อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2011 เขากำลังจะปิดตาตัวเอง?
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2011 เขากำลังจะปิดตาตัวเอง?
ผู้อาวุโสคนที่ 5 ใช้แซ่เดียวกับเขา ชื่อเต็มคือจางอู๋ซาง ระดับวรยุทธของเขาต่ำกว่าคนอื่นๆในกลุ่ม เป็นแค่นักรบอมตะขั้นสูงปฐพี แต่การที่วรยุทธของเขาต่ำกว่าคนอื่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นผู้ที่อ่อนด้อยที่สุดในกลุ่ม
กลับตรงกันข้าม ความเชี่ยวชาญในศิลปะเพลงดาบของจางอู๋ซางนั้นเหนือชั้นกว่าแม้แต่ผู้อาวุโสเหอ ถึงจะยังห่างไกลกับหานเจี้ยนชิว แต่ความเหลื่อมล้ำนั้นก็ไม่ได้ต่างกันมากจนเกินไป ด้วยเหตุนี้ ในบรรดาผู้อาวุโสทั้ง 4 ที่จางเซวียนเผชิญหน้าอยู่ ผู้ที่เป็นภัยคุกคามต่อเขามากที่สุดก็คือจางอู๋ซาง
ศิลปะเพลงดาบของแต่ละคนมีข้อบกพร่องและปัญหาของตัวเอง แต่เรื่องของเรื่องก็คือปฏิกิริยาตอบโต้ของพวกเขาล้วนแต่ว่องไวมาก ยังไม่ทันที่จางเซวียนจะเล่นงานจุดอ่อนของคู่ต่อสู้คนหนึ่งได้สำเร็จ อีกคนก็จะเข้ามาขวาง
หลังจากปะทะกันไป 2-3 กระบวนท่า สีหน้าของจางเซวียนก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เขารู้ดีว่าการจะเอาชนะคนเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทั้ง 5 เป็นคู่ต่อสู้ที่หนังเหนียวกว่าที่เขาคิดไว้มาก
สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีปที่ถูกลืม ศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดอย่างเหอจิ้งชวนและคนอื่นๆไม่อาจเทียบชั้นกับคนเหล่านี้ได้เลย
เราจะต้องคำนวณหาจุดอ่อนขณะที่ทุกคนผนึกกำลังกัน เพื่อจะได้รับมือได้เบ็ดเสร็จรวดเดียว จางเซวียนคิด
เมื่อตอนอยู่ที่ทวีปแห่งปรมาจารย์ เขารู้ว่าการจะมองการผนึกกำลังของคู่ต่อสู้หลายคนให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวและใช้หอสมุดเทียบฟ้าประมวลหนังสือออกมานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ ดังนั้นจึงมีประโยชน์กว่าการวิเคราะห์ข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้ทีละคน
หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก หนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดและข้อบกพร่องของการผนึกกำลังกันของนักดาบทั้ง 5
“เข้าใจแล้ว…” จางเซวียนพยักหน้า
หลังจากรู้ข้อบกพร่องในการผนึกกำลังของพวกเขา ทุกอย่างก็ดูจะกระจ่างขึ้นมาทันที
ฟึ่บ!
จางเซวียนสะบัดข้อมือและนำผ้าดำออกมาผืนหนึ่ง
“เขาคิดจะทำอะไรน่ะ?”
หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆก็รู้สึกว่าตัวเองลำบากยากเย็นไม่น้อย ชายหนุ่มเล่นงานจุดอ่อนของพวกเขาจุดแล้วจุดเล่าอย่างรวดเร็ว จนทุกคนต้องวุ่นอยู่กับการหามาตรการปกป้องตัวเอง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรวมหัวกันเพื่อตั้งใจจะพลิกผันสถานการณ์ให้ได้ อย่างน้อยก็ให้ผลการดวลออกมาเสมอ ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ว่าจางเซวียนมีทีท่าประหลาด
แต่ละคนขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“เจ้าสำนักหานกับผู้อาวุโสเหอ รีบโจมตีเถอะ เขากำลังจะปิดตาตัวเอง!” ผู้อาวุโสโฉวหั่วตะโกนมาจากด้านข้าง
“เขากำลังจะปิดตาตัวเอง?”
“คิดว่าจะรับมือกับพวกเราได้ทั้งๆที่มองไม่เห็นอย่างนั้นหรือ?”
“บ้าไปแล้ว ผมจะสังหารเจ้าสารเลวนั่น!”
นักดาบทั้ง 5 งุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะพลันนึกโมโหขึ้นมา คุณจะมาเหยียดหยามพวกเราแบบนี้ไม่ได้!
การที่พวกเราทั้ง 5 ผนึกกำลังกันรับมือกับคุณคนเดียวก็แย่พออยู่แล้ว คุณยังคิดจะปิดตาเพื่อสู้กับพวกเราอีกหรือ?
ด้วยความโกรธเกรี้ยวของนักดาบทั้ง 5 คน ดาบของพวกเขาดูจะทรงพลังและว่องไวยิ่งกว่าเดิม ทุกคนใช้กระแสดาบฉีตีวงล้อมจางเซวียนไว้ ถึงขนาดที่หากชายหนุ่มก้าวพลาดเพียงนิดเดียวก็จะถูกกระแสดาบฉีทิ่มแทงร่างกายทันที
แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แม้อีกฝ่ายจะใช้ผ้าสีดำผูกปิดตาไว้ แต่ทุกย่างก้าวของเขาก็ยังหลบเลี่ยงกระแสดาบฉีได้ด้วยความแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ ราวกับเขาใช้ไม้บรรทัดวัดทุกย่างก้าว แม้การโจมตีของนักดาบทั้ง 5 จะถาโถมเข้าใส่ราวกับกระแสคลื่นเชี่ยวกราก แต่ก็ดูเหมือนจะยับยั้งอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่น้อย
ราวกับจางเซวียนเป็นนักสำรวจที่เดินฝ่าคลื่นโทสะของพวกเขาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บสักนิด
หลังจากใช้ผ้าสีดำผูกปิดตาไว้ จางเซวียนก็เดินหน้าฝ่าการโจมตีต่อไป แต่ดูเหมือนการเคลื่อนไหวของเขาจะว่องไวขึ้นเรื่อยๆ
สายตาของเขาไม่ถูกรบกวนจากภาพลวงตาที่คู่ต่อสู้สำแดงออกมา ทั้งยังไม่ต้องใส่ใจทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ทั้งหมดที่จางเซวียนต้องทำก็คือเพ่งสมาธิอยู่กับข้อบกพร่องที่หอสมุดเทียบฟ้าบอกไว้ และสำแดงกระบวนท่าออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อข้อบกพร่องของการผนึกกำลังถูกโจมตีซ้ำๆ ไม่ช้า การร่วมมือกันของนักดาบทั้ง 5 ก็จะต้องล้มเหลว เมื่อเห็นเวลางวดเข้ามาเต็มที จางเซวียนตัดสินใจปิดการดวล
“จัดการ!”
เขาถ่ายทอดเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเข้าสู่ดาบ จากนั้นก็สำแดงการจ้วงแทง 8 ครั้งติดต่อกัน การจ้วงแทงทุกครั้งมีเป้าหมายที่ข้อบกพร่องของการผนึกกำลังที่อยู่ตรงหน้า
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงดาบที่ร่วงลงกับพื้นดังก้องไปทั่วสภาผู้อาวุโส
ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 มือไม้ชาขึ้นมาทันที ทำให้ดาบที่อยู่ในมือร่วงลงไป
เมื่อเห็นช่องโหว่ จางเซวียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนจะเข้าแทรกกลางระหว่างนักดาบทั้ง 5 ขณะปล่อยกระแสดาบฉี 5 สายเข้าใส่ลำคอของพวกเขา
แน่นอนว่าในฐานะนักรบอมตะขั้นสูง กระแสดาบฉีระดับนี้ไม่อาจทำอันตรายพวกเขา แต่เมื่อทุกคนลดระดับวรยุทธลงมาเป็นนักรบขั้นเสมือนอมตะแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ถ้าอีกฝ่ายปรารถนา ก็ย่อมสังหารพวกเขาได้ทุกคน!
“พวกเราแพ้แล้ว” หานเจี้ยนชิวยอมรับพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
พวกเขาทั้ง 5 เป็นถึงนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักดาบเมฆเหิน แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับนักรบเพียงคนเดียวที่มองอะไรไม่เห็น ดูเหมือนจางเซวียนคนนี้จะเป็นนักดาบที่น่าสะพรึงกว่าที่พวกเขาคิด!
เห็นเจ้าสำนักยอมรับความพ่ายแพ้ จางเซวียนแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะปลดผ้าปิดตาสีดำออก
อาจดูเหมือนเขาเอาชนะนักดาบทั้ง 5 ได้อย่างง่ายดาย แต่เรื่องจริงซับซ้อนกว่าที่เห็นมาก ในแง่ของความยาก สิ่งนี้ยากยิ่งกว่าการสังหารศิษย์สายตรงฝ่ายใน 5,000 คนในหอนิรันดร์เสียอีก หากเขาเปิดเผยจุดอ่อนแม้แต่นิดเดียว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้ง 5 จะต้องตรงเข้าเล่นงานเขาแน่!
โชคดีที่สุดท้ายทุกอย่างลงเอยด้วยดี
“เจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าช่างน่าทึ่งจริงๆ!” เจ้าสำนักหานเจี้ยนชิวกลับไปยังที่นั่งของตัวเองและหัวเราะหึๆ ดูเหมือนความพ่ายแพ้เมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์เสียเลยสักนิด
“ผมต้องขอขอบคุณที่คุณออมมือให้” จางเซวียนตอบพร้อมกับประสานมือ
“แพ้ก็คือแพ้…” หานเจี้ยนชิวส่ายหน้า “แล้วคำถามที่คุณอยากถามคืออะไร?”
“เจ้าสำนักหาน ผมอยากถามว่าคุณเคยได้ยินชื่อของ…ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไหม?”จางเซวียนถามอย่างร้อนใจ
ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาคือเจ้าสำนักดาบเมฆเหิน หนึ่งในบุคลากรชั้นนำของมิติเบื้องบน สิ่งที่อีกฝ่ายรู้ย่อมเหนือกว่าที่ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรู้แน่นอน
มีความเป็นไปได้สูงที่หานเจี้ยนชิวจะมีข้อมูลหรือเงื่อนงำบางอย่างเกี่ยวกับที่อยู่ของหลัวลั่วชิง
“ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า “ผมไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่นั้นเลย” คำตอบนี้ทำให้จางเซวียนชะงัก
“6 สำนักใหญ่ของทวีปที่ถูกลืมมีชื่อว่าสำนักดาบเมฆเหิน ตำหนักคว้าดาว หอนานาอสูร สำนักดาวเจ็ดดวง ป้อมปราการกระจกดำ และสำนักอมตะเลือนหาย” หานเจี้ยนชิวพูด “ในบรรดา 6 สำนักที่ว่ามา สถานที่เดียวที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะใช้คำว่า ‘เทพเจ้า’ ได้คือสำนักดาบเมฆเหินของเราเท่านั้น ส่วนอีก 5 สำนักที่เหลือไม่มีสิทธิ์”
“สิ่งเดียวที่อยู่เหนือทั้ง 6 สำนักใหญ่คือหอนิรันดร์ ก่อตั้งขึ้นโดยหัวหน้าขงตั้งแต่สี่พันปีก่อน ตัวเขาคือผู้ที่บุกเข้าสู่หอเทพเจ้าเพื่อฉกฉวยคำว่า ‘เทพเจ้า’ มา”
“เพราะเหตุนี้ หอนิรันดร์จึงขยายสาขาออกไปทั่วโลก และแม้แต่ 6 สำนักใหญ่ก็ไม่กล้าท้าทายมัน แต่หลายพันปีนับจากนั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครข้ามผ่านสะพานเบื้องบนไปได้เลย ส่วนการจะบุกเข้าสู่หอเทพเจ้าเพื่อฉกฉวยตัวอักษรที่เหลือนั้นก็ไม่ต้องพูดถึง ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีกลุ่มอำนาจอื่นใดอีกในทวีปที่ถูกลืมที่กล้าใช้คำว่า ‘เทพเจ้า’…เรื่องนี้มีความเป็นไปได้เพียง 2 ข้อ ข้อหนึ่งคือตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไม่มีอยู่จริง ส่วนข้อสอง มันไม่ใช่กลุ่มอำนาจที่ตั้งอยู่ในทวีปที่ถูกลืม!”
เพราะทวีปที่ถูกลืมเป็นโลกที่ถูกละเลยจากเทพเจ้า การใช้คำว่าเทพเจ้าจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากสำหรับที่นี่ หากไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากหอเทพเจ้า ก็ไม่มีกลุ่มอำนาจไหนอาจหาญนำคำนั้นไปใช้
ถ้าตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณมีอยู่จริง ก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่เคยได้ยินเรื่องของมัน
ส่วนจางเซวียนก็หน้าซีดเมื่อได้ฟังคำอธิบายนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เทพเจ้าผู้ถูกเรียกมาในครั้งนั้นบอกเขาไว้ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก?
ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณไม่ได้อยู่ในมิติเบื้องบนหรือ?
หานเจี้ยนชิวดูออกว่าจางเซวียนวิตกกังวลเรื่องนี้มาก จึงเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “คุณได้ยินชื่อสถานที่นี้จากที่ไหน?”
“ผมบังเอิญได้ยินใครคนหนึ่งพูดถึงมัน…” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
ถ้าคนระดับหานเจี้ยนชิวยังไม่เคยรู้เรื่อง ทั่วทั้งมิติเบื้องบนแห่งนี้ก็คงไม่มีใครรู้
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น…ตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจะอยู่ที่ไหน? มีอยู่จริงหรือเปล่า?
หลัวลั่วชิงอยู่ที่ไหนกันแน่?
หานเจี้ยนชิวหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ถ้าข่าวที่คุณรู้มาเป็นเรื่องจริงและมีตำหนักของเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณอยู่จริงๆ…บางทีคุณน่าจะลองถามตู้ชิงหย่วน เธอน่าจะพอรู้อะไรบ้าง”
“ตู้ชิงหย่วน?” จางเซวียนทวนคำ
“เธอคือหัวหน้าตำหนักคว้าดาว ในทวีปที่ถูกลืมแห่งนี้ เธอคือผู้เดียวที่มีความรู้ความเข้าใจในหอเทพเจ้าอย่างล้ำลึกที่สุด ว่ากันว่าเธอถึงกับเคยสื่อสารกับเทพเจ้าตัวจริงและได้รับของกำนัลจากพวกเขาด้วย” หานเจี้ยนชิวสาธยาย
“เธอเคยสื่อสารกับเทพเจ้าตัวจริง?” จางเซวียนตัวแข็งเมื่อพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
ถ้าหลัวลั่วชิงไม่ได้อยู่ในมิติเบื้องบน…หรือว่าเธอคือเทพเจ้าตัวจริง?
คนรักผู้แสนลึกลับของเขาคนนี้รู้เรื่องหอสมุดเทียบฟ้า และสามารถหลอมรวมมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงของปรมาจารย์ขงเข้ากับหอสมุดเทียบฟ้าได้ หากมองที่ความสามารถของเธอ ก็ดูเหมือนจะเหนือชั้นกว่าเจ้าสำนักหานเสียอีก!
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คงไม่แปลกอะไรหากจะพูดว่าเธอคือเทพเจ้าตัวจริง
“แต่ตู้ชิงหย่วนไม่ใช่คนอารมณ์ดีนัก และเธอจะสงวนปากคำเสมอเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้า เธออาจไม่เต็มใจตอบคำถามของคุณก็ได้” หานเจี้ยนชิวเตือนล่วงหน้า
“เพราะทวีปที่ถูกลืมคือดินแดนที่ถูกละเลยจากเทพเจ้า สิ่งที่พวกเขาไม่ชอบอย่างยิ่งก็คือการที่พวกเราเข้าไปสืบเสาะหาความจริง ถ้าเหล่าเทพเจ้ารู้เรื่องนี้ พวกเขาอาจมาตามล่าเราก็ได้!”
จางเซวียนขมวดคิ้วขณะพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม
บรรดาหนังสือที่เขาได้อ่านทำให้เขาพอมีความเข้าใจในทวีปที่ถูกลืมอยู่บ้าง ว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนทวีปแห่งนี้ได้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของเทพเจ้า ส่งผลให้ทั้งดินแดนถูกเทพเจ้าละเลยทอดทิ้ง หากจะบอกว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่นี่ถูกตัดขาดไปแล้ว ก็ไม่เกินจากความเป็นจริงนัก