อัจฉริยะสมองเพชร - ตอนที่ 2102 ไม่ทราบว่าคุณหมายถึงเรื่องอะไร?
อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2102 ไม่ทราบว่าคุณหมายถึงเรื่องอะไร?
แม้จะมีปริมาณไม่ถึง 1 หยด แต่ก็เป็นเลือดของเทพเจ้าตัวจริง ไม่มีทางที่มันจะหายวับเข้าไปในร่างของไก่น้อยโดยไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างใดๆเลย
“ผมไม่รู้จริงๆว่าทำไม ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวหลังจากดื่มเลือดนั้น เลยหลับไปครู่หนึ่ง เลือดหยดนั้นดูจะไม่ได้ส่งผลอะไรกับผมเลยนอกจากทำให้ผมง่วง” ไก่น้อยส่ายก้นเล็กๆไปมาขณะอธิบาย
มันเองก็ประหลาดใจที่เห็นทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้
มันเคยคิดว่าการกลืนกินโลหิตเทพเจ้าคงจะทำให้มันกลายเป็นอสูรผู้ทรงพลังได้ในชั่วพริบตา แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด
ถ้าแม้แต่โลหิตเทพเจ้ายังใช้การไม่ได้ แล้วมันจะยกระดับวรยุทธให้สูงขึ้นได้อย่างไร?
“เอาเถอะ…”
จางเซวียนตั้งคำถามอีก 2-3 ข้อและถึงกับตรวจสอบไก่น้อยอย่างถี่ถ้วน แต่เมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆให้เห็น เขาก็หมดทางเลือกนอกจากยักไหล่อย่างจนปัญญา
ในที่สุดเขาก็โยนไก่น้อยกลับเข้าไปในกระสอบอสูรพร้อมกับอสูรอีก 4 ตัวที่เหลือ ก่อนจะมุ่งหน้ากลับเกาะคว้าดาว
ผ่านไปเกือบ 1 วันแล้วนับตั้งแต่เขาเดินทางออกจากตำหนักคว้าดาว ใกล้เวลาของพิธีสถาปนาหัวหน้าตำหนักคว้าดาวคนใหม่
เพราะเขาใช้ชื่ออื่นตอนที่อยู่ในหอนานาอสูรกับสำนักดาวเจ็ดดวง ใครๆจึงคิดว่าเป็นคนละคนกัน ปฏิกิริยาที่พวกเขาแสดงออกมาจึงไม่มากมายอะไร
แต่คราวนี้ จางเซวียนซึ่งเป็นที่รู้กันว่ากำลังจะได้เป็นเจ้าสำนักดาบเมฆเหินคนใหม่ก็กลายเป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวด้วย…
แค่คิดถึงความโดดเด่นที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ทำให้เขาอ้าปากค้าง
เป็นไปได้ว่าข่าวนี้คงแพร่กระจายไปทั่วทุกสำนักแล้ว คงเกิดความอึกทึกครึกโครมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
…..
เป็นอย่างที่จางเซวียนคิดไว้ ความวุ่นวายครั้งใหญ่เกิดขึ้นบนเกาะคว้าดาว
“ผมไม่เชื่อหรอก! ทำไมตำหนักคว้าดาวถึงเสนอชื่อคนนอกเป็นหัวหน้าคนใหม่? แล้วหัวหน้าตู้ของเราอยู่ที่ไหน? ทำไมไม่ออกมาแจ้งข่าว?”
“อาจจะเป็นการตัดสินใจของผู้อาวุโสที่ 1 กับคนอื่นๆก็ได้นะ ดูเหมือนตอนนี้หัวหน้าตู้จะไม่อยู่”
“พวกเขาตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาหัวหน้าตู้หรือ? แบบนี้ก็เท่ากับปฏิวัติสิ?”
“คุณเป็นบ้าหรือไง? พูดอะไรแบบนั้นออกมาดังลั่น? เท่าที่ผมรู้มา หัวหน้าตู้ทิ้งเจตจำนงไว้ว่าให้เสนอชื่อเจ้าสำนักจางเซวียนเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ…”
เสียงออกความคิดเห็นทำนองนี้ดังเซ็งแซ่ทั่วตำหนักคว้าดาว
ในฐานะประชากรท้องถิ่นของทวีปที่ถูกลืม พวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักอื่นๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติ ต่อให้หัวหน้าตู้อยากลงจากตำแหน่ง เธอก็ควรจะเสนอชื่อหนึ่งในคนของเธอเป็นผู้สืบทอด แต่กลับเลือกส่งมอบตำแหน่งให้เจ้าสำนักดาบเมฆเหิน
แค่คิดก็เหลวไหลแล้ว!
ทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเหยียบย่ำเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตำหนักคว้าดาว!
ผู้อาวุโสคนหนึ่งคำรามอย่างขัดใจ “หุบปากเถอะ! หัวหน้าตู้ของเรามอบบรรณาการต่อเทพเจ้า และก็เพราะเจตจำนงของเทพเจ้าที่ทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้ คุณคิดว่าคำพูดของคุณมีน้ำหนักกว่าคำพูดของเทพเจ้าหรือ?”
“ก็เพราะเจตจำนงของเทพเจ้า?”
ผู้ที่แสดงความสงสัยก่อนหน้านี้ปิดปากเงียบทันทีด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ในฐานะผู้ที่สนิทชิดเชื้อที่สุดกับเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์ คนของตำหนักคว้าดาวมีความยำเกรงเทพเจ้าฝังลึกอยู่ในหัวใจ พวกเขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสจะกล้าอ้างถึงเทพเจ้าโดยปราศจากความจริง จึงไม่คัดค้านคำพูดของเธออีก
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็เห็นได้ชัดว่ายากเย็นเอาการที่จะโน้มน้าวเจ้าสำนักคนอื่นๆให้ยอมรับเรื่องนี้
ในห้องโถงใหญ่ของตำหนักคว้าดาว หานเจี้ยนชิวที่กำลังสับสนอย่างหนักนั่งอยู่
“เกิดบ้าอะไรขึ้นมา เจ้าสำนักของเราจึงทำให้ตู้ชิงหย่วนยอมเสนอชื่อเขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ?”
เขารู้ว่าจางเซวียนมุ่งมั่นจะเดินทางสู่ทะเลพลัดดาว แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะบีบให้ตู้ชิงหย่วนลงจากตำแหน่งและกลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
หรือว่าเรื่องนี้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้า?
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมจางเซวียนถึงบอกว่าเขาเป็นนักรบพเนจร?
“แต่จะว่าไป ต่อให้ความจริงเป็นอย่างไร เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นผลเสียต่อสำนักดาบเมฆเหิน คงจะดีถ้าเราสร้างมิตรภาพกับตำหนักคว้าดาวได้” หานเจี้ยนชิวพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้ว
ตอนที่เขามอบตำแหน่งให้จางเซวียน เขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นอะไร ขอแค่ไม่ขัดกับผลประโยชน์ของสำนักดาบเมฆเหิน เขาก็พร้อมจะทำตามทุกอย่าง
คงดูไม่ดีหากตัวเขาที่เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักจะพยายามขัดขวางการตัดสินใจของเจ้าสำนักโดยไม่มีเหตุผลอันเหมาะสม
ฟึ่บ!
“หานเจี้ยนชิว เกิดอะไรขึ้น?”
เกิดเงาพาดผ่านกลางอากาศขณะที่ร่างหนึ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้อาวุโสฉิงหย่วนจากหอนานาอสูร
“ผมรับไม่ได้ สำนักดาวเจ็ดดวงไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้จนกว่าคุณจะมีคำอธิบายที่เหมาะสม เชื่อได้เลยว่าสำนักดาวเจ็ดดวงจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบโต้!” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวเดินตามหลังผู้อาวุโสฉิงหย่วนเข้ามาในห้องโถงใหญ่
ทั้งคู่จับจ้องหานเจี้ยนชิวอย่างตั้งใจ คาดหวังให้เขาอธิบายสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
มันเรื่องอะไรที่เจ้าสำนักดาบเมฆเหินถึงกลายเป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวด้วย?
6 สำนักใหญ่ล้วนแต่เป็นเอกเทศ พวกเขามีดินแดนและขอบเขตอำนาจของตัวเองในทวีปที่ถูกลืม ไม่เคยมีการผูกสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่าง 6 สํานักใหญ่มาก่อน
ก็เพราะสมดุลของอำนาจนี้ที่ทำให้พวกเขาอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและกลมเกลียว
ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สำนักอื่นๆจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ยินข่าวนี้
“ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น” หานเจี้ยนชิวตอบพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ
“คุณไม่แน่ใจ?” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนเป็นคนอารมณ์ร้อน เมื่อได้ยินว่าหานเจี้ยนชิวพยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็สะบัดแขนเสื้อและตวาดก้อง “คุณคิดว่าพวกเราจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเพียงเพราะคุณไม่รู้เรื่องหรือ? คุณกำลังสั่นคลอนสมดุลของอำนาจระหว่าง 6 สำนักใหญ่เพราะการกระทำครั้งนี้!”
“คุณคิดว่าสำนักดาบเมฆเหินของคุณเป็นสำนักเดียวที่สร้างพันธมิตรได้หรือไง? ก็ดี! รอดูก็แล้วกัน หอนานาอสูรของเราจะเป็นพันธมิตรกับสำนักดาวเจ็ดดวง!”
“เจ้าสำนักจางอาจทำความเข้าใจเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าได้สำเร็จ แต่เขาไม่ใช่อัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวของทวีปที่ถูกลืม” ผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวคำราม “สำนักดาวเจ็ดดวงของเรามีเจ้าสำนักหลิวหยาง ขณะที่หอนานาอสูรก็มีหัวหน้าเจิ้งหยาง มาดูกันว่าเจ้าสำนักจางจะรับมือกับสองคนนี้ได้ไหม?”
หานเจี้ยนชิวพูดไม่ออก
เขาเองก็รู้เรื่องหัวหน้าเจิ้งหยางกับเจ้าสำนักหลิวหยาง ทั้งคู่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานที่ปรากฏตัวขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบหลายพันปี
นักรบที่มีความสามารถระดับพวกเขาย่อมรับมือกับจางเซวียนและเจตจำนงเพลงดาบของเทพของเทพเจ้าของเขาได้เมื่อมีวัยวุฒิสูงขึ้น การจะเป็นศัตรูกับคนเหล่านั้นไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดเลย
การเป็นพันธมิตรระหว่างสำนักดาวเจ็ดดวงกับหอนานาอสูรย่อมนำความเสียเปรียบมาสู่สำนักดาบเมฆเหินแน่
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าจางเซวียนต้องเสนอผลประโยชน์ให้ตำหนักคว้าดาวมากแค่ไหน ถึงหว่านล้อมให้ตู้ชิงหย่วนยอมมอบตำแหน่งของเธอให้เขาได้
“วุ่นวายอะไรอย่างนี้!”
ในตอนนั้น เสียงหัวเราะลั่นก็ดังขึ้นด้านนอกห้องโถงใหญ่
จากนั้นสองร่างก็ก้าวเข้ามา
เจ้าสำนักป้อมปราการกระจกดำ, ไป่ซวนเฉิง
เจ้าสำนักอมตะเลือนหาย, กู้จุ้ยอวิ๋น
การปรากฏตัวของทั้งคู่ทำให้บรรยากาศในห้องตึงเครียดกว่าเดิม ในเวลานี้ ผู้นำเกือบทั้งหมดของ 6 สํานักใหญ่มารวมตัวกันแล้ว!
ไป่ซวนเฉิงได้รับการเยียวยาจนหายดี แม้หน้าตาจะยังซีดเซียวอยู่บ้าง แต่สภาวะร่างกายในตอนนี้ไม่กระทบกับพละกำลังของเขาอีกแล้ว
ส่วนกู้จุ้ยอวิ๋น, เขาเป็นชายร่างผอมสูงที่มีสีหน้าโอหังและทะนงตัว
“พวกคุณกำลังกังวลเรื่องที่เจ้าสำนักของเราจะได้เป็นหัวหน้าตำหนักคว้าดาวด้วยใช่ไหม?” หานเจี้ยนชิวตั้งคำถามพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คุณจะเชื่อผมหรือเปล่าถ้าผมบอกว่าผมไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด?”
ไป่ซวนเฉิงชำเลืองมองผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยวก่อนจะหันมาประสานมือให้หานเจี้ยนชิว “ผู้อาวุโสหาน ผมคิดว่าคุณเข้าใจเจตนาของพวกเราผิดแล้วล่ะ พวกเรามาที่นี่เพราะต้องการขอพบเจ้าสำนักจางเซวียน อยากหารือบางอย่างกับเขา!”
เขาไม่เห็นหน้าตาของตัวการที่เล่นงานเขาในทะเลคันฉ่องน้อยก่อนหน้านี้ แต่ก็นั่นแหละ โลกนี้ไม่มีความลับ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
มีคริสตัลเพชรอยู่ไม่กี่เม็ดในโลกที่จะเจิดจ้าได้อย่างที่เห็น ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือเสาะหาข้อมูลว่าสำนักไหนที่เพิ่งได้คริสตัลเพชรเม็ดใหม่มาหมาดๆ
“คุณอยากพบเจ้าสำนักของเราหรือ?” หานเจี้ยนชิวขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของ 6 สำนักใหญ่ ผมอยากฟังความเห็นของหัวหน้าเจิ้งหยางกับเจ้าสำนักหลิวหยางด้วย” กู้จุ้ยอวิ๋นพูดขณะสบตาผู้อาวุโสฉิงหย่วนกับผู้อาวุโสคุ่ยเฉี่ยว
“ไม่ทราบว่าคุณหมายถึงเรื่องอะไร?” หานเจี้ยนชิวถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
เห็นได้ชัดว่าไป่ซวนเฉิงกับกู้จุ้ยอวิ๋นมีเจตนาบางอย่าง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาอาจรวมตัวเป็นพันธมิตรกันแล้ว
“พวกเราเห็นพ้องต้องกันว่านักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปที่ถูกลืม โดยสำนักหนึ่งจะต้องมีนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ 1 คน เพื่อความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองในระยะยาว” กู้จุ้ยอวิ๋นเริ่มอธิบาย
ฝูงชนพยักหน้า
การปรากฏตัวของนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์เป็นเครื่องชี้ชัดว่าสำนักนั้นจะเจริญรุ่งเรืองหรือไม่ หากไม่มีนักรบระดับนั้นอยู่เลย ต่อให้สำนักดังกล่าวจะมีนักรบอมตะขั้นสูงอยู่มากแค่ไหนก็ไม่สำคัญ
ก็เพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ทั้ง 6 สำนักสามารถกดขี่เผ่าพันธุ์อสูรใต้น้ำได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
กู้จุ้ยอวิ๋นพูดต่อ “สะพานเบื้องบนใกล้จะลงมาเต็มทีแล้ว บรรดาเจ้าสำนักของพวกคุณมั่นใจหรือเปล่าว่าจะเอาชนะนักรบของหอเทพเจ้าได้ เพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้สำเร็จวรยุทธขั้นกึ่งสรวงสวรรค์?”
ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แม้แต่หานเจี้ยนชิว
เพราะใครเล่าจะกล้าประกาศกร้าวแบบนั้น?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าสำนักจางเซวียนคือนักรบผู้ทรงพลัง แต่ตอนนี้เขาก็เป็นแค่นักรบอมตะตัวจริงสรวงสวรรค์เท่านั้น ด้วยวรยุทธระดับนี้ แม้จะรับมือกับนักรบอมตะขั้นสูงสรวงสวรรค์ทั่วไปก็ยังทำได้ยาก นับประสาอะไรกับเหล่านักรบจากหอเทพเจ้า!
เช่นเดียวกันกับหอนานาอสูรและสำนักดาวเจ็ดดวง
แม้ความปราดเปรื่องอันไร้เทียมทานของเจ้าสำนักคนใหม่ของพวกเขาจะสร้างความหวังให้เกิดขึ้นในใจ แต่ลึกๆแล้วพวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะสะพานเบื้องบนได้หรือไม่