อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 1967 พนัน(2)
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1967 พนัน(2)
เมื่อแพ้ 2 ตาติดต่อกัน ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาอ้าปากค้าง แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ยื่นเงิน 30 เหรียญสำนักดาบให้จางเซวียน
ที่หอนิรันดร์ของสำนักดาบเมฆเหินมีการดวลเกิดขึ้นเสมอ ทันทีที่การดวลครั้งก่อนเสร็จสิ้น นักสู้คู่ใหม่ก็จะปรากฏตัวบนสังเวียนทันที
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองหน้าจางเซวียนอีกครั้ง
“คุณกล้าพนันต่อไหม?”
เรื่องจริงก็คือโดยปกติเขาทำเงินได้มากมายจากการพนันขันต่อเหล่านี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องสูญเสียหนัก
“แน่นอน! คราวนี้ผมควรเป็นฝ่ายได้เลือกก่อน ถูกไหม?” จางเซวียนถามยิ้มๆ
“เชิญ” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาพยักหน้า
“ผมแทงว่าชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวคนนั้นจะชนะ…พนัน 60 เหรียญสำนักดาบ!” จางเซวียนพูดขณะมองไปที่สังเวียนประลอง
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาเหลือบมองสังเวียนประลองก่อนพยักหน้ารับ “ได้ ผมแทงเจ้าหนุ่มเสื้อคลุมสีดำก็แล้วกัน!”
คราวนี้เขารู้จักคู่ต่อสู้บนสังเวียนเพียงฝ่ายเดียว คือชายหนุ่มเสื้อคลุมสีดำ, ศิษย์พี่ตู้ ส่วนชายเสื้อคลุมสีขาวนั้นเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร
แต่ก็เป็นที่รู้กันในสำนักดาบเมฆเหินว่าศิลปะเพลงดาบของศิษย์พี่ตู้นั้นไร้เทียมทาน มีศิษย์สายตรงฝ่ายในเพียง 10 คนเท่านั้นที่เทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวเป็นใคร แต่ก็ไม่น่าจะเป็น 1 ใน 10 คนนั้น ด้วยเหตุนี้ ชัยชนะของศิษย์พี่ตู้จึงเป็นอันรับประกันได้!
สองฝ่ายเริ่มปะทะกัน ไม่ช้าการต่อสู้ก็จบลง
เป็นอย่างที่อีกฝ่ายคาดไว้ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวเป็นผู้ชนะ ศิษย์พี่ตู้พ่ายแพ้!
“เฮ้ย…เป็นแบบนี้ได้ไง?”
เมื่อแพ้ถึง 3 ตาติดต่อกัน ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาเริ่มตื่นตระหนก
หลายปีที่ผ่านมา เขาทำเงินจากการพนันขันต่อได้ไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจเสียเงินมากขนาดนี้ได้!
จางเซวียนมองความปั่นป่วนของชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาครู่หนึ่งก่อนจะถามยิ้มๆ “พนันต่อไหม?”
“คือ…”
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทามองสังเวียนประลองอีกครั้ง นักสู้คู่ใหม่ขึ้นไปอยู่บนสังเวียนแล้ว แต่คราวนี้เขาไม่มีทีท่าผ่อนคลายเหมือนเดิม แผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
เขาแพ้ถึง 3 ตาติดกัน เป็นเงินถึง 100 เหรียญสำนักดาบแล้ว ไม่อาจเสียเงินมากกว่านี้ได้อีก
แต่ถ้าเขาไม่พนันต่อ ก็จะต้องเสียทั้ง 100 เหรียญสำนักดาบนี้ไป นั่นเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้เช่นกัน!
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาคิดไม่ตก ก่อนในที่สุดจะกัดฟันและตัดสินใจเด็ดขาด “ก็ได้ ผมจะพนันกับคุณอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเลือกก่อนนะ!”
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาไม่รู้ตัวว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของยุทธวิธีการพนันแบบที่เขาใช้อยู่บ่อยๆ
ยิ่งใครคนหนึ่งสูญเสียมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งกระเสือกกระสนอยากชดเชยความเสียหายของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ส่วนลึกในหัวใจจะบอกว่าในเมื่อเสียไปมากแล้ว ก็ถึงเวลาเอาคืน แต่ความคิดแบบนี้มีแต่จะฉุดผู้นั้นให้ดำดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง
“ตามสบาย!” จางเซวียนผายมืออย่างสุภาพบุรุษ
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาใคร่ครวญถ้วนถี่ก่อนจะพูดว่า “คราวนี้ผมเลือกเจ้าหนุ่มเสื้อคลุมสีขาว!”
ก็เหมือนกับคราวก่อน เขารู้จักคู่ต่อสู้บนสังเวียนประลองเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น และนั่นคือศิษย์น้องหลัวที่สวมเสื้อคลุมสีขาว
แม้จะอายุยังน้อย แต่ศิษย์น้องหลัวก็เป็นอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่อง เพิ่งเข้าสู่สำนักได้เพียง 2 ปี แต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ศิษย์สายตรงฝ่ายในแล้ว ต่อให้ตัวเขาก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้ศิษย์น้องหลัว!
ถ้าใครสักคนจะมีโอกาสเอาชนะได้มากกว่า ก็จะต้องเป็นศิษย์น้องหลัวแน่นอน
“ในเมื่อคุณเลือกเจ้าหนุ่มเสื้อคลุมสีขาว ผมก็คิดว่า…” จางเซวียนมองคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายอย่างตั้งอกตั้งใจก่อนจะเอ่ยถาม “จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะแทงว่าการดวลครั้งนี้ออกมาเสมอกัน?”
“เสมอกัน?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาถึงกับผงะ
การดวลในหอนิรันดร์ต่างจากการดวลในโลกของความเป็นจริงมาก ในโลกของความเป็นจริง เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บสาหัสหรือแม้แต่ความตาย คู่ต่อสู้สองฝ่ายที่มีพละกำลังทัดเทียมกันจึงมักจะเลือกลงเอยด้วยการเสมอ
แต่สำหรับหอนิรันดร์ ไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้น ด้วยเหตุนี้ เหล่านักรบจึงมักสู้กันจนหยดสุดท้าย บ่อยครั้งที่ลงเอยด้วยความตายของอีกฝ่าย
มีแต่ในสถานการณ์ที่พิเศษจริงๆเท่านั้นถึงจะเกิดการเสมอกันขึ้น
แต่หมอนี่กลับเลือกแทงเสมอทั้งที่มีความเป็นไปได้น้อยเต็มที สติสตังยังอยู่ดีหรือเปล่า?
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาพยายามหุบยิ้มแล้วย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คุณแน่ใจนะ?”
“ผมแน่ใจ แต่จะว่าไป ผมก็รู้ว่าโอกาสเสมอกันมีน้อยมาก เพราะฉะนั้น ผมขอแต้มต่อสูงขึ้นได้ไหม?” จางเซวียนถาม
“คุณพูดถูก โดยปกติ แต้มต่อของการแทงเสมอคือ 5 เท่า” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตอบ
“เยี่ยม ถ้าอย่างนั้นผมแทง 120 เหรียญสำนักดาบ!” จางเซวียนพูด
ด้วยความกลัวว่าจางเซวียนจะคืนคำ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทารีบตอบตกลง “ผมไม่มีปัญหา!”
การแทงเสมอไม่ต่างอะไรกับการยื่นเงินใส่มืออีกฝ่าย ในที่สุดเขาก็จะได้ชดเชยสิ่งที่เสียไปสักที!
ทันทีที่ทั้งคู่ตกลงกันได้ การดวลบนสังเวียนก็เริ่ม
ตั้งแต่ต้น เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นนักรบผู้ไร้เทียมทาน กระแสดาบฉีแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสังเวียนประลอง พร้อมจะฉีกกระชากอีกฝ่ายให้เป็นชิ้นๆอย่างไร้ความปรานี กระบวนท่าเพลงดาบอันงดงามถูกสำแดงออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เรียกเสียงเชียร์กึกก้องจากฝูงชนที่อยู่ด้านล่าง
ศิษย์น้องหลัวในเสื้อคลุมสีขาวจัดว่าเก่งกาจมาก การโจมตีของเขาดุดันราวกับอสูรร้าย แต่คู่ต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้าก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้การต้องรับมือกับการโจมตีอย่างไม่ลดละของศิษย์น้องหลัวจะทำให้เขาซวนเซไปบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บแม้เวลาจะผ่านไประยะหนึ่งแล้ว
ทั้งคู่แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันอย่างนั้นกว่า 300 ครั้ง แต่ก็ไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ
“ศิษย์น้องหลัว คุณทำได้น่ะ!”
ขณะที่การต่อสู้ยืดเยื้อออกไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาก็เริ่มจะตื่นตระหนก แผ่นหลังของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง
การดวลยืดเยื้อยาวนานแบบนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย บางทีอาจมีแค่เดือนละหนเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่าเขาจะโชคดีถึงขนาดมาเจอกับการดวลแบบนี้ในช่วงเวลาที่กำลังเข้าตาจน?
นักสู้ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอีกกว่า 100 ครั้ง แต่ก็ไม่มีใครได้เปรียบอย่างชัดเจน ถ้าจะมี ก็ดูเหมือนพวกเขาทำได้แค่บั่นทอนพละกำลังของอีกฝ่ายเท่านั้น
ในที่สุด ศิษย์น้องหลัวในเสื้อคลุมสีขาวก็กระโจนถอยไปและพูดว่า “สหาย ผมยอมรับว่าศิลปะเพลงดาบของคุณไม่ธรรมดา คุณได้รับความชื่นชมจากผม แต่ผมไม่คิดว่าการที่เราดวลกันต่อไปเรื่อยๆแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร ต่อให้ใครคนหนึ่งได้ชัยชนะ ก็ชนะแบบไม่สง่างาม ทำไมเราไม่ เสมอกันในวันนี้ แล้วค่อยมาดวลกันใหม่วันหลังล่ะ?”
อีกฝ่ายพยักหน้ารับ “ผมก็คิดแบบนั้นแหละ!”
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทารู้สึกเหมือนโลกรอบตัวเขามืดมิด แทบลมจับตรงนั้น
เขามาเจอการดวลแบบไม่ธรรมดาเข้า และนั่นก็จำเพาะเจาะจงจะต้องเป็นการดวลนัดที่เขาพนันกับอีกคนหนึ่งเสียด้วย
“ไม่น่ะ ดูเหมือนผมจะชนะอีกแล้ว” จางเซวียนชำเลืองมองชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทา
แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาชนะไม่ใช่แค่ความสามารถในการหยั่งรู้ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเขาใช้หอสมุดเทียบฟ้า หอสมุดเทียบฟ้าทำให้จางเซวียนมองทะลุทั้งศิลปะเพลงดาบ สภาวะจิต และเทคนิคการต่อสู้ที่คู่ต่อสู้แต่ละฝ่ายได้ฝึกฝน
ในเมื่อทุกคนมีระดับวรยุทธเท่ากัน ความเหลื่อมล้ำของความแข็งแกร่งของสภาวะจิตและเทคนิคการต่อสู้จึงส่งผลให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ที่แต่ละคนสำแดงออกมาแตกต่างกันมาก
ก็เพราะข้อมูลดังกล่าวที่ทำให้จางเซวียนตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแม่นยำว่าใครจะเป็นผู้ชนะ และชนะพนันด้วย
“ผมแทงเสมอ ซึ่งก็อย่างที่คุณพูดไว้ เงินที่ได้จะเพิ่มเป็น 5 เท่า” จางเซวียนพูด “เพราะฉะนั้น คุณต้องจ่ายผมมา 600 เหรียญสำนักดาบ!”
“600 เหรียญสำนักดาบ?” ได้ยินคำนั้น ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาตัวแข็งด้วยความพรั่นพรึง
หมอนี่ต้องเป็นแฮกเกอร์แน่ๆ!
ไม่อย่างนั้น จะทำนายผลการดวลทุกนัดได้แม่นยำขนาดนี้ได้อย่างไร?
เขาทำเงินได้เสมอจากการเป็นเจ้ามือ แต่ใครจะไปรู้ว่าจะต้องสูญเสียเงินที่มีไปเกือบทั้งหมดภายใน 10 นาที…เรื่องนี้ทำให้เขาแทบบ้า!
10 ปีแล้วที่เขาได้เป็นศิษย์สายตรงฝ่ายใน และได้สะสมเงินไว้จำนวนหนึ่งจากการปฏิบัติภารกิจต่างๆและการสวมบทบาทเป็นเจ้ามือรับพนัน แต่ถึงอย่างนั้น เงินเก็บของเขาก็ยังมีไม่ถึงพันเหรียญ ยังไม่ทันรู้ตัว ก็ต้องเสียมันไปเกือบหมดแล้ว!
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาหน้าตาเคร่งเครียดขณะกัดฟันพูด “ผมไม่มีเหรียญสำนักดาบอยู่กับตัวมากขนาดนั้นหรอก”
“คุณไม่มีเงินจ่าย? มันเป็นการพนันแบบแฟร์ๆนะ แต่คิดจะชักดาบหรือ?” จางเซวียนถามขณะที่รอยยิ้มของเขาค่อยๆจางหายไป
“ก็ใช่น่ะสิ! 600 เหรียญสำนักดาบน่ะ…ผมไม่จ่ายคุณหรอก แล้วคุณจะทำอะไรได้?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาคำราม “คุณรู้หรือไงว่าผมคือใคร และจะหาตัวผมได้ที่ไหน?”
เพราะการพนันเป็นสิ่งต้องห้ามในสำนักดาบเมฆเหิน เขาจึงเปลี่ยนไปใช้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอีกอันหนึ่งเมื่อสวมบทบาทเจ้ามือ เว้นเสียแต่ศิษย์สายตรงอีกสองสามคนที่ทำงานร่วมกับเขา ก็ไม่มีใครรู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใคร
“เฮ้ออออ…..” จางเซวียนส่ายหน้าราวกับจะเยาะเย้ยความไร้เดียงสาของชายหนุ่ม
จากนั้น เขาก็เตะชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาโดยไม่ลังเล
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทาถึงกับผงะ เขารีบไถลตัวไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตี นัยน์ตาของเขาฉายแววเคร่งเครียดออกมาขณะพูดว่า “คุณจะเล่นงานผมตรงนี้เลยหรือ? ลืมไปแล้วหรือไงว่าเราอยู่ในหอนิรันดร์? ต่อให้คุณฆ่าผม ทั้งหมดที่ผมจะเสียไปก็คือตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลอันหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรที่นี่ มันก็ไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างอะไรกับผมหรอก!”
“อย่างนั้นหรือ?” จางเซวียนเอาสองมือไพล่หลังขณะมองหน้าชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทา “ผมคิดว่าผมจะไปขอเข้าพบผู้อาวุโสหานแห่งยอดเขาเมฆขาว แล้วแจ้งให้เขาทราบว่าศิษย์สายตรงคนหนึ่งภายใต้การดูแลของเขาเปิดบ่อนการพนันที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ขึ้นในหอนิรันดร์ จะว่าไป นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่เอาการนะ จริงไหม? คุณไม่คิดหรือว่าเขาจะรีบสอบสวนเรื่องนี้ทันที และเล่นงานเจ้างั่งอวดดีพวกนั้นที่กล้าฝ่าฝืนกฎของสำนัก?”
“ผมอยากรู้เหลือเกินว่าเขาจะทำอะไรกับเจ้างั่งพวกนั้น…อ้อ ในเมื่อคุณถามผม ผมก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ผู้อาวุโสหานจะขับเจ้างั่งอวดดีพวกนั้นออกจากสำนัก! คุณมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไรล่ะ, ศิษย์พี่จูเหยียนจื่อ?”
“คุณ…”
ชายหนุ่มเสื้อคลุมสีเทา, จูเหยียนจื่อ ถอยกรูดด้วยความหวาดกลัวราวกับเห็นปีศาจ ยังไม่ทันที่เขาจะรู้ตัว แผ่นหลังก็เปียกโชก
“คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นใคร?”