมารายงาน “จากการแกะรอยฝีเท้า พวกเขาเข้าสู่ตระกูลตั้นแล้ว แต่ไม่มีร่องรอยการกลับออกมา…ผมเดาว่าพวกนั้นถูกสังหารหมด และศพของพวกเขาก็ถูกกำจัดด้วย!”
“พวกเขาถูกสังหาร? ฝีมือของสามคนนั้นหรือ?” เฉว่เฉินถึงกับผงะ
กองทหาร 50 นายที่เขาส่งไปล้วนแต่เป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 1 ส่วนตัวหัวหน้าก็เป็นถึงนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 2 หากผนึกพละกำลังกัน ก็สามารถรับมือได้แม้แต่กับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 แต่กลับถูกฆ่าตายอย่างเงียบๆแบบนั้น ถึงขนาดที่ไม่มีใครสักคนรอดชีวิตกลับมาส่งข่าว…
ในเมื่ออีกฝ่ายคือตั้นเฉี่ยวเทียนที่พิการและตั้นอี้ซึ่งไร้เรี่ยวแรง พร้อมกับชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกคนหนึ่ง เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น!
หรือว่า…ที่เจ้าโจรคนนั้นพูดมาจะเป็นเรื่องจริง? เฉว่เฉินหวนนึกถึงคำพูดของเฉาเฉิงลี่
หมอนั่นบอกว่าตั้นเฉี่ยวเทียนมีม้ากับเกี้ยวที่ทรงพลังถึงขนาดสำแดงศิลปะการต่อสู้ได้
ไม่อย่างนั้น ทั้งสองคนจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?
“นายท่าน ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? ส่งคนไปอีกดีไหม?” องครักษ์ตั้งคำถาม
“ไม่ต้อง…ถ้าพวกนั้นถูกสังหารหมด ป่านนี้อีกฝ่ายก็คงระวังตัวแล้ว ตอนนี้เราต้องรวบรวมข้อมูลและประเมินพละกำลังของตั้นเฉี่ยวเทียนก่อนจะลงมือทำอะไรต่อไป” เฉว่เฉินส่ายหน้า
“อีกอย่าง พระอาทิตย์ใกล้ขึ้นแล้ว ถ้าเราทำอะไรเอิกเกริกไปตอนนี้ ก็เสี่ยงต่อการทำให้ชื่อเสียงของสำนักเจ้าเมืองต้องด่างพร้อย”
“แต่เราจะปล่อยให้ไอ้สารเลวนั่นลอยนวลหรือ…หลังจากที่พี่น้องของเราต้องตายไปแล้วมากมาย?” องครักษ์ถามอย่างร้อนใจ
สำนักเจ้าเมืองอาจร่ำรวยก็จริง แต่การบ่มเพาะดูแลทหารทั้ง 50 นายต้องลงทุนลงแรงและใช้ทรัพยากรมาก พวกนั้นถูกฆ่าตายหมดแบบนี้…เป็นเรื่องที่ยากจะรับไหว
เฉว่เฉินหน้าตาเคร่งเครียด “ผมอยากให้คุณไปที่ตลาดหงเหยียนแล้วตรวจสอบจุดลอบสังหารที่อยู่ระหว่างทาง พยายามหาศพของพวกกองโจรหรือร่องรอยของการต่อสู้ให้ได้!”
“ขอรับ นายท่าน” องครักษ์รับคำก่อนจะออกจากห้อง ครู่ต่อมาก็กลับมารายงาน “นายท่าน ที่ตรอกด้านหน้าใกล้ตลาดหงเหยียน เราพบศพ คันธนู และลูกธนูจำนวนหนึ่ง เป็นของพวกกองโจร”
“ดี ส่งคนของคุณไปกำจัดศพโจรพวกนั้นเสีย จากนั้นนำชุดเกราะที่เปื้อนเลือดไปแอบฝังไว้ใกล้ๆกับบ้านพักตระกูลตั้น” เฉว่เฉินคำรามขณะผุดรอยยิ้มเยือกเย็น
“นายท่าน จะให้ผมฝังอาวุธและชุดเกราะไว้รอบๆบ้านพักตระกูลตั้นหรือ?”
เห็นองครักษ์สับสนกับคำสั่งของเขา นัยน์ตาของเฉว่เฉินฉายความขัดใจออกมาขณะอธิบาย “ตั้นเฉี่ยวเทียนเป็นคนอ่อนแอมาตลอด ไม่มีใครในเมืองที่ไม่รู้เรื่องนั้น ถ้าเรื่องแดงออกไปว่าทหารมากมายของสำนักเจ้าเมืองหายตัวไปในชั่วข้ามคืน และอาวุธกับเสื้อเกราะของทั้งกองโจรและกองทหารถูกพบในบริเวณใกล้บ้านพักตระกูลตั้น คุณคิดว่าผู้คนจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไร?”
“ผู้คนจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไร? พวกเขาก็น่าจะคิดว่าตั้นเฉี่ยวเทียนรวมหัวกับพวกกองโจรเพื่อสังหารกองทหารของสำนักเจ้าเมือง…” ขณะที่องครักษ์พูด นัยน์ตาของเขาก็ค่อยๆเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น
หากทำแบบนั้น ต่อให้ไม่ต้องเล่นงานตั้นเฉี่ยวเทียนโดยตรง พวกนั้นก็จะต้องจนมุมและถูกบีบให้ยอมจำนน ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของตั้นเฉี่ยวเทียนจะด่างพร้อย ยังอาจเกิดแรงกดดันให้มีการประหารตั้นเฉี่ยวเทียนด้วย
ด้วยความชั่วร้ายของเหล่ากองโจรตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พวกนั้นเป็นที่จงเกลียดจงชังของผู้คนทั่วไป ถ้าใครๆรู้ว่าตั้นเฉี่ยวเทียนรวมหัวกับกองโจร หมอนั่นต้องจบเห่แน่
และนั่นจะทำให้สำนักเจ้าเมืองมีเหตุผลอันชอบธรรมที่จะปฏิเสธสัญญาผูกมัดการแต่งงาน
เพราะท่านเจ้าเมืองผู้สูงส่งจะยอมให้ลูกสาวของตัวเองแต่งงานกับคนที่ถูกตั้งคำถามด้านคุณธรรมจริยธรรมได้อย่างไร?
“ใช่! ผมอยากให้คุณกระจายข่าวพรุ่งนี้เช้า บอกไปว่ากองทหาร 50 นายของเราพบร่องรอยของเหล่ากองโจรและตั้งใจจะสังหารพวกนั้น แต่กลับหายตัวไประหว่างปฏิบัติการ ทางเราจึงออกค้นหา…กระพือเรื่องให้ลุกลามออกไปมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ารู้กันทั่วทั้งเมืองได้ก็ดี!” เฉว่เฉินสั่งการพร้อมกับยิ้มออกมา
“เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปมากพอ เราจะมุ่งหน้าไปยังตระกูลตั้นเพื่อค้นหาหลักฐานและสืบเสาะหากองทหารที่หายไป ซึ่งที่นั่น เราจะพบอาวุธของกองโจรและเสื้อเกราะเปื้อนเลือดของกองทหารของเรา ตั้นเฉี่ยวเทียนไม่มีทางดิ้นหลุดแน่!”
“ขอรับ นายท่าน” เห็นเฉว่เฉินยังตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดแม้กำลังเพลี่ยงพล้ำ องครักษ์โค้งคำนับอย่างงามด้วยความชื่นชมยกย่อง เขาใคร่ครวญแผนการอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตั้งคำถาม “แต่ว่า…นายท่าน ถ้าตั้นเฉี่ยวเทียนไม่ยอมรับผิดแม้เราจะพบหลักฐานที่นั่นล่ะ?”
เฉว่เฉินตอบด้วยนัยน์ตาเย็นเยียบ “เขาจะปฏิเสธก็ตามใจ แต่นั่นไม่มีประโยชน์ หากเรามีเหตุผล เพียงพอที่จะนำตัวเขามายังสำนักเจ้าเมืองได้ เขาก็จะอยู่ใต้อาณัติของเรา เราจะป้ายสีอะไรข้อหาอะไรก็ได้ตามแต่ที่เราต้องการ และจากนั้นก็พิพากษาเขา!”
“จริงด้วย…” องครักษ์พยักหน้า “ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
…..
“นายหญิงน้อยที่ 2 เรียกตัวผมหรือ?”
ขณะที่เฉว่เฉินกำลังเตรียมการเล่นงานตั้นเฉี่ยวเทียน เฉว่ชิงก็กลับห้องนอนของเธอ แต่นอนไม่หลับ ลงท้ายก็เรียกคนใกล้ชิดคนหนึ่งของหัวเจียงเหอให้มาที่ห้อง
ชายหนุ่มคนนี้มาจากสำนักดาบเมฆเหินและเป็นศิษย์สายตรงระดับล่างเหมือนเธอ เขามีหน้าที่ทำตามคำสั่งของหัวเจียงเหอ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกฝนวรยุทธอย่างเต็มที่
“เงินจำนวนนี้เป็นสัญลักษณ์แทนความปรารถนาดีของฉัน กรุณารับไว้ด้วย” เฉว่ชิงพูดอย่างสุภาพ
เธอโบกมือครั้งหนึ่ง แล้วคนรับใช้ก็รีบยื่นถุงเหรียญทองให้ ก่อนจะยื่นออกไป คนรับใช้เขย่าถุงนั้นเบาๆ ได้ยินเสียงกระทบกันกรุ๋งกริ๋งของเหรียญทองถนัด เท่าที่เห็น น่าจะมีเงินอยู่ในนั้นอย่างน้อยก็ 100 เหรียญ
“นายหญิงน้อยที่ 2, เราอยู่สำนักเดียวกัน ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอก…” ชายหนุ่มตาโตขณะรับเหรียญทองไว้
ศิษย์สายตรงระดับล่างอย่างเขาไม่มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรของสำนักดาบเมฆเหินมากนัก จึงเป็นธรรมดาที่จะยิ่งกว่ายินดีปรีดาที่ได้รับของกำนัลจากความใจกว้างของเฉว่ชิง
“ฉันขอถามอะไรหน่อย ศิษย์พี่หัวพูดอะไรบ้างหลังจากกลับที่พัก?” เฉว่ชิงมองหน้าชายหนุ่มอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ศิษย์พี่หัวไม่ได้พูดอะไรเลย…” อาจเป็นเพราะความอ่อนประสบการณ์ของเขา ชายหนุ่มเพิ่งจะเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเฉว่ชิงในตอนนั้น เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริม “เขาบอกพวกเราให้จับตาดูชายที่มีฉายาว่าเจ้าโลกในหอนิรันดร์ไว้ให้ดี และสั่งการให้รายงานเขาทันทีที่ชายผู้นั้นปรากฏตัว”
“เจ้าโลก?” เฉว่ชิงขมวดคิ้ว
“เรื่องเป็นอย่างนี้…” ชายหนุ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหอนิรันดร์ให้เฉว่ชิงฟังอย่างรวบรัด
“เข้าใจแล้ว ถ้าเจ้าโลกปรากฏตัว ฉันขอรบกวนให้ศิษย์พี่บอกฉันก่อน ฉันอยากเป็นคนแจ้งข่าวนี้กับศิษย์พี่หัวด้วยตัวเอง” เฉว่ชิงพูดขณะยื่นถุงเหรียญทองอีกถุงหนึ่งให้
“ได้สิ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา!” ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
อันที่จริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อยู่แล้ว ถ้าเขาหาผลประโยชน์จากมันได้ง่ายๆอย่างนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธคำขอของเฉว่ชิง
หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก้มหน้าและนำตราหยกอันหนึ่งออกมา เขามองที่ตราหยก จากนั้นก็ตาโต “นายหญิงน้อยที่ 2, คุณโชคดีจริงๆ เจ้าโลกเพิ่งปรากฏตัวที่หอนิรันดร์ เราไปพบศิษย์พี่หัวด้วยกันเถอะ!”
“ได้สิ” เฉว่ชิงรีบลุกขึ้นและตามชายหนุ่มไปยังที่พักของหัวเจียงเหอ ไม่ช้าทั้งคู่ก็ถึงที่หมาย
“เขาอยู่ที่นั่นหรือ?”
ได้ฟังรายงาน หัวเจียงเหอหรี่ตา
“ศิษย์พี่ นี่คือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจากเมืองแสงดาว…” เฉว่ชิงรีบนำตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลออกมาสองอัน
แม้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลจะเป็นของล้ำค่า แต่ก็ถือเป็นทรัพยากรธรรมดาสามัญสำหรับสำนักเจ้าเมือง
เห็นสาวน้อยรู้งาน หัวเจียงเหอพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะลุกขึ้นและพูดว่า “ไปหอนิรันดร์กับผม ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าศิลปะเพลงดาบที่แท้จริงของสำนักดาบเมฆเหินของเราเป็นอย่างไร!”
“ขอบคุณ ศิษย์พี่” เห็นอีกฝ่ายไม่ตำหนิเธอถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ เฉว่ชิงถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเพ่งสมาธิเข้าสู่ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาล
วิ้ง! วิ้ง!
ทั้งคู่เข้าสู่หอนิรันดร์พร้อมกัน
“นำข้าวของติดตัวไปไหนต่อไหนด้วยนี่ลำบากจริงๆ ดูซิว่าเราจะหาซื้อแหวนเก็บสมบัติสักวงได้ไหม?”
จางเซวียนเคยชินกับการใช้แหวนเก็บสมบัติในทวีปแห่งปรมาจารย์ จึงรู้สึกพะรุงพะรังที่ต้องหอบข้าวของไปทุกที่ เขาจึงกลับสู่หอนิรันดร์โดยหวังว่าจะหาซื้อแหวนเก็บสมบัติสักวงได้ที่นั่น
แม้ข้างนอกจะเป็นเวลาดึกดื่นค่อนคืนแล้ว หอนิรันดร์ก็ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แถมบรรยากาศโดยรอบก็สว่างเจิดจ้า ราวกับไม่มีกลางวันกลางคืน จางเซวียนเดินไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าและแจ้งความจำนง
“ได้สิ ที่หอนิรันดร์มีแหวนเก็บสมบัติขาย วงหนึ่งราคา 500,000 เหรียญนิรันดร์” เจ้าหน้าที่ตอบอย่างกระตือรือร้น
“500,000 เหรียญนิรันดร์?” จางเซวียนเลิกคิ้ว
นี่มันปล้นกันชัดๆ!
ไม่สงสัยแล้วว่าทำไมตระกูลใหญ่โตอย่างตระกูลตั้นถึงไม่มีแหวนเก็บสมบัติสักวง!
“วันนี้ผมเพิ่งชนะการดวล 8 รอบติดต่อกัน ถ้าผมเข้าร่วมการดวลที่สังเวียนประลองตอนนี้ ผมจะได้เริ่มจากรอบที่ 9 หรือต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น?” จางเซวียนตั้งคำถาม
ในเวลานี้ การเข้าร่วมการดวลในสังเวียนประลองเป็นวิธีหาเงินที่เร็วที่สุดเท่าที่เขารู้ อีกอย่าง เขาก็มาได้ครึ่งทางแล้ว ถ้าต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่รอบแรกก็คงจะน่าเบื่อมาก
เป็นไปได้ว่าอาจไม่มีใครอยากดวลกับเขาเมื่อผ่านไปถึงรอบที่ 8 อีกครั้ง
อีกอย่าง เมืองแสงดาวก็มีผู้เชี่ยวชาญอยู่เพียงหยิบมือ คงมีคนไม่มากนักที่เต็มใจจะจ่ายเงินเพียงเพื่อมาแพ้
“ในเมื่อคุณเอาชนะได้ 8 รอบติดต่อกัน การเข้าร่วมการดวลระดับล่างก็คงไม่สร้างความท้าทายให้คุณอีก โชคร้ายที่ตอนนี้ไม่มีการจับคู่ดวลในการดวลระดับกลาง การดวลนัดแรกสุดจะมีขึ้นในอีก 2 วันข้างหน้า อีกอย่าง ดูเหมือนระดับขั้นของคุณก็ยังไม่สูงพอ” เจ้าหน้าที่ดูสถิติของจางเซวียนครู่หนึ่งขณะตั้งข้อสังเกต
“การดวลระดับกลาง?” จางเซวียนชะงัก
ระดับล่างและระดับกลาง…สังเวียนประลองมีการแบ่งระดับขั้นด้วยหรือ?