อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2073 น่าทึ่งอะไรอย่างนี้!
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2073 น่าทึ่งอะไรอย่างนี้!
“วิธีแก้นั้นง่ายมาก คุณต้องกลับมาฝึกฝนศิลปะมรกตพลิ้วไหวอีกครั้ง” จางเซวียนตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ
“ฝึกฝนศิลปะมรกตพลิ้วไหวอีกครั้ง? มัน…มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
คราวนี้ผู้พูดไม่ใช่ผู้อาวุโสเฟิง แต่เป็นเจ้าสำนักคุ่ย เขารู้สึกว่าจางเซวียนพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ด้วยสภาวะที่แสนเปราะบางของทางเดินพลังปราณของผู้อาวุโสเฟิง ถ้าอีกฝ่ายฝึกฝนศิลปะมรกตพลิ้วไหวตอนนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่มันจะปะทะกับศิลปะตะวันผงาด ความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อยอาจทำให้วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก หรือแม้แต่ถึงแก่ชีวิต!
“แน่นอนว่าผมไม่ได้หมายถึงศิลปะมรกตพลิ้วไหวแบบเดิมที่คุณเคยฝึกฝน สิ่งที่คุณจะต้องฝึกตอนนี้คือเวอร์ชั่นที่ผมปรับปรุงแล้ว” จางเซวียนพูด
จางเซวียนนำตราหยกอันหนึ่งออกมาและเคาะเบาๆ จิตใต้สำนึกเสี้ยวหนึ่งของเขาซึมซาบเข้าสู่ตราหยกและถ่ายทอดศิลปะมรกตพลิ้วไหวฉบับปรับปรุงใหม่ลงไป จากนั้นเขาก็ยื่นตราหยกให้ผู้อาวุโสเฟิง
เมื่อรับตราหยกมา ผู้อาวุโสเฟิงอ่านรายละเอียดที่อยู่ในนั้น แล้วพลังปราณของเขาก็เริ่มไหลเวียนตามวงจรที่ถูกบันทึกไว้ ครู่ต่อมา เขาก็กระอักเลือดสีดำออกมาสามกองใหญ่
ในชั่วพริบตา ร่างกายของเขากลับเบาสบายและผ่อนคลายกว่าเดิมมาก ด่านคอขวดที่เคยสกัดกั้นเขาไว้สลายตัวไป แขนซ้ายก็ไม่แข็งเกร็งแล้ว
“รวดเร็วเหลือเกิน…” ผู้อาวุโสเฟิงกำหมัดแน่นขณะมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกทั้งความเคารพและพรั่นพรึงระคนกัน
เขารู้สภาวะร่างกายของตัวเองดี เพียงแค่ฝึกฝนเทคนิควรยุทธที่อีกฝ่ายมอบให้ ร่างกายของเขาก็มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก ผู้อาวุโสเฟิงรู้ว่าขอแค่เขาฝึกฝนตามนี้อย่างเคร่งครัด ไม่ช้าก็จะหายดีเป็นปลิดทิ้ง!
ปัญหาที่เกาะกุมเขาตลอด 81 ปีที่ผ่านมาและทำให้ต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรล้ำค่ามากมายจากสำนักดาวเจ็ดดวงถูกคลี่คลายในชั่วพริบตาด้วยการมองเพียงแวบเดียวของชายหนุ่ม
น่าทึ่งอะไรอย่างนี้!
ผู้อาวุโสเฟิงไม่ใช่คนเดียวที่ประหลาดใจ เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวก็พูดไม่ออก
เขาเคยกังวลว่าหลิวหยางยังอ่อนอาวุโสเกินไปที่จะได้การสนับสนุนจากสำนัก แต่ด้วยความเก่งกาจของอีกฝ่าย ดูเหมือนเขาจะกังวลไปเปล่าๆ
ความปราดเปรื่องของชายหนุ่มไม่ได้มีแค่ความสามารถในการเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังรู้จักวิถีทางของการรักษาโรคในระดับที่เรียกว่าน่าทึ่งอีกด้วย ถึงขนาดที่เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวนึกไม่ออกว่าจะมีใครเทียบชั้นกับอีกฝ่ายได้
“เอาล่ะ ขอแค่คุณฝึกฝนเทคนิควรยุทธนี้อย่างเคร่งครัด ก็จะหายดีภายในครึ่งปี อันที่จริง คุณอาจยกระดับวรยุทธได้ด้วยซ้ำ” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ
สำหรับตัวเขา เรื่องนี้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก จึงไม่รู้สึกอะไรที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลืออีกฝ่าย
ผู้อาวุโสเฟิงสำแดงเทคนิคการต่อสู้เพื่อขับเคลื่อนเรือมาตลอดทาง จางเซวียนจึงประมวลหนังสือของอีกฝ่ายขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้าและมองเห็นปัญหาทั้งหมด และด้วยหนังสือมากมายที่เขาเพิ่งอ่าน การจะหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมย่อมไม่ยากเกินไป
“ขอบคุณมาก ผู้อาวุโสหลิว!”
ผู้อาวุโสเฟิงโค้งคำนับอย่างงาม
จางเซวียนรู้ดีว่าเขาเอาชนะใจผู้อาวุโสเฟิงได้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอีก เขาตั้งคำถามโดยตรงเข้าประเด็น “ค่ายกลและฉนวนที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นฝีมือคุณใช่ไหม?”
ขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนากัน เรือลำนั้นก็เล่นไปได้อีกราว 200 ลี้ พวกเขามาถึงบริเวณที่ผิวหน้าของมหาสมุทรราบเรียบ ไม่ต่างอะไรกับกระจกเงา
“พื้นที่นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อทะเลคันฉ่องน้อย ค่ายกลและฉนวนที่ผมติดตั้งไว้ก็ถูกซ่อนอยู่ที่นี่” ผู้อาวุโสเฟิงพูดพร้อมกับพยักหน้า
มีสินแร่พิเศษบางอย่างในทะเลคันฉ่องน้อยที่ดึงดูดสิ่งมีชีวิตบางชนิดให้มารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทำให้เกิดการสะท้อนของผิวน้ำในมหาสมุทร
ค่ายกลและฉนวนที่เขาติดตั้งไว้ก็ล้วนแต่ถูกซ่อน จนแม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจมองเห็นได้โดยง่าย แล้วชายหนุ่มรู้ได้อย่างไร?
ขณะที่ผู้อาวุโสเฟิงกำลังคิดหนัก ชายหนุ่มก็พูดต่อ “ค่ายกลคู่วังวนวารีสามารถพรางตัวในน้ำได้ ทำให้สังเกตเห็นได้ยาก พละกำลังของมันก็รับมือด้วยได้ยากเช่นกัน แต่มันออกจะอ่อนด้อยไปสักหน่อยหากจะใช้ดักอสูรที่มีวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ ที่สำคัญกว่านั้น คู่ต่อสู้คือสิ่งมีชีวิตที่มีถิ่นฐานในน้ำ อ่อนไหวและไวต่อกระแสการไหลของน้ำมาก ทันทีที่มันรับรู้ได้ว่ามีค่ายกลอยู่ ก็จะใช้ประโยชน์จากการกระเพื่อมของวังวนนั้นผลักดันตัวมันออกไป”
“คุณอ่านกลไกค่ายกลของผมได้?” ผู้อาวุโสเฟิงถึงกับผงะ
โดยปกติ ค่ายกลคู่วังวนวารีจะใช้หยดน้ำหลอมรวมกันเป็นธงค่ายกล มันจะไหลไปตามกระแสน้ำ กลมกลืนถึงขนาดที่แม้การรับรู้จิตวิญญาณของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจตรวจจับได้
แต่ชายหนุ่มคนนี้มองเห็นมันทันทีที่มาถึง แถมยังชี้ข้อบกพร่องของค่ายกลได้ด้วย ประสิทธิภาพการหยั่งรู้ของเขาน่าสะพรึงเหลือเกิน!
“ผู้อาวุโสหลิว อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ที่เรากำลังตามล่าคือเต่าหลังดำ มันขึ้นชื่อเรื่องความเชื่องช้า ค่ายกลคู่วังวนวารีคือกับดักที่เหมาะสมที่สุดแล้ว” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวโพล่งออกมา
ในเมื่อพวกเขาตั้งใจตามล่าอสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ จึงเป็นธรรมดาที่ต้องหาข้อมูลล่วงหน้า พวกเขาพิจารณาแล้วถึงความเป็นไปได้ที่อสูรจะใช้การกระเพื่อมของวังวนเพื่อหลบหนี แต่ในเมื่อเป้าหมายคือเต่าหลังดำ พวกเขาจึงตัดสินใจใช้ค่ายกลนี้ต่อไป
ด้วยรูปร่างใหญ่โตเทอะทะของเต่าหลังดำ มันไม่มีทางใช้กระแสน้ำเพิ่มความเร็วของตัวเองได้ ขอแค่พวกเขาควบคุมการกระเพื่อมของน้ำได้ดีพอ ก็จะก่อเกิดปราการที่สามารถดักเต่าหลังดำไว้ได้อย่างรัดกุม
“ความถนัดของเต่าหลังดำคือการป้องกันตัว ไม่ใช่ความเร็ว ด้วยรูปร่างใหญ่โตของมัน การใช้ค่ายกลคู่วังวนวารีถือเป็นความคิดที่ไม่เลว แต่เราไม่ควรลืมเรื่องสภาพแวดล้อมที่นี่ ตอนนี้เราอยู่ในทะเลคันฉ่องน้อยและมีดวงจันทร์ส่องสว่างอยู่เหนือศีรษะด้วย” จางเซวียนพูด
“ฮะ?”
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงงุนงงกับคำพูดของจางเซวียน พวกเขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มตั้งใจจะพูดถึงอะไร
เรากำลังพูดถึงค่ายกลกับเต่าหลังดำไม่ใช่หรือ? แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับทะเลคันฉ่องน้อยกับดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง?
“พวกคุณเคยคิดบ้างไหมว่าเต่าหลังดำอาจไม่ได้ออกห่างเพียงเพราะความหวาดระแวง? คิดบ้างหรือเปล่าว่าอาจเป็นไปได้ที่มันรู้ว่าพวกคุณติดตั้งค่ายกลไว้ และกำลังรอเวลาเพื่อหาโอกาสเหมาะๆเข้าโจมตี?” จางเซวียนย้อนถาม
เขานึกสงสัยขึ้นมาทันทีตอนที่ผู้อาวุโสเฟิงพูดว่าอสูรตัวนั้นกำลังหวาดระแวง
อสูรขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คือสิ่งมีชีวิตที่น่าจะทรงพลังที่สุดในทะเลพลัดดาว! มีเหตุผลอะไรที่มันต้องหวาดระแวงในเมื่อแทบไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ทำอันตรายมันได้?
ถ้าเป็นอาการลังเลชั่วครั้งชั่วคราวก็อาจเรียกได้ว่าเป็นความหวาดระแวง แต่การรักษาระยะห่างเป็นเวลาหลายวันแบบนี้…แน่นอนว่าต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็น!
หลังจากตรวจสอบค่ายกลและพิกัดแล้ว จางเซวียนก็ถึงบางอ้อ
“คุณหมายความว่าอย่างไร?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวตั้งคำถาม
เขาไม่อาจปะติดปะต่อเงื่อนงำต่างๆเข้าด้วยกันได้
“คุณควรจะรู้นะว่าทำไมทะเลคันฉ่องน้อยถึงราบเรียบเหมือนกระจกเงา เพราะด้วยสินแร่พิเศษที่มีอยู่บริเวณนี้ สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ชื่อแมลงเม่าใบไม้สีเงินจึงมารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ในน้ำ”
ทั้งสองพยักหน้ารับ
พวกเขาเคยได้ยินชื่อแมลงเม่าใบไม้สีเงินมาก่อน มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กจนแทบไม่ต่างอะไรกับฝุ่นผง แต่ด้วยปริมาณที่มีมากมายมหาศาล จึงสามารถสร้างผิวหน้าที่เหมือนกระจกเงาให้เกิดขึ้นในทะเลคันฉ่องน้อยได้
“แมลงเม่าใบไม้สีเงินเหล่านี้ไม่ได้กินปะการังหรือสัตว์ต่างๆ แต่ดูดกลืนพลังงานจากสินแร่บางชนิด พื้นที่ตรงนี้มีสินแร่เหล่านั้นมากมาย ดึงดูดแมลงเม่าใบไม้สีเงินให้มารวมตัวกันจนเกิดเป็นภาพน่าทึ่งอย่างที่เห็น” จางเซวียนพูด
ผู้อาวุโสเฟิงพยักหน้า เขาเคยไปที่นั่นหลายครั้งแล้ว และได้สำรวจบริเวณนั้นอย่างถี่ถ้วน จึงรู้ว่าสิ่งที่จางเซวียนพูดเป็นความจริง
“แมลงเม่าใบไม้สีเงินพวกนี้ไม่ได้อันตรายมากนัก แต่ถ้าสินแร่ที่พวกมันกัดกินเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา พวกคุณนึกภาพออกไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น?”
เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ถ้าพวกมันรู้สึกว่าชีวิตกำลังถูกคุกคาม จะต้องเกิดความตื่นตระหนกอย่างหนัก พวกมันส่วนใหญ่น่าจะเคลื่อนกำลังพลเพื่อพยายามคลี่คลายสถานการณ์”
ไม่มีอสูรชนิดไหนที่ไม่กังวลหากแหล่งอาหารของมันถูกคุกคาม
“ใช่ พวกมันจะเคลื่อนไหวเพื่อหวังว่าจะคลี่คลายสถานการณ์ได้ และเมื่อแมลงเม่าจำนวนมหาศาลเคลื่อนกำลังพลพร้อมกันในคราวเดียว คุณแน่ใจหรือว่าค่ายกลคู่วังวนวารีจะยังคงมีประโยชน์?” จางเซวียนตั้งคำถาม
ผู้อาวุโสเฟิงคิดหนักขณะรีบวิเคราะห์สถานการณ์
แมลงเม่าใบไม้สีเงินมีขนาดแค่ผงธุลี หากพวกมันเพียงไม่กี่ตัวเคลื่อนไหวพร้อมกันก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไร แต่หากทั้งฝูงที่ครอบคลุมทั่วทั้งทะเลคันฉ่องน้อยออกมาพร้อมกัน ต่อให้ค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ย่อมพังทลายเพราะการจู่โจมหนักหน่วงนั้น
อย่าว่าแต่จะจับเต่าหลังดำเลย พวกเขาอาจติดกับอยู่ที่นั่นด้วย!
“แต่สินแร่พวกนั้นฝังลึกอยู่ก้นทะเลมานานหลายปีแล้วนะ มันไม่เคยเคลื่อนไหวเลย ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นอย่างปุบปับได้หรอก อีกอย่าง…เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพระจันทร์เต็มดวง?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวถาม
ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับสินแร่ ก็น่าจะเกิดไปนานแล้ว พวกเขาจะต้องโชคร้ายขนาดไหนถึงบังเอิญเกิดเรื่องเมื่อมาอยู่ที่นี่?
“ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่มี” จางเซวียนแย้ง “อีกอย่าง ถ้าสิ่งที่ผมคิดเกิดขึ้นจริงล่ะก็ พวกคุณคือต้นเหตุ!”
“พวกเราคือต้นเหตุ?” เจ้าสำนักคุ่ยเฉี่ยวกับผู้อาวุโสเฟิงงุนงงหนักขึ้นกับสิ่งที่จางเซวียนพูด
พวกเราจะเป็นต้นเหตุได้อย่างไร? เรายังไม่ได้ทำอะไรที่ก่อให้เกิดปัญหาเลย!
“เต่าหลังดำชื่นชอบวัตถุที่แวววาวเป็นประกาย ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด สิ่งที่คุณฝังไว้ที่ก้นมหาสมุทรเพื่อล่อมันคือคริสตัลเพชรล้ำค่าใช่ไหม?” จางเซวียนถาม
“ผมเดาว่าคริสตัลเพชรที่คุณใช้คงส่องแสงเป็นประกายยิ่งกว่าไข่มุกกระจ่างราตรีเสียอีกเมื่ออยู่ใต้น้ำ ถึงขนาดที่เห็นได้ชัดแม้อยู่ห่างออกไปเป็นหมื่นลี้ แต่นั่นแหละ คุณต้องทำแบบนั้นเป็นอย่างน้อยถึงจะดึงดูดความสนใจของเต่าหลังดำได้ แต่เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าพลังงานแสงที่คริสตัลเพชรเปล่งออกมานั้นมาจากไหน? ขนาดไข่มุกราตรีก็ยังต้องซึมซับแสงอาทิตย์ไว้เพื่อจะได้ส่องสว่าง และด้วยความเจิดจรัสของคริสตัลเพชร พลังงานนั้นมาจากไหน? ต่อให้มันมีแหล่งเก็บกักพลังงานอยู่ภายใน ก็ไม่มีทางที่จะเพียงพอให้เปล่งประกายได้ยาวนานหลายวัน…”